ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 222

ตอนที่ 222 เปิดเผยฐานะเด็กๆ

ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ปวดใจ

หลี่เฉินเย่นรู้ตัวว่าตนเองเผลอพลั้งปากไปจึงลอบมองนางเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยอย่างไม่แยแส “ตลอดห้าปีที่ผ่านมานี้ ข้าก็พบเจอผู้คนที่วางอุบายหวังจะแย่งชิงอำนาจจากข้ามาตลอดอยู่แล้ว”

หลี่อวิ่นกังถาม “ตกลงเป็นแผนการของผู้ใดกันแน่”

ชูเซี่ยก็ค่อยๆเอ่ยออกมาอย่างชัดถ้อยชัดคำ “หลี่อวิ่นหลี่!”

“เป็นเขา?” หลี่อวิ่นกังตื่นตะลึง “เขายังกล้ากลับมาอีกหรือ”

ชูเซี่ยเอ่ย “หลี่อวิ่นหลี่อย่างไรก็เคยเป็นถึงท่านราชครู เขามีเส้นสายมากเพียงใดเราก็ไม่อาจรู้ได้ และวิชาศาสตร์ต่างๆของเขาก็มีพลังมากพอที่จะทำให้ฉ่ายเวินฟื้นคืนชีพด้วยซ้ำ ทั้งตลอดหลายปีมานี้ก็ไม่มีเบาะแสของเขาเลย ข้าคิดว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาฝ่าบาทก็คงส่งคนไปสืบหาข่าวคราวของเขาเช่นกัน ไม่ทราบว่าพอจะได้ข่าวอะไรบ้างหรือไม่”

หลี่เฉินเย่นไม่ได้ปฎิเสธ “ไม่ผิด หลายปีมานี้ข้าส่งคนออกไปตามหาเบาะแสของเขาจริงๆ แต่นั่นก็ไม่ใช่เพื่อกำจัด ข้าเพียงแต่ต้องการจับตาดูเขาไว้เพื่อความปลอดภัยเท่านั้น แต่ว่าห้าปีที่ผ่านมานี้ก็ยังไม่ได้เบาะแสของเขาเลยแม้แต่น้อย เบาะแสของอ๋องเก้าก็เช่นกัน”

ร่างสูงโปร่งของหลี่อวิ่นกังสั่นสะท้าน “สวรรค์ หากว่าเป็นหลี่อวิ่นหลี่จริงๆ การที่เขาหลบซ่อนจากสายตาของพวกเรามาได้ถึงห้าปี ห้าปีมานี้เขาคงเตรียมแผนการมาได้มากมายเลยทีเดียว”

“ที่น่ากลัวที่สุดก็คือพวกเราไม่เคยเตรียมแผนการรับมือเลยต่างหากเล่า!”

หลี่เฉินเย่นเงียบไปครู่หนึ่ง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความอดลั้นและเหนื่อยล้า “การแย่งชิงบัลลังก์อำนาจเมื่อไหร่จะจบสิ้นเสียทีนะ ตำแหน่งฮ่องเต้แท้จริงแล้วมีอะไรดีเหตุใดผู้คนต่างก็ชื่นชอบมันนักหนา”

หลี่อวิ่นกังยิ้มขืน “ตอนนั้นท่านแม่ของข้าเองก็อยากให้ข้าเข้าแย่งชิงบัลลังก์กับเจ้าเช่นกัน ตอนนี้เพียงแค่นึกถึงก็รู้สึกว่ามันน่าขบขันสิ้นดี เอาแต่แก่งแย่งชิงดีแล้วเมื่อใดกันเล่าที่ชีวิตจะได้พบเจอความสงบสุขเสียที ชีวิตคนเรามันอยู่ได้กี่สิบปีกันเชียว ต่อให้ได้รับตำแหน่งสูงส่งอำนาจล้นหลามแล้วอย่างไร หรือว่าเพียงแค่ได้ครอบครองบัลลังก์แล้วจะทำให้มีอายุยืนนานไม่แก่ไม่เฒ่าหรืออย่างไร การที่จะใช้ชีวิตอยู่อย่างรุ่งเรืองและมีเกียรติมีศักดิศรีไม่จำเป็นว่าเราจะต้องครอบครองอำนาจสูงสุดเสียหน่อย”

ชูเซี่ยยิ้มออกมา “หากว่าทุกคนคิดได้ดังเช่นที่ท่านอ๋องคิดใต้หล้าย่อมมีแต่ความสงบสุขแน่นอนเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยรู้สึกเช่นนั้นจริงๆ อดีตฮ่องเต้ทรงยึกติดกับบังลังก์มากจนเกินไป นางคิดว่าชีวิตของพระองค์แท้จริงแล้วก็คงไม่ได้มีความสุขนักหรอก

ในเมื่ออยู่บนบัลลังก์แล้วไม่มีความสุขแล้วเหตุใดยังต้องยึดติดกับมันอีกเล่า ท่ามกลางสายตามากมายของผู้คนที่จับจ้อง อยู่บนที่สูงถึงเพียงนั้นพระองค์ก็คงไม่อาจถอยหลังได้อีกแล้วก็เป็นได้

หลี่เฉินเย่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เอาเถิด หากมันจะเกิดมันก็ต้องเกิด หากว่าเป็นฝีมือของหลี่อวิ่นหลี่จริงๆ หากว่าเขายังประสงค์ในบัลลังก์ของฮ่องเต้แล้วต้องการจะแย่งชิงก็ให้เขามาเถิด”

กล่าวจบชายหนุ่มก็หันมามองชูเซี่ยก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “เจ้าไม่จำเป็นต้องเป็นห่วงข้าไปหรอก หลายปีมานี้เกิดเรื่องราวมากมายข้าก็ล้วนผ่านมันมาได้ ครั้งนี้ก็คงไม่ต่างกันนักหรอก”

จะไม่ให้ชูเซี่ยเป็นห่วงได้อย่างไร หากนี่เป็นการก่อกบฎจริงๆ ศัตรูอยู่ที่ลับตัวเขาอยู่ที่แจ้งย่อมรับมือได้ยาก

การประชวรของไทเฮาเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เป็นแค่เพียงเริ่มต้นก็ทำให้ทุกคนต่างก็อกสั่นขวัญแขวนถึงเพียงแล้ว

แต่เพื่อความสบายใจของหลี่เฉินเย่นแล้วนางจึงเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เป็นห่วงหรอกเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าท่านต้องรับมือได้แน่นอนอยู่แล้ว”

หลี่เฉินเย่นรู้ว่าบางคำถามก็ไม่สมควรถามออกไป แต่ทว่าเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “หากว่าไม่ใช่เพราะเสด็จแม่ทรงประชวร หากว่าจูฟางหยวนไม่ได้บอกว่าอาจารย์ของเจ้าให้เจ้ากลับมายังวังหลวง เจ้าคิดว่าตลอดชีวิตนี้เจ้าจะกลับมาที่เมืองหลวงอีกหรือไม่”

ชูเซี่ยน้ำตาคลอก่อนเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ “ข้าตั้งใจจะให้เด็กๆโตขึ้นอีกสักหน่อยจึงจะส่งพวกเขากลับวัง ส่วนข้าก็ตั้งใจว่าจะออกตามหาลูกศิษย์เพื่อสืบทอดวิชาฝังเข็มต่อจากข้า”

“เจ้ายังหาลูกศิษย์ไม่ได้อีกหรือ” หลี่เฉินเย่นพยายามข่มกลั้นอารามณ์ขมขื่นในใจของตน

“ยังไม่ได้เลยเจ้าค่ะ ตอนอยู่ที่เมืองหนานซานก็เคยสอนสั่งอยู่ไม่กี่คนแต่ทว่าพวกเขาก็ไม่มีพรสวรรค์ในด้านนี้แม้แต่น้อย” ชูเซี่ยกล่าวความจริงออกไป

หลี่อวิ่นกังก็เอ่ยถามอีกครั้ง “จิงโม่และฉงโหลวก็ไม่ได้งั้นหรือ”

“พวกเขายังเด็กนักเจ้าค่ะ ตอนนี้จึงยังไม่มีวุฒิภาวะมากพอ ฉงโหลวก็พอจะมีพรสวรรค์ด้านนี้อยู่บ้าง ส่วนจิงโม่เขากลับไม่มีคุณสมบัติของความเป็นหมอเลยสักนิดเดียว”

“เจ้าต้องการหาศิษย์แค่เพียงผู้เดียวหรือว่ากี่คนเล่า” หลี่อวิ่นกังเอ่ยถาม

ชูเซี่ยเอ่ยยิ้มยิ้ม “แน่นอนว่ายิ่งมากยิ่งดีเจ้าค่ะ ยิ่งสอนคนได้มากก็เท่ากับว่าสามารถรักษาคนได้มากขึ้นเท่านั้น”

หลี่อวิ่นกังรู้สึกทึ่งในตัวของหญิงสาวตรงหน้า “เจ้าช่างใจกว้างเหลือเกิน มีผู้มากวิชาอยู่หลายคนที่หวงแหนวิชาความรู้ยิ่งกว่าสิ่งใด หากจะหาศิษย์ก็หาเพียงหนึ่งเท่านั้น”

ชูเซี่ยเอ่ย “หากมีความคิดเช่นนี้ย่อมไม่อาจทำให้วิชาการแพทย์ก้าวหน้าไปได้หรอกเจ้าค่ะ หากว่ามีวิชาเก่งกล้าอยู่ในมือของตนแต่ไม่ยินยอมที่จะเผยแพร่แก่ผู้อื่นเพราะกลัวเสียเปรียบ วิธีคิดเช่นนี้ไม่มีทางที่จะทำให้วิชาแพทย์ก้าวไกลได้แน่นอนเจ้าค่ะ หากเป็นเช่นนั้นก็น่าเสียดายเหลือเกิน”

หลี่อวิ่นกังพยักหน้า “ก็จริงอย่างที่เจ้าว่า”

ชูเซี่ยดึงบทสนทนากลับมาเรื่องเดิมอีกครั้ง หญิงสาวหันกลับมามองหลี่เฉินเย่น “ตอนนี้ในวังหลวงจะต้องมีไส้ศึกอยู่แน่ ยิ่งไปกว่านั้นไส้ศึกผู้นั่นย่อมเป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับไทเฮามากกว่าที่เราคิดเสียอีก เพราะว่าอาการประชวรของไทเฮาจำเป็นต้องมีคนที่สามารถควบคุมหนอนพิษอยู่ข้างกายเพื่อควบคุมความเร็วของการแพร่พันธุ์พวกหนอนในร่าง หากไม่มีผู้ควบคุมพวกมันคาดว่าป่านนี้พิษในการของไทเฮาก็คงกำเริบไปแล้ว”

ในหัวของหลี่เฉินเย่นมีผู้ต้องสงสัยมากมาย แต่ทว่าหากจะให้เจาะจงว่าสงสัยผู้ใดมากที่สุดเขาเองก็ไม่สามารถพูดออกมาได้

“หนอนพิษพวกนี้จะต้องเข้าไปในร่างกายผ่านบาดแผลภายนอกร่างกายเท่านั้น ข้าเคยถามหมอหลวงหลานเรื่องนี้มาแล้ว ตอนที่ไทเฮาทรงเสด็จออกไปกราบไหว้พระก็ทรงได้รับบาดเจ็บมาจริงๆแต่เป็นเพียงแค่บาดแผลถลอกเล็กน้อย ตอนนั้นหมอหลวงหลานบอกกับข้าว่ามีเพียงเขาเท่านั้นที่เป็นผู้ทำแผลให้แก่ไทเฮา”

หลี่เฉินเย่นชะงักกึก “หรือว่าจะเป็นเขา”

ชูเซี่ยส่ายหน้า “ไม่น่าจะเป็นไปได้เจ้าค่ะ หากว่าเป็นเขาเขาก็ไม่มีทางที่จะเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟัง ยิ่งไม่มีทางพูดว่าเขาเป็นเพียงผู้เดียวที่ทำแผลให้แก่ไทเฮาแน่ นี่ไม่เท่ากับว่าเขากำลังทำให้ตนเองดูน่าสงสัยหรอกหรือ”

“ผู้ใดจะรู้ว่าเขาไม่ได้จงใจให้เป็นเช่นนั้นเล่า หากว่าเขากล่าวมาเช่นนี้ทุกคนก็คงไม่สงสัยในตัวเขาแล้วไม่ใช่หรือ” หลี่อวิ่นกังเอ่ยตามที่ตนเองสงสัย

ชูเซี่ยก็ไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง “เรื่องที่ท่านกล่าวก็มีความเป็นไปได้ แต่ทว่าข้าเชื่อมั่นในตัวของหมอหลวงหลาน เขาไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นได้”

หลี่อวิ่นกังก็เอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าจากวังหลวงไปถึงห้าปี ห้าปีมานี้เจ้าไม่มีทางนึกออกแน่ว่าเกิดเรื่องการแย่งชิงอำนาจกันมากมายเพียงใด เหล่าขุนนางแอบรวบรวมอำนาจซื้อตัวคนในวังกันอย่างลับๆ ผู้ใดจะกล้ามั่นใจเล่าว่าหมอหลวงหลานจะไม่ถูกซื้อตัวไปด้วย”

ชูเซี่ยเองก็ยอมรับว่านางไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวังหลวงมาตลอดห้าปีเลยสักนิด นางจึงหันไปมองหลี่เฉินเย่นอย่างขอความเห็น “ท่านคิดว่าอย่างไรเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นถามนางกลับ “เจ้าบอกว่าหนอนพิษชนิดนี้เข้าได้ทางบาดแผลภายนอกของคนงั้นหรือ”

“เจ้าค่ะ”

“เรื่องนี้เมื่อกลับเข้าวังข้าจะลองส่งคนออกไปสืบโดยละเอียดอีกครั้ง แต่หากว่าบาดแผลของเสด็จแม่มีเพียงเขาที่ดูแลนั่นก็เท่ากับว่าเขาเป็นผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุด ไม่ว่าเขาจะเคยพูดอะไรก็ไม่แน่ว่าจะลบล้างความจริงข้อนี้ได้”

ชูเซี่ยก็คิดไว้แล้วว่าสุดท้ายต้องเป็นเช่นนี้ ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ว่าผู้ใดได้ฟังก็ต้องระแวงสงสัยเป็นธรรมดา

“ถ้าเช่นนั้นท่านก็ลองไปสืบข่าวดูเถิดเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยไม่กล้ายืนยันอีกแล้วว่าหมอหลวงหลานไม่ใช่ข้าศึก ความจริงแล้วนางเองก็ไม่ได้มั่นใจถึงเพียงนั้นมาแต่แรกแล้ว นางออกจากเมืองหลวงนานถึงห้าปีห้าปีมานี้นิสัยของคนที่นางเคยรู้จักจะเปลี่ยนไปกี่มากน้องนางก็ไม่อาจล่วงรู้ได้

หัวใจของคนไม่ว่าเมื่อใดก็เป็นสิ่งที่อ่อนไหวและเปลี่ยนได้ง่ายที่สุด

ตอนที่หลี่เฉินเย่นจะกลับวังชูเซี่ยก็เป็นผู้เดินออกมาส่งเขา “เด็กๆเป็นเด็กดีหรือไม่เจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นยิ้มออกมาด้วยสีหน้าที่อ่อนโยน “ว่านอนสอนง่ายยิ่ง”

“เรื่องของเด็กๆท่านคิดจะเปิดเผยตัวพวกเขาหรือไม่” ชูเซี่ยถามขึ้น

หลี่เฉินเย่นมองหน้าหญิงสาวอย่างประหลาดใจ “แน่นอนมาย่อมต้องเปิดเผย พวกเขาเป็นลูกของข้า ข้าจะไม่ยอมให้เขาอยู่ในวังแห่งนี้โดยไม่มีฐานะแน่”

ชูเซี่ยพยักหน้า “กล่าวเช่นนั่นก็ไม่ผิด แต่ทว่าเรื่องมารดาของคู่แฝดหากเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากให้ท่านบอกว่าข้าเป็นมารดาของพวกเขา”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเปลี่ยนสี “เพราะอะไร”

ชูเซี่ยถอนหายใจออกมาเบาๆ “ข้าเป็นกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้ เรื่องนี้เป็นความจริงที่ไม่อาจหลีกพ้นได้”

หลี่เฉินเย่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงแข็งกระด้าง “คนที่จะเป็นมารดาของคู่แฝดมีเพียงเจ้าแต่เพียงผู้เดียวไม่มีทางเป็นอื่นได้ ไม่ว่าเจ้าจะเคยเป็นกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้หรือไม่ข้าไม่เคยสน ข้ารู้เพียงว่าเจ้าเป็นชูเซี่ย เป็นพระชายาหนิงอานของข้า”

“พระชายาหนิงอานมีเพียงแค่หลิวหยิงหลงและเฉินอวี่จู๋ไม่ใช่ข้า” ชูเซี่ยรู้ว่าเขาไม่ได้อยากฟังแต่นางก็ยังอยากจะพูดออกไปอยู่ดี “ข้าไม่ได้พูดเช่นนี้เพราะตัวข้าหรือเพราะตัวท่าน ข้าทำเช่นนี้ก็เพื่อเด็กๆ ข้าไม่อยากให้พวกเขาต้องทนกับสายตาเย็นชาและคำครหาของผู้อื่น”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า