ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 241

ตอนที่ 241 ต้องการมากเกินไป

เป็นเวลานานพอสมควร กว่าหลี่เฉินเย่นจะปล่อยชูเซี่ย ยังไม่ทันสบตากัน ชูเซี่ยหันหลังเดินจากไปในทันที

ณ ปากประตูพระตำหนักข้าง มีลู่กงกงและเหลียงเฟยกำลังเฝ้าอยู่

เห็นชูเซี่ยเดินออกมา ลู่กงกงคำนับ “หมอชูไปดีมาดี”

การมาของเหลียงเฟยในครั้งนี้ ไม่ได้ต้องการมาเพียงเพื่อส่งน้ำซุป นับตั้งแต่สถานะของสองฝาแฝดถูกเปิดเผย หล่อนได้สั่งคนให้เฝ้าดูตลอดเวลา เมื่อรู้ข่าวว่าชูเซี่ยเข้าวัง หล่อนก็รีบพาคนมาที่นี่ ต้องการให้เห็นกับตาว่าชูเซี่ยเป็นใครกันแน่ ฝ่าบาทถึงได้ให้ความสนใจขนาดนี้

เมื่อเห็นชูเซี่ยเดินออกมา ก็เหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก ก็แค่หญิงสาวรูปร่างหน้าตาธรรมดาเท่านั้น ไม่มีจุดไหนที่ดูเป็นผู้ดีเลยสักนิด ใบหน้าที่ไม่ได้เติมแต่งใดๆ สามารถมองเห็นร่องรอยของวันเวลา โดยรวมแล้วคำว่าธรรมดาคงเหมาะสมที่สุดแล้ว ไม่มีจุดไหนที่สามารถเทียบกับหล่อนได้เลย

สีหน้าดูถูกของเหลียงเฟย ชูเซี่ยก็ดูออกเหมือนกัน หล่อนคำนับแล้วก็กำลังจะเดินจากไป

แต่เหลียงเฟยไม่ต้องการให้หล่อนเดินจากไปง่ายๆ แบบนี้ หล่อนเดินหน้าหนึ่งก้าวเพื่อหยุดชูเซี่ยเอาไว้ พลันโค้งคำนับ “ข้าน้อยขอคารวะหวงกุ้ยเฟย”

ลู่กงกงได้ยินพลันตกใจ หมอชูยังไม่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกุ้ยท่ายเฟยแต่อย่างไร นอกจากนี้ พวกเขาทุกคนก็เพียงเรียกหล่อนว่าหมอชู ฝ่าบาทไม่อนุญาตให้ใครเรียกหล่อนว่าหวงกุ้ยเฟย

ที่แท้วันนี้เหลียงเฟยมาเพื่อก่อกวน

ชูเซี่ยหันกลับไปมองเหลียงเฟย ดูเหมือนอีกฝ่ายได้เตรียมอะไรก่อนจะมา

หล่อนพูดนิ่งๆ “ฉันชอบให้คนอื่นเรียกฉันว่าหมอชูมากกว่า”

“ข้าน้อยมิกล้าหรอก สถานะพระสนมของเราชัดเจน ท่านเป็นหวงกุ้ยเฟยของปฐมกษัตริย์ ดังนั้นข้าน้อยควรให้เกียรติท่านโดยการเรียกท่านว่าหวงท่ายเฟย” เหลียงเฟยพูดด้วยสีหน้าให้ความเคารพ

ชูเซี่ยไม่ได้โต้ตอบอะไร เพียงแต่มองหล่อนอยู่ครู่ใหญ่และพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวน้ำซุปของพระองค์จะทรงเย็นเสียก่อน นำไปส่งให้ฝ่าบาทเถิด”

เหลียงเฟยคำนับ “เพคะ ข้อน้อยขอกราบลาหวงท่ายเฟย”

ชูเซี่ยเดินออกไปอย่างรวดเร็ว

เหลียงเฟยมาก่อกวนก็จริง แต่ว่า สิ่งที่หล่อนพูดก็เป็นเรื่องจริง

เหลียงเฟยจ้องมองตามชูเซี่ยด้วยสายตาเย็นชา พลันทำเสียง ‘ถุย’ “ผู้หญิงไร้ยางอาย ช่างกล้ามายุ่งกับฝ่าบาท”

ลู่กงกงได้ยินอย่างนั้น พลันกลัวจนหน้าซีด ดีที่ฝ่าบาททรงไม่ได้ยิน

แต่ว่า เมื่อเขาเงยหน้า กลับเห็นหลี่เฉินเย่นยืนอยู่ปากประตู สีหน้าโกรธจัด สายตาเยือกเย็น

“เหลียงเฟยว่าใครไร้ยางอาย” หลี่เฉินเย่นถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

เหลียงเฟยตกใจ เมื่อหันมาแล้วเห็นหลี่เฉินเย่นจ้องหล่อนด้วยสีหน้าเคร่งขรึม หล่อนไม่เคยเห็นฝ่าบาทสีหน้าดุดันเท่านี้มาก่อน พลันเริ่มขนลุก

หล่อนเก็บความรู้สึกกลัวในใจ รับน้ำซุปจากนางข้าหลวง ก้าวไปข้างหน้าพร้อมรอยยิ้ม “ฝ่าบาท ข้าน้อยไม่ได้ว่าให้ใคร ข้าน้อยรู้ว่าระยะนี้ฝ่าบาททรงยุ่งกับงานราชการ และทรงเสวยอาหารไม่ตรงเวลา ดังนั้น ข้าน้อยได้เข้าครัวลงมือปรุงซุปเอง ข้าน้อยป้อนให้ฝ่าบาทดีหรือไม่”

หลี่เฉินเย่นจ้องหล่อนด้วยสายตาอันดุดัน “ในวังแห่งนี้ ไม่มีห่วงกุ้ยท่ายเฟยอะไรหรอก หากข้าได้ยินสรรพนามนี้อีก อย่าหาว่าข้าไม่ไว้หน้าเจ้าละกัน”

เหลียงเฟยรู้สึกตกใจพลันพูดว่า “พะยะค่ะ ข้าน้อยเพียงแต่พลั้งปากพูดออกไปเท่านั้น แต่ว่า ท่านพ่อบอกว่าชูเซี่ยยังไงก็เป็นหวงกุ้ยเฟยของปฐมกษัตริย์ ดังนั้นข้าน้อย......”

“คำพูดของพ่อเจ้าถือเป็นพระราชโองการหรือไม่ ถ้าอย่างนั้นเชื้อเชิญท่านพ่อของเจ้าเข้าวังมาเป็นฮ่องเต้ดีหรือไม่” หลี่เฉินเย่นพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น

เหลียงเฟยรีบคุกเข่าลง “โปรดยกโทษให้ข้าน้อยด้วยเถิด ข้าน้อยผิดไปแล้ว ข้าน้อยจะไม่ทำผิดอีก”

หลี่เฉินเย่นพูดมาคำเดียว “ไสหัวไป”

พูดจบ พลันหันหลังเดินเข้าไปข้างใน

เหลียงเฟยกลัวจนเข่าอ่อน เข้าวังมานาน ไม่เคยเห็นฝ่าบาททรงโมโหขนาดนี้มาก่อน ดูเหมือนว่า ฝ่าบาทให้ความสนใจกับผู้หญิงคนนั้นจริงๆ

ลู่กงกงพูดกับนางข้าหลวงว่า “ยังไม่รีบพาเหลียงเฟยกลับไปอีก”

“ค่ะ” นางข้าหลวงก็กลัวจนตัวสั่นเหมือนกัน เมื่อได้ยินเสียงของลู่กงกง พลันรีบพยุงเหลียงเฟยให้ลุกขึ้น “ท่านเหลียงเฟย เรากลับไปกันเถอะ”

เหลียงเฟยกัดฟัน รู้สึกถึงความไม่พอใจ แต่ว่า ตอนนี้ฝ่าบาททรงกริ้วหนัก ไม่ควรไปทำให้ท่านอารมณ์เสียอีก ควรกลับไปก่อนดีกว่า แล้วค่อยหารือกับท่านพ่ออีกที

เรื่องที่หลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยนัดเจอกันที่ห้องทรงพระอักษรนั้น ไม่นานก็แพร่กระจายในวัง

รวมถึงฮองไทเฮาผู้ซึ่งป่วยติดเตียวก็ได้ข่าวคราวนี้

“เจ้าว่ามันยังไงกัน พวกเขาสองคนจะนัดเจอกันไม่ได้เลยรึ” ฮองไทเฮาทรงพระโกรธกับความปั่นป่วนโกลาหลของเหล่านางในที่เกิดขึ้นเพราะทั้งสองคนนั้นนัดเจอกัน

หรงกุ้ยท่ายเฟยพูดขึ้นว่า “ปากของคนอื่น ไม่จำเป็นต้องสนใจมากนัก ฝ่าบาทไม่เคยทรงเอ็นดูเอาอกเอาใจผินเฟยเหล่านั้น มาวันนี้จู่ๆ ก็โผล่มาคนนึงที่ฝ่าบาททรงสนพระทัย ยิ่งไปกว่านั้นคือมาพร้อมกับพระโอรสของฝ่าบาท จะไม่ให้วุ่นวายได้อย่างไรกัน”

“ผินเฟยเหล่านั้น ควรเอาอกเอาใจไหมล่ะ จุดประสงค์ของการเข้ามาอยู่ในวังของแต่ละคนคืออะไร นับตั้งแต่ฝ่าบาทขึ้นครองบัลลังก์เป็นต้นมา พวกเขาคิดแค่ว่าจะให้ได้ซึ่งอำนาจในมือของฝ่าบาทได้อย่างไร เจ้าลองไปดูนอกวัง ตอนนี้ทุกคนต่างสงสัยว่าการสืบทอดราชบัลลังก์ชของฝ่าบาทนั้นเป็นไปตามกฎระเบียบวัฒนธรรมของบรรพบุรุษหรือไม่ นอกจากนี้ยังขุดคุ้ยเรื่องความไม่ลงรอยกันระหว่างพี่น้องของพวกเขามาพูดด้วย เจ้าอย่าปฏิเสธข้าเลย ต้องมีผู้คนไม่น้อยที่เข้าไปเป่าหูอวิ่นกังเป็นแน่แท้”

หรงกุ้ยท่ายเฟยถอนหายใจเบาๆ “มีแน่นอนแหละ แต่โชคดีที่สองพี่น้องนี้มีดวงจิตดวงเดียวกัน”

ฮองไทเฮามองไปที่หรงกุ้ยท่ายเฟย “เจ้าบอกความจริงข้าเถอะ เจ้าเคยรู้สึกไม่พอใจหรือไม่ อย่างไรก็ตาม อวิ่นกังเป็นโอรสคนโตของปฐมกษัตริย์ แต่เป็นเฉินเย่นที่ได้สืบทอดราชบัลลังก์แทน เจ้ารู้สึกอึดอัดใจหรือไม่”

หรงกุ้ยท่ายเฟยพลันทรงพระโกรธ “ถึงวันนี้แล้วท่านยังไม่ไว้ใจข้าอีกหรอกรึ จริงอยู่ที่เมื่อก่อนข้าเคยมีความคิดที่ว่า หากอวิ่นกังได้สือทอดราชบัลลังก์ ข้าก็จะพลันมีหน้ามีตาไปด้วย แต่ข้าเคยบอกท่านแล้วว่า ความคิดนั้นของข้า เกือบทำให้อานเหยียนและเย่เอ๋อตาย นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ข้าก็ได้ล้มเลิกความคิดนั้นแล้ว ตอนนี้อวิ่นกังไม่ดีหรอกหรอ มีทั้งลูกชายและลูกสาว ชีวิตครอบครัวก็มีความสุข ทำไมต้องมาสืบทอดราชบัลลังก์ล่ะ การเป็นฝ่าบาทมันไม่ง่ายเลย”

ฮองไทเฮาโบกมือไปมา “เฮ้อ ข้าน่าจะโกรธคนเหล่านั้นจนเสียสติไปแล้ว คิดเอาไปคิดมากเลย”

“จะโกรธจนเสียสติยังไงก็ไม่ควรว่าให้ข้าแบบนี้ ข้าเสียใจจริงๆ ” หรงกุ้ยท่ายเฟยตาแดง

ฮองไทเฮาจับมือของหล่อนไว้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น “ข้าไม่ได้พาลใส่เจ้า หลายปีมานี้ โชคดีที่มีเจ้าคอยอยู่ข้างๆ พวกเราผ่านอุปสรรคกันมามากมาย มันไม่ง่ายเลย วันนี้ข้าอาจพูดอะไรผิดไป แต่ข้าไม่เคยไม่ไว้ใจเจ้า ใจเย็นๆ อย่าถือสาป้าแก่ที่จวนจะตายคนนี้เลย”

หรงกุ้ยท่ายเฟยพูดด้วยน้ำตาคลอเบ้าว่า “พูดซี้ซั้วน่ะ ใครจวนจะตาย ชูเซี่ยกลับมาแล้วไม่ใช่รึ หล่อนต้องมีวิธีที่สามารถรักษาท่านให้หายขาดได้ อย่าคิดไปเลย”

ฮองไทเฮาถอนหายใจเบาๆ “แต่ว่า หล่อนก็กลับมาหลายวันแล้ว แต่ก็ยังบอกไม่ได้ว่าข้าโดนวางยาหรือเกิดจากสาเหตุอะไรกันแน่”

“ไม่ได้บอกท่านต่างหากล่ะ ตอนนั้นอานเหยียนและเย่เอ๋อได้ไปเยือนประตูนรกมาแล้ว แต่หล่อนได้ดึงพวกเขากลับมา หลายปีมานี้ ท่านเคยเห็นหล่อนรักษาใครแล้วไม่หายบ้าง”

“เฉินอวี่จู๋ไงล่ะ สุดท้ายเฉินอวี่จู๋ก็ตาย” ฮองไทเฮาพูดอย่างกังวล “ได้ยินมาว่าอาการของข้าและอาการของเฉินอวี่จู๋คล้ายๆ กัน หล่อนไม่สามารถรักษาเฉินอวี่จู๋ให้หายขาดได้ แน่นอนว่าก็ไม่สามารถรักษาข้าได้เหมือนกัน”

“ใครกันที่บอกว่าอาการของท่านกับเฉินอวี่จู่เหมือนกัน ก่อนหน้านี้เป็นเพียงการคาดคะเนของจูเก๋อหมิงไม่ใช่รึ ชูเซี่ยยังไม่ได้พูดอะไร ที่จูเก๋อหมิงพูดเชื่อไม่ได้หรอก”

ฮองไทเฮาพูดว่า “เจ้าอย่าคิดว่าข้าไม่รู้ คนในวังนี้ล้วนถูกฝ่าบาทเรียกไปสอบปากคำแล้ว บอกว่าแผลของข้าติดเชื้อ มีคนวางยาในแผลของข้า เฉินอวี่จู๋ก็ถูกวางยา ฉ่ายเวินเป็นคนวาง”

“นี่แค่เป็นการสอบสวนให้พอเป็นพิธี ยังไม่แน่นอนร้อยเปอร์เซ็น ชูเซี่ยยังไม่ได้ยืนยันว่าถูกวางยาไม่ใช่รึ หากแน่ใจแล้วหล่อนต้องมาทูลให้ท่านทราบแน่นอน” หรงกุ้ยท่ายเฟยปลอบใจ

ฮองไทเฮาส่ายหน้า พลันถอนหายใจยาวๆ “ช่างมันเถอะ ข้าก็ควรจะพอใจได้แล้ว มีหลานแฝดที่ฉลาดแบบนี้ ข้าไม่ควรเรียกร้องมากเกินไป”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า