ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 229

ตอนที่ 229 ไม่ยอมแต่งงาน

เหลียงกุยฟังคำบอกเล่าของบุรุษหน้าอ้วนด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “เจ้าว่าอย่างไรนะ นางเพียงแค่ขยับมือก็ทำให้พวกเจ้าได้รับบาดเจ็บแล้วงั้นหรือ”

เขายังกล่าวต่อไป “ไม่ผิดขอรับ แม้แต่เชียนซานยังไม่ใช่คู่มือของพวกเราด้วยซ้ำ แต่ทว่าชูเซี่ยนางเป็นกระบี่ที่ซ่อนคมในฝักจริงๆ”

เหลียงกุ้ยนิ่งไป “เคยได้ยินยอู่บ้างว่านางรู้วรยุทธ แต่นึกไม่ถึงว่านางจะร้ายอาจถึงเพียงนี้”

จากนั้นเขาก็ถามขึ้นอีก “นอกจากเชียนซานแล้วยังมีผู้ใดออกมาช่วยเหลืออีกหรือไม่”

“ไม่มีขอรับ!”

“แสดงว่านอกจากเชียนซานก็ไม่มีคนจากพรรคมังกรเหินออกมาช่วยนางสักคน หรือว่าตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรเหินของนางคงเหลือเพียงแค่นามกระมัง” เหลียงกุยเริ่มไม่มั่นใจขึ้นมา

“อาจเป็นเพราะพวกข้าโผล่ไปอย่างกระทันหันทำให้คนของพรรคมังกรเหินมาไม่ทันก็เป็นได้ขอรับ”

เหลียงกุยส่ายศีรษะ “ไม่ หัวหน้าพรรคมังกรเหินจะมีองครักษ์ลับคอยให้ความคุ้มครองอย่างใกล้ชิด หากว่านางมีปัญหาพวกเขาจะต้องออกมาช่วยอย่างแน่นอน แต่ทว่าหลังจากที่เชียนซานพลาดพลั้งนางก็เป็นผู้ลงมือเอง หากว่าไม่ใช่เพราะพรรคมังกรเหินเกิดปัญหาของคงเป็นเพราะคนในพรรคไม่ยอมรับนางอีกแล้วกระมัง”

“ใต้เท้า เกรงว่าจะไม่เป็นเช่นนั้นขอรับ หากว่าพวกเขาไม่ยอมรับชูเซี่ยเป็นหัวหน้าพรรคแล้วเหตุใดเชียนซานจึงยังอยู่ค้างกายนางเล่า”

“เชียนซานนางเป็นคนจงรักภักดีที่นางยังอยู่เคียงข้างชูเซี่ยก็เป็นเพราะคำสั่งเสียของอดีตไทเฮากระมัง”

เหลียงกุยเงียบไป ทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “เจ้าลองส่งคนไปอีกสักครั้ง ครั้งนี้ขอยอดฝีมือกว่าเดิมดูว่าพวกนางจะรับมืออย่างไร”

“ขอรับใต้เท้า เช่นนั้นข้าน้อยขอตัว”

เหลียงกุยสะบัดมือ “ไปเถิด แม้ว่าบัดนี้คนของพรรคมังกรเหินจะไม่ได้ปรากฎตัว แต่ว่าพวกเราก็สมควรเรียนรู้เรื่องของอีกฝ่ายให้มากกว่านี้เสียก่อน”

“ขอรับ!” จากนั้นชายร่างอ้วนก็ถอยกลับออกไป

ชูเซี่ยเตรียมพร้อมรับมืออยู่หลายวันแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีผู้ใดโผล่มาเลยสักคน ทำให้นางเริ่มรู้สึกเอือมระอาขึ้นมา

ชูเซี่ยยังคงรอคอยว่าคนที่ส่งคนมาตักเตือนนางจะเดินทางมาพบนางเพื่อเจรจาสักครั้ง

ช่วงหน้าในเมืองหลวงค่อนข้างเข้มงวดกวดขันยิ่งนัก มีการตรวจสอบผู้คนที่เดินทางเข้าออกเมืองหลวงโดยละเอียด

ที่ต้องเข้มงวดและระมัดระวังถึงเพียงนี้ก็เพราะว่าอีกไม่กี่วันองค์หญิงแคว้นหนานจ้าวก็จะเสด็จมาถึงเมืองหลวงแล้ว

สองวันมานี้นางต้องทนฟังเชียนซานมาวนเวียนอยู่ข้างตัวนางตลอดเวลา อ้ำๆอึ้งๆแต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรสักที

จนมาวันนี้ในที่สุดความอดทนของชูเซี่ยก็มาถึงจุดสิ้นสุด นางวางสมุนไพรในมือลง “เชียนซาน เจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่”

เชียนซานชะงักก่อนจะทำสีหน้าเลิ่กลั่ก “เรื่องอะไรหรือเจ้าคะ ไม่มี ไม่มีสักหน่อยเจ้าค่ะ”

“จะพูดหรือไม่พูด” ชูเซี่ยหยิบหญ้ากระดูกไก่ขึ้นมาแล้วชี้ไปที่นาง

เชียนซานจึงเอ่ยอ้อมแอ้ม “ไม่ได้มีอะไรสำคัญหรอกเจ้าค่ะ ก็เรื่องที่องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวกำลังจะเดินทางเข้าเมืองหลวงในอีกไม่กี่วันข้างหน้าอย่างไรเล่าเจ้าคะ ไม่รู้ว่าฝ่าบาทจะส่งแต่งตั้งตำแหน่งใดให้แก่นาง นางเป็นถึงองค์หญิงแคว้นหนานจ้าว อย่างไรเสียฝ่าบาทก็คงไม่จ่งตั้งนางเป็นเพียงแค่พระสนมธรรมดาๆหรอกเจ้าค่ะ”

กล่าวจบนางก็ค่อยๆลอบสังเกตสีหน้าของชูเซี่ยอย่างระมัดระวัง

ชูเซี่ยได้ยินคำพูดของเชียนซานก็นิ่งไป ใบหน้าค่อยๆปราศจากรอยยิ้ม เด็กโง่งมคนนี้กลัวว่าหากหลี่เฉินเย่นแต่งตั้งให้องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวเป็นกุ้ยเฟยหรือเป็นฮองเฮาจะทำให้นางเสียใจสินะ

หญิงสาววางต้นหญ้ากระดูกไก่ลงก่อนจะดึงเชียนซานมานั่งใกล้ๆนาง “เชียนซาน ในที่ที่ข้าเติบโตมามีสถานะของการแต่งงานที่เรียกว่าการหย่าร้าง การอย่าร้างก็เหมือนกับการแยกจากกันแล้วกลับไปในที่ที่พวกเราเคยอยู่ สามีภรรยาที่หย่าร้างต่างก็มีเหตุผลเช่นเดียวกันนั่นก็คือไม่อาจอยู่ร่วมกันได้อีกแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะหย่าร้างกันอย่างไรเล่า มีบางคนต่อให้หย่าร้างก็ยังสามารถคบหาเป็นสหายกันได้ แต่บางคนก็อาจจะไม่เผาผีกันเลยก็มี บางคู่ก็อาจจะกลายเป็นเพียงแค่คนแปลกหน้าต่อกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาทั้งคู่ก็ต้องเริ่มต้นชีวิตใหม่ของตนเอง พวกเขายังสามารถแต่งงานใหม่และมีชีวิตใหม่ของตนเอง”

เชียนซานจ้องมาที่นางนิ่งๆ “ข้ารู้เจ้าค่ะ นายหญิงต้องการบอกข้าว่าตอนนี้ท่านกับฮ่องเต้ก็เป็นเช่นนี้ ฮ่องเต้ยังต้องแต่งพระสนมใหม่ ส่วนนายหญิงก็ยังต้องออกเรือนใหม่ใช่หรือไม่”

ชูเซี่ยยิ้มออกมา “ทำนองนั้น”

“เช่นนั้น นายหญิงกับฮ่องเต้เป็นประเภทไหนเจ้าคะ”

“ประเภทไหนอะไรหรือ”

เชียนซานยกนิ้วขึ้นมานับ “หลังจากหย่าร้างกันแล้ว เป็นสหายกัน ไม่เผาผีกัน เป็นคนแปลกหน้ากัน นายหญิงและฝ่าบาททรงเป็นแบบใดเจ้าคะ”

รอยยิ้มของชูเซี่ยฉายแววเศร้า “สหายกันกระมัง ข้ากับเขาไม่อาจนับได้ว่าเป็นสามีภรรยากันแล้ว อย่างน้อยก็เป็นสหายกันได้ก็คงดี”

เพราะว่าพวกเราต่างรู้ดี ไม่ว่าเขาหรือตัวนางเองต่างก็รู้ว่าระหว่างพวกเราไม่อาจกลับมาเป็นดั่งเดิมได้อีกแล้ว

ตอนนั้นเองจูฟางหยวนก็เดินเข้ามา “ยังมีอีกแบบหนึ่งก็คือหลังจากหย่าร้างไปแล้วก็สามารถนับเป็นคนในครอบครัวได้ ชูเซี่ยสำหรับข้าแล้วระหว่างเจ้ากับหลี่เฉินเย่นไม่เหมือนสหายเลยแม้แต่นิดเดียว เหมือนกับครอบครัวมากกว่า”

เชียนซานทำสีหน้างงงวย “ครอบครัว? เช่นนั้นนายหญิงจะเรียกฝ่าบาทว่าพี่ชายหรือเจ้าคะ”

ชูเซี่ยหุบยิ้มพลางตวัดสายตาค้อนจูฟางหยวน

“หากไม่เป็นเพราะข้ากลัวหมัดของนางข้าคงว่านางว่าโง่เหมือนหมูไปแล้วล่ะ” จูฟางหยวนกล่าวยิ้มๆ

“ท่านว่าใครเป็นหมู” เชียนซานผุดลุกขึ้นมาเตรียมตัวง้างหมัดเต็มที่

จูฟางหยวนกระโดดไปหลบอยู่หลังชูเซี่ย “เชียนซาน เจ้าหยาบคายเกินไปแล้ว ระวังหลวี่หนิงจะไม่แต่งกับเจ้า”

“ไม่แต่งก็ไม่แต่งสิ อย่างไรเสียข้าเองก็ไม่อยากแต่งอยู่แล้ว” เชียนซานกล่าวอย่างไม่สนใจ

ชูเซี่ยฟังออกว่านี่ไม่ใช่เพราะเชียนซานพูดตามอารมณ์แต่คล้ายนางกล่าวออกมาจากใจเสียมากกว่า นางจึงดึงมือของเชียนซานไว้ก่อนถามอย่างเป็นห่วง “ทำไมจู่ๆถึงไม่อยากแต่งงานแล้วล่ะ ฤกษ์งามยามดีไม่ใช่ถูกกำหนดไว้แล้วหรือ”

เชียนซานมองนางด้วยสีหน้าไม่สบายใจ “การแต่งงานดูจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากเลยเจ้าค่ะ หลังจากออกเรือนไปแล้ว ทำนู่นก็ไม่ได้ทำนี่ก็ไม่ได้ ไม่อิสระเลยสักนิด”

“ผู้ใดบอกเจ้ากันว่าหลังจากแต่งงานไปแล้วจะไม่มีอิสระ? หลี่ว?หนิงไม่ใช่คนไม่มีเหตุผล เขาไม่มีทางบังคับให้เจ้าทำในสิ่งที่ไม่ชอบหรอก”

เชียนซานส่ายหน้า “ข้าไม่อยาก ข้าไม่อยากออกเรือนแล้วเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยเหลือบมองจูฟางหยวนก็เห็นว่าชายหนุ่มมีสีหน้างุนงงเช่นกัน นี่มันเกิดอะไรกันขึ้น ก่อนหน้านี้พวกเขาก็ยังดีๆอยู่ไม่ใช่หรือ

“เรื่องที่เจ้าไม่อยากแต่งหลวี่หนิงรู้หรือไม่” ชูเซี่ยถาม

“ข้าเคยคุยกับเขาเรื่องถอนหมั้นแล้วเจ้าค่ะ แต่ทว่าเขาก็ไม่ยินยอม” เชียนซานเอ่ยอย่างหงุดหงิด

จูฟางหยวนก็โพล่งขึ้นมา “ยินยอมก็แปลกแล้ว เขาอยากแต่งกับเจ้ามาตั้งแต่เมื่อห้าปีที่แล้วเสียด้วยซ้ำ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะทำให้เจ้ายอมตอบตกลงแต่งกับเขา เขาจะยอมถอนหมั้นกับเจ้าง่ายๆได้อย่างไรเล่า เชียนซาน หากครั้งนี้เจ้าไม่ยอมแต่งกับเขา ข้าว่าเขาต้องเสียสติแน่”

เชียนซานเอ่ยเสียงอ่อน “ก็เป็นแบบทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่หรือเจ้าคะ แค่คนสองคนมีความสุขต่อกันก็พอแล้วไม่ใช่หรือเหตุใดยังต้องแต่งงานอีกเล่า เหมือนที่นายหญิงกล่าวมานั่นอย่างไรเล่า คนบางคนแต่งงานไปแล้วหากเข้ากันไม่ได้สุดท้ายก็ต้องหย่าร้างกันไม่ใช่หรือเจ้าคะ”

จูฟางหยวนยังเอ่ยท้วง “หากว่าเจ้าไม่ยอมแต่งจะนับว่าอยู่ด้วยกันได้อย่างไร อย่างๆไรก็ไม่อาจอยู่ด้วยกันได้ ต่อให้อยู่ด้วยกันจริงๆ ต่อไปหากให้กำเนิดบุตร ลูกของเจ้าก็จะถูกตราหน้าว่าเป็นบุตรนอกสมรส ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ชูเซี่ยเติบโตมาอย่างที่นางเล่าให้เจ้าฟังเสียหน่อย คนบ้านเมืองนี้ไม่มีทางยอมรับบุตรนอกสมรสของเจ้าแน่”

“ข้าก็ไม่ได้อยากให้กำเนิดบุตรอยู่แล้วนี่”

“เพราะอะไร เจ้าไม่ชอบเด็กหรือ ข้าก็เห็นว่าเจ้ารักคู่แฝดถึงเพียงนั้น ตอนนั้นเจ้ายังอยากให้เด็กสองคนนั้นคลอดไวๆเลยไม่ใช่หรือ” จูฟางหยวนไม่เข้าใจจิตใจของหญิงสาวเอาเสียเลย ทำตัวราวกับดินฟ้าอากาศเปลี่ยนชั่วยามต่อชั่วยามเลยจริงๆ

เชียนซานถลึงตาใส่ชายหนุ่ม “ท่านถือดีอะไรมาว่าข้า ตัวท่านเองก็อายุอานามไม่น้อยแล้วเหตุใดจึงยังไม่ยอมแต่งงานอีกเล่า”

จูฟางหยวนเริ่มหัวเสียขึ้นมา “เหตุใดจู่ๆเรื่องจึงวกกลับมาที่ข้าได้เล่า ข้าไม่แต่งเพราะข้ายังไม่เจอสตรีที่เหมาะสมต่างหากเล่า”

“อะไรคือไม่เหมาะสมกัน เป็นท่านที่ไม่มองหาเองเสียมากกว่า ขอเพียง่ทานอยากแต่งก็คงมีคุณหนูตระกูลดังเข้าแถวรอเป็นฮูหยินของท่านอยู่แล้ว” เชียนซานแย้ง

“พวกที่เข้าแถวมาข้าย่อมไม่สนใจ หากจะแต่งก้ต้องเลือกแต่งคนที่พึงใจไม่ใช่หรือ” จูฟางหยวนหันมามองชูเซี่ยอย่างตกใจเล็กน้อย “สวรรค์ เชียนซาน เจ้าคงไม่ได้มีใจเป็นอื่นไปแล้วใช่หรือไม่”

เชียนซานโมโหจนควันแทบออกหู “ท่านพูดจาเหลวไหลอะไรกัน” กล่าวจบนางก็วิ่งออกไป

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า