ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 224

ตอนที่ 224 อุปสรรคมากมาย

ในเช้าวันถัดมา

หลังจากว่าราชการในท้องพระโรงเสร็จสิ้นแล้วหลี่เฉินเย่นก็กล่าวขึ้น “เหล่าขุนนางทั้งหลาย วันนี้เรามีเรื่องจะประกาศให้พวกท่านทราบโดยทั่วกัน”

เหล่าขุนนางทั้งหลายต่างก็นิ่งอึ้งกัน การว่าราชการยามเช้าเสร็จสิ้นแล้วไม่ใช่หรือ แล้วฝ่าบาทยังมีรับสั่งประกาศอะไรอีกเล่า

การว่าราชการยามเช้าของฝ่าบาทส่วนมากก็จะเป็นการร่างวะระต่างๆและการแก้ปัญหาเสียมากกว่า ซึ่งส่วนมากพวกเขาก็มักจะรู้เรื่องที่ฝ่าบาทจะกล่าวอยู่ก่อนแล้ว แต่ทว่าวันนี้กลับมีเรื่องที่พระองค์จะกล่าวซึ่งเหนือความคาดหมายของพวกเขา

แน่นอนว่าการที่พระองค์ทรงตรัสขึ้นมาเช่นนี้ย่อมทำให้เหล่าขุนนางต่างก็หวาดระแวงว่าจะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้นในวังหลวงหรือไม่

จางเซียนฮุยเป็นผู้ทูลถามขึ้นมาก่อน “ฝ่าบาท นี่เป็นการประกาศหรือเพียงแค่อภิปรายหารือกับพวกกระหม่อมพะย่ะค่ะ”

“ประกาศ!” หลี่เฉินเย่นยืนกราน

ยามนี้บุตรสาวของจางเซียนฮุ่ยเป็นพระสนมเหลียงเฟย เมื่อไม่กี่วันก่อนในตำหนักของไทเฮามีเด็กน้อยสองคนโผล่ขึ้นมาที่ตำหนัก ชูเซี่ยเองก็กลับมายังเมืองหลวงแล้ว แน่นอนว่าจางเซียนฮุ่ยก็พอจะคาดเดาได้ว่าพระองค์ตั้งใจจะกล่าวอะไร แต่ทว่าหลายวันมานี้ฝ่าบาทก็ทรงไม่เคยตรัสถึงเรื่องนี้พวกเขาเองก็ไม่กล้าทูลถาม แต่มาบัดนี้พระองค์กลับตรัสว่าเรื่องจะป่าวประกาศก็คงไม่พ้นเรื่องของคู่แฝด

จางเซียนฮุ่ยก็เอ่ยทูล “ฝ่าบาท หากว่านี่เป็นเรื่องสำคัญเหตุใดเราไม่มาปรึกษาหารือกันก่อนแล้วค่อยลงความเห็นกันเล่า”

หลี่เฉินเย่นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรได้ยินเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาแต่กลับไม่ส่งถึงดวงตา “นี่เป็นเรื่องครอบครัวของเราไม่จำเป็นต้องปรึกษาคนนอก”

ขุนนางวี่สื่อต้าฟูเหลียงกุยเอ่ยทูลบ้าง “เรื่องของฝ่าบาทก็เป็นเรื่องของแว่นแคว้น จะทรงแบ่งแยกเรื่องครอบครัวกับเรื่องบ้านเมืองได้อย่างไรกันพะย่ะค่ะ”

เรื่องที่ชูเซี่ยพาเด็กคู่หนึ่งกลับวังหลวงเรื่องนี้พวกเขาต่างก็เคยปรึกษาหารือกันเป็นการส่วนตัวแล้วครั้งหนึ่ง ไม่นับรวมที่ชูเซี่ยเคยเป็นถึงกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้ อีกทั้งเด็กๆสองคนนี้ยังเกิดมาจากนอกรั้ววังหลวง สายเลือดของเด็กแฝดคู่นี้จึงเป็นที่น่าสงสัยไม่น้อย แน่นอนว่าเมื่อครั้งที่พวกเขาเคยพบปะกับท่านอำมาตย์ที่เคยเห็นหน้าคู่แฝดนั้นก็ยืนกรานหนักแน่นว่าใบหน้าของเด็กสองคนนั้นละม้ายคล้ายฝ่าบาทยิ่งนัก คงไม่มีอะไรเข้าใจผิดแน่

แต่หากว่าฝ่าบาททรงสามารถให้กำเนิดทายาทมังกรได้จริงๆล่ะก็แล้วเหตุใดหลายปีมานี้ถึงได้หมางเมินต่อเหล่าพระสนมในวังหลังถีงเพียงนี้กันเล่า หากพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับพวกนางสนมสักนิดก็ไม่แน่ว่าจะสามารถให้กำเนิดพระโอรสได้อีกหลายคนเลยไม่ใช่หรือ เด็กแฝดสองคนนั้นมีชาติกำเนิดที่ยังน่าสงสัยอีกทั้งมารดาก็เคยดำรงตำแหน่งเป็นถึงหวังกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้ หากว่าฝ่าบาททรงป่าวประกาศฐานะของคู่แฝดสองคนนั้นนั่นไม่เท่ากับว่าพระองค์ตั้งใจจะฉีกหน้าของอดีตฮ่องเต้หรืออย่างไร

ท่านวี่สื่อต้าฟูทนไม่ได้ที่จะให้เกิดเรื่องรางโกลาหลเช่นนี้ในวังหลวง

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นฉายแววเย็นชาขึ้นหลายส่วน “ถ้าเช่นนั้นต่อให้เราดื่มหรือกินอะไรก็นับว่าเป็นเรื่องของแว่นแคว้นด้วยใช่หรือไม่”

เหลียงกุยก็ทูลตอบ “ฝ่าบาททรงเป็นผู้ปกครองแคว้น การกินดื่มของพระองค์ย่อมต้องเกี่ยวข้องกับแว่นแคว้นอยู่แล้วพะย่ะค่ะ หากฝ่าบาทกินดื่มไม่ดี บรรทมไม่หลับก็ย่อมส่งผลถึงปวงประชาราษฎ์ พวกกระหม่อมยิ่งต้องให้ความสำคัญ”

หลี่เฉินเย่นกล่าวเสียงเย็น “ท่านวี่สื่อต้าฟูเป็นห่วงเราถึงเพียงนี้เราช่างปลื้มใจยิ่งนัก แต่ว่าเราเป็นผู้ปกครองใต้หล้านี้ แม้ว่าจะเป็นฮ่องเต้แต่เราก็มีสิทธิคิดทำตามใจตนเอง มีชีวิตของเราเอง ดังนั้นเรื่องที่วันนี้เราจะประกาศก็คือ...”

จังหวะคำพูดของเขาถูกขัดขึ้นอย่างรวดเร็ว “ฝ่าบาท กระหม่อมเห็นว่าไม่ว่าพระองค์ทรงคิดจะประกาศสิ่งใดออกมาก็ควรจะปรึกษาหารือกับเหล่าขุนนางอย่างพวกกระหม่อมเสียก่อนจึงจะถูก”

ในใจของหลี่เฉินเย่นเริ่มเกิดพายุโทสะขึ้นมา ดูท่าแล้วพวกขุนนางเหล่านี้คงเตรียมการมาตั้งแต่ต้นไม่ยอมให้คู่แฝดของเขาได้รับตำแหน่งที่พวกเขาสมควรได้รับสินะ

ตอนหลายปีมานี้หลี่เฉินเย่นถูกขุนนางผู้นี้จูงจมูกมาตลอดแต่ทว่าครั้งนี้ชายหนุ่มก็ไม่คิดที่จะทนต่อไปอีกแล้ว หลี่เฉินเย่นยกมือเป็นเชิงปราม “หารือ? ดี เราปรึกษาหารือกับพวกเจ้าแน่ แต่ว่าเป็นเรื่องของตำแหน่งรัชทายาทก็แล้วกัน”

จบประโยคนั้นความเงียบก็เข้ามาปกคลุมทั่วทั้งท้องพระโรงอย่างน่าอึดอัดใจ

เหลี่ยงกุ้ยคาดไม่ถึงว่าว่าจู่ๆฮ่องเต้จะทรงตรัสถึงเรื่องตำแหน่งรัชทายาทขึ้นมา เขาจึงตัดสินใจก้าวไปข้างหน้าและคุกเข่าลงกับพื้นต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท “ฝ่าบาท เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่นักขอพระองค์ทรงใตร่ตรองให้ถี่ถ้วนด้วยเถิดพะย่ะค่ะ”

หลี่เฉินเย่นยิ้มเย็น “เรื่องการเลือกรัชทายาทเราย่อใตร่ตรองอย่างถี่ถ้วนอยู่แล้ว ข้ามั่นใจว่าเหล่าขุนนางทุกท่านคงจะได้ยินเรื่องมาอยู่ก่อนแล้ว เรื่องที่ชูเซี่ยพาเด็กแฝดสองคนกลับมายังเมืองหลวง เดิมทีเรื่องนี้เราก็คงไม่จำเป็นต้องพูดขึ้นมาในท้องพระโรงแห่งนี้ด้วยซ้ำ แต่ทว่าถึงอยากไรเราก็อยากจะมาบอกกล่าวแก่พวกท่านสักนิดเพื่อให้พวกท่านได้แสดงความยินดีกับเรา ในยามนี้เรามีถึงบุตรชายหนึ่งและบุตรสาวอีกหนึ่ง องค์ชายน้อยมีนามว่า หลี่ฉงโหลว ส่วนองค์หญิงน้อยมีนามว่า หลี่จิงโม่ และมารดาของเด็กๆก็มีนามว่า ชูเซี่ย ซึ่งเป็นสตรีที่เรารักนับตั้งแต่ก่อนจะได้ขึ้นครองบัลลังก์เสียด้วยซ้ำ ซึ่งเราเองก็ค่อนข้างมั่นใจว่าพวกท่านเองก็คงรู้จักชูเซี่ยกันอยู่แล้ว”

หลังจากที่หลี่เฉินเย่นกล่าวจบ ทั่วทั้งท้องพระโรงก็มีทั้งผู้ที่ยินดีและไม่ยินดี

ผู้ที่ยินดีก็คือผู้ที่คิดถึงแว่นแคว้นเป็นหลัก หลายปีมานี้พวกเขาต่างก็เป็นกังวลเรื่องที่ฝ่าบาทไร้ทายาทสืบเชื้อสายราชวงศ์เพราะนั่นจะเป็นการก่อให้เกิดความวุ่นวายในราชสำนักในภายภาคหน้า แต่บัดนนี้พระองค์มีองค์ชายน้อยและองค์หญิงน้อยมาอย่างละหนึ่ง นั่นก็เท่ากับว่ายามนี้แว่นแคว้นก็เริ่มมั่นคงมากขึ้น

ด้านคนที่ไม่ยินดีก็มีไม่น้อย ซึ่งพวกเขาต่างก็มีความคิดเห็นที่ต่างกันออกไป เช่นเหลียงกุยและจางเซียนฮุ่ย เป็นต้น เพราะพวกเขาส่งบุตรสาวของตนให้ถวายตัวเข้าวังเป็นนางสนม หากบุตรสาวของพวกเขาสามารถให้กำเนิดพระโอรสให้แก่ฝ่าบาทได้ย่อมเป็นการดีต่อพวกเขาและวงศ์ตระกูลพวกเขาในกาลหน้า

โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามนี้องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวก็กำลังเสด็จมาแต่งงานเจริญสัมพันธไมตรีกับแคว้นของเรา แคว้นหนานจ้าวมีหรือจะยอมให้องค์หญิงแคว้นพวกเขาเป็นเพียงพระสนม เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าเป็นการสร้างปัญหาระหว่างสองแคว้นหรืออย่างไรกัน

ที่ผ่านมาไม่ว่าทรงคิดทำการสิ่งใดพระองค์ก็มักจะปรึกษาหารือขอความเห็นของพวกเขาทุกครั้งไป แต่ทว่ามายามนี้ เรื่องนี้พระองค์กลับไม่เคยตรัสมันกับผู้ใดมาก่อน ทั้งยังทรงเลือกที่จะประกาศหลังจากเสร็จการหารือเรื่องการบ้านการเมืองในช่วงเช้าไปแล้วด้วย

ฝ่าบาททรงเผด็จการเหลือเกิน พระองค์ทำเอาขุนนางอำมาตย์บางคนถึงกับตื่นตะลึงทำอะไรไม่ถูกไปเลยทีเดียว

ยามนี้พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริงๆว่าบัดนี้ฮ่องเต้ของพวกเขาเริ่มปีกกล้าขาแข็งขึ้นมามากแล้วจริงๆ

“กระหม่อมขอแสดงความยินดีกับฝ่าบาทด้วยพะย่ะค่ะ! ยินดีกับฝ่าบาทด้วยพะย่ะค่ะ!” เสนาบดีจางและท่านอุปราชก้าวเท้ามาข้างหน้าก่อนจะคุกเข่าแสดงความยินดีอย่างล้นพ้น

แน่นอนว่าพวกเขารู้เรื่องนี้มาตั้งนานแล้ว แต่ทว่าก็นึกไม่ถึงจริงๆว่าฝ่าบาทจะทรงตรัสประกาศออกมาให้เหล่าขุนนางทราบในท้องพระโรงได้เร็วถึงเพียงนี้ พระองค์ทรงตัดสินใจแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและเฉียบขาดเหลือเกิน พวกเขารู้สึกชื่นชมเหลือเกิน

เหลียงกุ้ยเริ่มแสดงท่าทีไม่สบอารมณ์ขึ้นมาเล็กน้อย “ฝ่าบาท ชูเซี่ยที่พระองค์ตรัสถึง ทรงหมายถึงชูเซี่ยผู้เป็นกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้หรือพะย่ะค่ะ”

หลี่เฉินเย่นได้ยินคำถามจากอีกฝ่ายก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ท่าทางขุนนางวี่สื่อต้าฟูจะหูไม่ค่อยดีจึงไม่ได้ยินว่าเมื่อครู่เรากล่าวอะไรไปบ้าง ชูเซี่ยคือหญิงสาวที่เราผูกสมัครใจรักใคร่นางตั้งแต่เมื่อครั้งยังเป็นหนิงอานอ๋อง อีกทั้งนางยังเป็นหญิงสาวที่ไท่หวังไทเฮาหมายมั่นปั้นมือให้เป็นพระชายาของเรา เมื่อหนึ่งถึงสองปีก่อนที่อดีตฮ่องเต้จะสิ้นพระชนม์พระองค์เคยกินยาลูกกลอนจนทำให้สติไม่สมประกอบทั้งยังตัดสินใจเลอะเลือน ในฐานะที่พวกเจ้าเป็นขุนนางที่ซื่อสัตย์และจงรักภักดีก็ควรขำแก้ไขให้สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นถูกต้องไม่ใช่หรือ”

“ฝ่าบาท แม้พระองค์จะตรัสว่าเป็นพระประสงค์ของไท่หวังไทเฮาแต่ก็ไม่มีพยานรู้เห็น ในเมื่อเป็นเพียงแค่ลมปากจะนำมาตรัสราวกับว่าเป็นเรื่องจริงได้อย่างไรกันพะย่ะค่ะ เรื่องที่ชูเซี่ยเป็นกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้นั่นต่างหากเล่าที่เป็นเรื่องจริงที่พวกกระหม่อมล้วนรู้กันทั่วกัน เรื่องที่ชูเซี่ยเคยมีตำแหน่งเป็นนางสนมของอดีตฮ่องเต้ในวังหลังมันคือความจริงที่ไม่มีสิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงได้นะพะย่ะค่ะ”

“จะเปลี่ยนแปลงได้หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเรา” หลี่เฉินเย่นยกมือขึ้น “การประชุมในวันนี้เสร็จสิ้นแล้ว หากว่าขุนนางวี่สื่อต้าฟูยังอยากหารือกับเราเรื่องตำแหน่งรัชทายาทเราก็ยินดี ไปพบเราที่ห้องอักษรก็แล้วกัน”

เหลียงกุ้ยเฟยคุกเข่าลง “ฝ่าบาทโปรดใตร่ตรองด้วยเถิด เรื่องตำแหน่งรัชทายาทเกี่ยวพันถึงบ้านเมือง จะประมาทเลินเล่อไม่ได้เป็นอันขาด”

“ไม่ประมาทอย่างแน่นอนเพียงแต่เรื่องนี้ก็สมควรตัดสินใจให้เร็วหน่อยจึงจะดี”

ตรัสจบฮ่องเต้ก็ทรงยืนขึ้นก่อนจะเสด็จออกไปจากท้องพระโรง

“เลิกได้!” ขันทีผู้หนึ่งกล่าวประกาศดังก้องท้องพระโรงหลังจากที่ฝ่าบาททรงเสด็จออกไป

เหลียงกุยและจางเซียนฮุ่ยหันมาสบสายตากันด้วยสีหน้าซับซ้อน

หลังจากเหล่าขุนนางนับร้อยทยอยออกจากท้องพระโรงไปแล้วขันทีผู้นั้นก็เดินมาหาหนอนหนังสือ “ท่านหนอนหนังสือขอรับโปรดรั้งรอก่อนเถิด”

หนอนหนังสือหลี่มู่ก็หันกลับมาหาขันทีผู้นี้ก่อนเอ่ยถาม “กงกงมีธุระกับข้าหรือ”

“ฝ่าบาททรงรับสั่งให้ท่านไปเข้าเฝ้าที่ห้องทรงพระอักษรขอรับ”

ท่านเสนาบดีก็โค้งกายเล็กน้อย “ข้าน้อยทราบ!”

เหลียงกุ้ยผู้เห็นเหตุการณ์นี้เข้าก็รีบดึงร่างของจางเซียนฮุ่ยออกมาจากท้องพระโรง “ฝ่าบาทมีรับสั่งให้หลี่มู่เข้าเฝ้า ดูท่าแล้วคงตั้งใจจะบันทึกชื่อของเด็กแฝดนั่นลงบนราชพงศาวลีเป็นแน่”

“ใต้เท้าเหลียง เรื่องนี้ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยไปแล้วเราเองไม่สามารถคัดค้านได้” จางเซียนฮุ่ยกล่าวพลางถอนหายใจ

เหลียงกุยเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ยดูถูก “หญิงที่ชื่อชูเซี่ยนั่นก็ช่างไร้ยางอายเหลือเกิน นางเป็นกุ้ยเฟยของอดีตฮ่องเต้ทั้งยังมีสัมพันธ์กับฮ่องเต้องค์ปัจจุบันอีก อยู่ข้างนอกให้กำเนิดคู่แฝดแล้วจึงจะค่อยไสหัวกลับมายังเมืองหลวง นางนับว่าเป็นตัวกาลกินีอย่างแท้จริง การสิ้นพระชนม์ของฮ่องเต้บางทีอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับนางเสียด้วยซ้ำ”

จางเซียนฮุ่ยมองไปรอบๆด้านก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ใต้เท้า เบาเสียงลงหน่อยเถิด อย่างไรเสียตอนนี้นางก็เป็นถึงมารดาขององค์ชายและองค์หญิง”

“ถุย!” เหลียงกุยโกรธจนใบหน้าบิดเบี้ยว “ข้าไม่ยอมรับเสียอย่างใครเล่าจะทำอะไรได้”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า