ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 227

ตอนที่ 227 ให้เงินไปต่อย

ผู้ชายใบหน้าอ้วนกลมคนหนึ่งกวาดดวงตามาหยุดอยู่ที่ใบหน้าของชูเซี่ยก็จะยกนิ้วขึ้นชี้ตรงไปที่หญิงสาว “พวกข้ามาหานาง ข้าไม่คิดจะมีเรื่องกับเจ้า เจ้าเองก็หลบไปแต่โดยดีเถิด มือเท้ายังพอจัดการได้ แต่กระบี่ไร้ตาเกรงว่าหากเจ้าบาดเจ็บคงจะไม่ดีนัก”

เชียนซานร้อง ‘เฮอะ’ ออกมา “นางเป็นนายหญิงของข้า พวกเจ้ามาหาเรื่องนางก็เท่ากับมาหาเรื่องข้าอยู่ดี หากคิดจะทำร้ายนางพวกเจ้าต้องข้ามศพข้าไปเสียก่อน!”

ชายหนุ่มหน้ากลมยิ้มเย้ยหยันออกมา “ดี เช่นนั้นก็อย่าหาว่าพวกข้าโหดเหี้ยมก็แล้วกัน”

ชูเซี่ยชี้ออกไปที่ลานกว้างหน้าด้านนอก “หากจะทะเลาะกันก็ออกไปทะเลาะกันข้างนอก อย่าได้ทำข้าวของของข้าเสียหาย”

พวกหนูทดลองของนางอยู่ด้านหลังนี่เอง หากว่ามีการต่อสู้กันขึ้นมาแล้วทำให้หนูทดลองพิษของนางถูกฆ่าจนหมดต้องเกิดปัญหาแน่

เชียนซานชักดาบของตนออกจากฝัก นางตวัดกระบี่สีเขียวของตนเองไปชี้หน้าศัตรูที่อยู่เบื้องนาง ยามนี้ใบหน้าของนางงดงามและฉายแววเย็นชาขึ้นหลายส่วน เป็นโฉมสะคราญที่งดงามและอำมหิตโดยแท้

เชียนซานไม่กล้าบุ่มบ่ามเพราะอีกฝ่ายมีวิชาฝ่ามือเยือกแข็งอยู่ด้วย วิชานี้เป็นวิชาของพวกโจรสลัด เหล่าโจรสลัดในยุทธภพมีวิชายุทธที่ล้ำเลิศและพิสดาร ผู้คนในพรรคส่วนใหญ่มาจากครอบครัวยากจน เพื่อเงินแล้วคนในพรรคนี้สามารถทำได้ทุกอย่าง มีนิสัยบ้าคลั่งและฆ่าคนได้อย่างไม่เลือกหน้า ดังนั้นหากจะบอกว่าพรรคนี้ผลิตนักฆ่าออกมาก็ไม่ได้กล่าวเกินจริงเท่าใดนัก

เสียงกระทบของดาบดังก้องไปทั่วลานกว้าง ชูเซี่ยเอาพวกหนูใส่เข้ากรงเรียบร้อยจากนั้นก็ค่อยๆย่างกรายออกมาดูเหตุการณ์ภายนอก

เดิมทีนางคิดว่าเป็นเพียงแค่การทะเลาะเบาะแว้งทั่วๆไป แต่ดูจากภาพตรงหน้าแล้วดูจะไม่ใช่การทะเลาะธรรมดาทั่วไปแล้ว

เชียนซานถูกชายหนุ่มสี่คนรุมอยู่ในวงล้อมจนเสียแรงไปมาก แม้ว่านางจะยังรับมือได้อยู่แต่ชูเซี่ยเชื่อว่าอีกเพียงไม่ถึงสิบสองกระบวนท่าเชียนซานก็คงรับมือไม่ไว้แล้ว

คนพวกนี้ไม่ได้ลงมือเหี้ยมโหดแต่ดูเหมือนว่าจะแค่ทดลองวิชาของเชียนซานเท่านั้นไม่ได้หมายเอาชีวิตแต่อย่างใด หากว่าตั้งใจจะเอาชีวิตจริงป่านนี้ชีวิตน้อยๆของเชียนซานก็คงจบสิ้นไปตั้งแต่กระบวนท่าแรกๆแล้ว

พวกเขาเพียงแค่ต้องการหยุดเชียนซานไว้แต่ก็ไม่ได้คิดจะสังหารนาง

ชูเซี่ยหยิบเข็มทองออกมาไว้ในมือแต่ก็ไม่ได้ลงมือเพราะนางยังไม่แน่ชัดว่าอีกฝ่ายเป็นใครมาจากที่ใดและมีจุดประสงค์อะไรกันแน่

เชียนซานเองก็เริ่มรับมือไม่ไหวแล้ว ตัวนางเองก็เริ่มคิดเหมือนชูเซี่ย นางดูออกว่าอีกฝ่ายไม่ได้หมายจะเอาชีวิต กลับกันเหมือนว่าพวกเขากำลังตักเตือนกลายๆมากกว่า

เป็นผู้ใดส่งมา แล้วจะมาตักเตือนพวกนางทำไมกัน?

เชียนซานชักกระบี่กลับมา ลมหายใจของหญิงสาวเริ่มหอบน้อยๆพลางยกดาบขึ้นชี้หน้า “พวกเจ้าต้องการอะไรกันแน่”

ชายผู้มีปานดำที่หน้าเห็นว่าเชียนซานเริ่มไม่ไหวเสียแล้วก็เอ่ยคำรามกดดันนาง “เจ้าไม่มีสิทธิมาถามคำถามนี้กับพวกข้า หลีกไปเสีย!”

เชียนซานโกรธจนใบหน้าเขียวคล้ำ เหล่าผู้บุกรุกตรงหน้ามีวิชายุทธสูงส่ง หากนายหญิงยังไม่ลงมือนางย่อมไม่อาจสู้ได้ แต่ทว่าดูจากท่าทางของนายหญิงแล้ว นางดูไม่มีที่ท่าที่จะลงมือเสียด้วยซ้ำ

เชียนซานไม่มีเรี่ยวแรงแม้แต่จะเอ่ยปากอีกแล้วนางทำเพียงถลึงตามองศัตรูตรงหน้าอย่างแค้นเคืองเท่านั้น

ชูเซี่ยก้าวเท้ามาข้างหน้า “พวกท่านมาบุกรุกที่นี่ก็เพราะข้า ก็ดี เช่นนั้นมีเหตุผลอะไรก็พูดมาเถิด”

ชายผู้มีปานดำบนใบหน้าซีกซ้ายหันมามองนางอย่างพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเรียบ “มีคนสั่งให้พวกเรามาตักเตือนเจ้าว่าอย่าได้คิดเข้าข้างตนเอง อย่าได้เห็นกงจักรเป็นดอกบัว อย่าได้ทรนงตนจนหาเรื่องใส่ตัว”

ชูเซี่ยชะงัก “แค่นี้หรือ?”

เข้าข้างตนเอง? นางคิดเข้าข้างตนเองเรื่องของใครมิทราบ เห็นกงจักรเป็นดอกบัว? นางเคยทำเสียที่ไหนยิ่งเรื่องหา

เรื่องใส่ตัวนางยิ่งไม่เคย

“นายของพวกเราจะมาหาเจ้าเองในภายหลัง ครั้งนี้เพียงต้องการมาให้บทเรียนแก่เจ้าเท่านั้น” บุรุษปานดำเอ่ยขึ้น ก่อนจะออกกระบวนท่าพุ่งตรงมาที่นางหมายจะคว้าไหล่ของชูเซี่ยไว้

ชูเซี่ยยิ้มบาง ร่างกายบอบบางของนางยังคงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับไปไหน แต่นางเพียงโบกสบัดแขนเล็กน้อยก็เกิดสายลมแรงระลอกหนึ่งขึ้น

ชายผู้มีปานดำรู้สึกว่าสายลมที่พัดมาทางเขาราวกับมีใบมีดเล็กๆเสียดสีผิวกายเขาจนแสบๆคันๆแม้แต่หายใจก็ยังยากลำบาก ชายหนุ่มจึงหยุดมือและพยายามหายใจลึกๆแต่ทว่าลมที่พัดมาต่อเนื่องทำให้เขาไม่อาจหายใจได้ สุดท้ายเมื่อทน

กลั้นใจไม่ไหวเขาจึงเลือกที่จะถอยออกมาก่อน

ผู้ที่เหลืออยู่ต่างก็หันมาทางชูเซี่ยจ้องมองนางด้วยแววตาหวาดกลัว ไม่น่าเชื่อว่าท่าทางบอบบางอ่อนแอของหญิงสาวจะมีฝีมือร้ายกาจถึงเพียงนี้

ชูเซี่ยสะบัดแขนเสื้อตนเองก่อนจะจ้องเขม็งมาทางพวกเขา “กลับไปบอกนายของเจ้าหากเขามีปัญหาก็มาหาข้าด้วยตนเอง เรื่องที่สามารถเจรจาได้ก็ไม่สมควรต้องลงไม้ลงมือ แต่ถ้าเขายังยืนยันจะใช้กำลังแล้วล่ะก็ ข้าเองก็ไม่ขัด”

ชายอ้วนกลืนน้ำลายตนเองเล็กน้อยก่อนจะโค้งกายอย่างนับถือ “ข้าจะนำความไปบอกแน่นอนขอรับ”

กล่าวจบเขาก็ทำสัญญาณมือจากนั้นคนทีเหลือก็เดินไปพยุงร่างของชายหน้าดำที่มีปานอยู่ที่ใบหน้าขึ้นมา ชายผู้นั้น

ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่เพราะเขาหวาดกลัวเสียจนแข้งขาอ่อนสุดท้ายก็ต้องให้พวกตนเองมาพยุงร่างออกไป

เชียนซานถอนหายใจอย่างโล่งอก ยังไม่ทันที่นางจะเอ่ยปากพูดสายตาก็เหลือบไปเห็นเงาของคนที่แอบอยู่หน้าประตู

เชียนซานเอ่ยเสียงเข้ม “นี่ยังไม่คิดจะรามืออีกหรือไงกัน รนหาที่ตายแท้ๆ”

เงาของผู้ที่แอบอยู่หลังประตุหน้าถึงกับรอบสบสายตากัน พกวเขาหวาดกลัวเสียจนแทบจะกอดกันอยู่แล้ว

“เจ้าพวกคนขลาด!” เชียนซานเห็นท่าทางลนลานถอยห่างของพวกเขาก็ยิ้มเยาะ

ชูเซี่ยเองก็ยิ้มออกมาน้อยๆ “ท่านอ๋อง ในเมื่อมาแล้วก็ออกมาเถิดเจ้าค่ะ”

เงาร่างหนึ่งพุ่งทะยานลงจากหลังคาลงมาที่พื้น เป็นหลี่อวิ่นกังดังที่ชูเซี่ยคาดจริงๆ ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้านางพร้อมส่งรอยยิ้มสุภาพ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าเป็นข้า”

“ข้าเป็นคนจมูกดีเจ้าค่ะ หลายวันมานี้ดูท่าท่านคงจะอุ้มองค์หญิงน้อยไว้ตลอดเวลาเลยสินะเจ้าคะ ทั้งตัวจึงมีแต่กลิ่นน้ำนม”

“โอ้!” หลี่อวิ่นกังลองยกแขนเสื้อของตนขึ้นมาดมดู “ไม่เห็นจะได้กลิ่น”

“เพราะจมูกของท่านชินกลิ่นแล้วน่ะสิเจ้าคะจึงได้ไม่รู้” ชูเซี่ยมองไปที่ชายหนุ่มตรงหน้า “ท่านคงไม่ได้ผ่านมาบนหลังคาบ้านข้า ‘โดยบังเอิญ’ ใช่หรือไม่เจ้าคะ”

หลี่อวิ่นกังยิ้มแหย “ไม่ใช่ ‘โดยบังเอิญ’ หรอก แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ เป็นจูฟางหยวนที่ให้ข้ารอเขาอยู่ที่นี่”

เชียนซานถามขึ้นอย่างสงสัย “ท่านอ๋องเจ้าคะ ในเมื่อจูฟางหยวนให้ท่านรอที่นี่แล้วเหตุใดท่านถึงต้องขึ้นไปรอบนหลังคาด้วยล่ะเจ้าคะ”

หลี่อวิ่นกังลูบจมูกเก้อเขิน “ข้างบนทิวทัศน์งดงามไม่น้อย”

เขาไม่กล้าบอกว่ากลุ่มคนเมื่อครู่คือคนที่จูฟางหยวนว่าจ้างมา แต่ว่าน่าแปลกนัก จูฟางหยวนเป็นผู้พูดเองไม่ใช่หรือว่ารอให้จิงโม่และฉงโหลวมาก่อนค่อยบีบให้ชูเซี่ยลงมือ?

แต่ทว่าคนพวกนั้นยังไม่รอจนจิงโม่และฉงโหลวมาถึง ยังไม่ทันที่จะทำทีเป็นลักพาตัวเด็กก็บุกเข้ามาในบ้านทั้งยังทำท่าทีเป็นรื้อค้นข้าวของราวกับอันธพาลมาหาเรื่องเสียมากกว่า

เชียนซานเอามือมาป้องและมองขึ้นไป “ทิวทัศน์งดงาม? งดงามตรงไหนกันเจ้าคะ”

ที่นี่มีเพียงแค่ลานกว้างกับกระท่อมหลังน้อยเท่านั้น แน่นอนว่าทิวทัศน์เดียวที่มีก็ไม่ได้นับว่างดงามด้วยซ้ำ ที่กำแพงบ้านก็มีแค่ดอกไม้บานประปรายเท่านั้น

ชูเซี่ยปรายตามาทางหลี่อวิ่นกัง “กลุ่มคนเมื่อครู่คือคนที่ท่านอ๋องส่งมาหรือเจ้าคะ”

หลี่อวิ่นกังแข็งข้าง ทำหน้าตื่นตะลึงก่อนส่ายหน้ายกใหญ่ “ไม่ ไม่ ไม่เกี่ยวกับข้าเลยแม้แต่น้อย เป็นจูฟางหยวน จูฟางหยวนเป็นผู้ออกเงินจ้างวานคนเหล่านั้น เปิ่นหวานไม่ได้ออกแม้แต่แดงเดียว”

“จูฟางหยวน เจ้าหมูตัวนี้ว่างนักไม่มีอะไรทำหรือ” เชียนซานโมโหจนแทบคลั่ง “คนพวกนั้นลงมือไม่หนักไม่เบา แม้ว่าพวกเขาไม่คิดจะสังหารข้า แต่ว่าข้าก็แค่หญิงสาวตัวคนเดียว เขาถึงกลับกล้าใช้วิธีนี้มาจัดการกับข้าเชียวหรือ เกินไปหน่อยหรือไม่”

“เชียนซาน เจ้าจะโวยวายทำไมกัน”

ใบหน้าเจ้าเล่ห์ของจูฟางหยวนโผล่มาพร้อมกับมือทั้งสองข้างที่จูงจิงโม่และฉงโหลวก้าวผ่านประตูเข้ามา เมื่อเห็นท่าทางกระทืบเท้าขัดใจของเชียนซานก็ถามขึ้น

เชียนซานหันมาเห็นอีกฝ่ายก็ยิ่งเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน กำหมัดของตนเองแน่นก่อนจะเอ่ยเสียงเหี้ยม “เจ้ามันเจ้าหมูชั่วร้าย กล้ามากนะที่พาผู้อื่นมาสร้างความวุ่นวายที่นี่ กินอิ่มนอนหลับแล้วว่างนักหรือไง เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าข้าจะผ่าหัวของเจ้าให้เจ้ากินสมองของตนเองจนอิ่มน่ะ!”

ฉงโหลวได้ยินเช่นนั้นก็ย่นจมูก “พี่เชียนซานท่านโหดร้ายเหลือเกิน”

เชียนซานเห็นฉงโหลวและจิงโม่ก็ยิ้มอย่างยินดี นางรีบวิ่งไปหยุดอยู่ตรงหน้าเด็กและโอบร่างเล็กของพวกเขาไว้ “ไม่ ไม่ พี่เชียนซานแค่โหดร้ายกับพวกเขา พี่สาวไม่มีวันโหดร้ายกับพวกเจ้าแน่ มาเถิด อย่าไปอยู่ใกล้คนเช่นนี้ เขาเป็นคนไม่ดี”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า