ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 259

ตอนที่ 259 เผาคนเป็น

กลุ่มคนที่หลี่หยุนกางส่งออกล่วงหน้าก่อนมาถึงหลางฟงติ่งอย่างรวดเร็ว คนของพรรคมังกรเหินล่วงหน้ามาก่อนหนึ่งก้าวแล้ว พวกเขาได้รับสัญญาณจากเฉินเย่นซาน แต่น่าเสียดายที่มาช้าไปหนึ่งก้าว

บนหลางฟงติ่งมีเพียงศพที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมเท่านั้น ด้านข้างมีดาบของหลวี่หนิงวางอยู่

รอยเลือดเปรอะเปื้อนเต็มไปหมด เส้นทางจากพงหญ้าไปจนถึงในป่ามีรอยเท้าเรี่ยราย เห็นชัดได้เลยว่าเมื่อครู่นี้ ณ สถานที่แห่งนี้มีการตะลุมบอนกัน

อาหมั่นพาคนมาด้วยตนเอง หลังจากที่ตรวจสอบสถานที่แล้วก็ให้คนกลุ่มหนึ่งมุ่งหน้าสืบเสาะเข้าไปในป่า

คนของหลี่หยุนกางรออยู่ข้างนอกป่าสามคน ส่วนคนอื่น ๆ ก็ตามเข้าไป

หลี่หยุนกางตามมาอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ก้าวเข้าไปหาอาหมั่น “คารวะท่านอ๋อง”

“สำนักเฉาปัง?” หลี่หยุนกางไม่รู้ตัวตนที่แท้จรงของอาหมั่น

อาหมั่นกล่าวว่า “สำนักเฉาปังก็เป็นคนของพรรคมังกรเหินที่มาตามสัญญาณของเฉินเย่นซาน”

หลี่หยุนกางอดไม่ได้ที่จะตะลึงไปชั่วครู่ “สำนักเฉาปังเป็นของพรรคมังกรเหินด้วยหรือ”

ดูท่าแล้ว ไม่เพียงแต่เหลียงกุยเท่านั้นที่ไม่รู้จักพรรคมังกรเหิน แม้แต่เจิ้นกั๋วอ๋องก็ยังรู้น้อยมาก

อาหมั่นไม่ปฏิเสธ “ใช่”

“เหตุการณ์เกิดขึ้นได้อย่างไร” หลี่หยุนกางกวาดตามองก็เห็นว่าบนพื้นมีศพที่ถูกเผา ทันใดนั้นลมหายใจของเขาก็หน่วงลงชั่วขณะ เขาก้าวเดินเข้าไปแล้วย่อตัวนั่ง ศพถูกเผาจนไหม้เกรียมจนไม่สามารถแยกแยะเค้าโครงหน้าเดิมได้ แต่ส่วนสูงจากร่างนั้นสามารถดูออกได้ ส่วนสูงนั้นคล้ายกับหลวี่หนิง

เขาค่อย ๆ หยิบดาบบนพื้นขึ้นมา ใจพลันเจ็บแปล๊บขึ้นมา ดาบเล่มนี้เป็นของหลวี่หนิง บนด้ามดาบยังสลักชื่อหลวี่หนิงไว้

“ท่านอ๋อง ข้าได้รับสัญญาณจากเฉินเย่นซาน มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่” อาหมั่นถาม

เจิ้นกั๋วอ๋องอดกลั้นต่อความเจ็บปวดแล้วเล่าเรื่องเฉินเย่นซานกลับไปแจ้งข่าวให้ฟัง พอได้ยินแล้วก็คิดว่าคนที่ถูกฆ่าอาจจะเป็นหลวี่หนิง อาหมั่นก็นิ่งอึ้งไปเช่นกัน เขารู้ว่าวันแต่งงานของหลวี่หนิงกับเฉินเย่นซานถูกกำหนดเอาไว้แล้ว อีกนิดเดียวพวกเขาก็จะแต่งงานกันแล้ว

"หลี่อวี๋นหลี่นี่ตายยากจริง ๆ" อาหมั่นพูดอย่างเยือกเย็น

เขาหันไปแล้วตะโกนเรียก "มานี่หน่อย!"

"ผู้น้อยอยู่นี่ขอรับ!" ลูกศิษย์ของพรรคมังกรเหินก้าวเข้ามาหา

อาฟมั่นออกคำสั่งทันที "ไปหากลุ่มอ้านทั่น ไปดูว่าทางกลุ่มอ้านทั่นมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือไม่"

"ขอรับ" ผู้เป็นลูกศิษย์มุ่งหน้าไปทำตามคำสั่งทันที

กลุ่มอ้านทั่นเป็นกลุ่มลับพิเศษของพรรค มีหน้าที่สืบข่าวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ไม่เผยตัวตน เว้นแต่ว่าจะมีคำสั่งพิเศษ

อย่างเช่นว่านเฉียงที่ได้รับคำสั่งถึงได้ไปปกป้องชูเซี่ย มิเช่นนั้น ก็ได้แต่สืบข่าวอยู่ในที่ลับต่อไป

และข่าวนั้นจะไม่ถูกประกาศ เว้นแต่จะมีเรื่องจำเป็น

ไม่ช้าคนที่เข้าไปสำรวจในป่าก็ออกมา "ท่านอ๋อง ในป่ามีไอพิษ ไร้หนทางที่จะเข้าไปพ่ะย่ะค่ะ"

"ไอพิษ?" หลี่หยุนกางขมวดคิ้ว "หากเป็นเช่นนี้ พวกเขาก็น่าจะลงเขาไปแล้วอย่างนั้นสิ"

อาหมั่นส่ายหน้า "ก็ไม่แน่ ม่านไอพิษใช่ว่าจะเข้าไปไม่ได้ เพียงแต่ต้องกินยาถอนพิษลงไปเสียก่อน"

"ยาถอนพิษ? พรรคมังกรเหินของพวกท่านมีหรือ" หลี่หยุนกางถาม

"ไม่มี แต่คนของกลุ่มอ้านทั่นสามารถเข้าไปได้ ร่างกายคนของกลุ่มอ้านทั่นมีคนที่อยู่ในขั้นจินตันที่ขจัดพิษได้อยู่"

"งั้นก็เชิญท่านช่วยส่งคนของกลุ่มอ้านทั่นไปตรวจสอบดู"

อาหมั่นหันไปออกคำสั่งทันที จากนั้นหลี่หยุนกางก็หันมองไปรอบ ๆ

พงหญ้าที่อยู่ข้างใต้ศพถูกเผาเพียงบางส่วน แต่ไม่ได้กระจายเป็นพื้นที่กว้าง พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามีศพถูกเผาเพียงแค่ร่างเดียว

เขาไม่ได้กลิ่นน้ำมันเชื้อเพลิงจากเมล็ดต้นถงมีพิษใด ๆ รวมถึงกลิ่นเผาไหม้ อาจเป็นเพราะถูกลมหนาวจากภูเขาพัดจนกลิ่นจางหายไปมากแล้วก็เป็นได้ เขาย่อตัวนั่งลง แต่กลับได้กลิ่นเนื้อที่ถูกย่างเป็นพัก ๆ

สิ่งนี้ทำให้หลี่หยุนกางรู้สึกรับไม่ได้อย่างยิ่ง แม้เขาจะไม่มั่นใจว่าศพนั้นคือหลวี่หนิง แต่จากดาบที่อยู่ด้านข้าง รวมถึงส่วนลู่ของศพแล้ว มีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วนทีเดียว

"มานี่หน่อย เอาศพส่งกลับไปที่กรมอาญาก่อน"

ถึงอย่างไรก็เป็นคดีคนตาย ดังนั้น จึงไม่อาจส่งศพกลับจวนอ๋องได้ ต้องส่งไปที่ศาลาว่าการก่อน เพื่อให้ทางศาลาว่าการวินิจฉัยสาเหตุการตาย

เนื่องด้วยความพิเศษในฐานะของหลวี่หนิงที่เป็นขุนนางในราชสำนักที่ได้รับการแต่งตั้งจากฮ่องเต้ ยิ่งไปกว่านั้นคือเป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์ ดังนั้น ศาลาว่าการจวนจิงจ้าวจึงไม่อาจจัดการได้ ทำได้แต่มอบให้กรมอาญาเท่านั้น

คบเพลิงขยายกว้างออกไปตลอดทางในภูเขา คนที่เข้าไปสำรวจยิ่งเยอะขึ้นเรื่อย ๆ คนตัดฟืนหลายคนสะพายเคียวเข้าไปด้วยเช่นกัน พวกเขาดูธรรมดามาก หน้าและผิวดำคล้ำ บนมือรังไหม ราวกับว่าเป็นคนที่ตัดฟืนในภูเขาตลอดทั้งปี

คนพวกนี้คือคนของกลุ่มอ้านทั่น

กลุ่มอ้านทันที่ปฏิบัติหน้าที่มีมากสุดสองสามคน น้อยนักที่จะคนจำนวนมากออกทำงานร่วมกัน แต่เห็นได้ชัดเลยว่าพรรคมังกรเหินให้ความสำคัญกับเรื่องของหลวี่หนิงมากเพียงใด

เชียนซานเป็นองครักษ์หญิงที่คอยรับใช้ที่ปรึกษาในพรรคมังกรเหิน แต่องครักษ์หญิงที่คอยรับใช้ที่ปรึกษานั้นมีตำแหน่งสูงมาก บางครั้งแม้แต่ผู้อาวุโสก็ยังต้องฟังนาง

หลวี่หนิงเป็นว่าที่สามีนาง อย่างน้อยข่าวเรื่องการยกเลิกงานแต่งงานก็ยังไม่แพร่งพรายออกไป พรรคมังกรเหินจึงถือเห็นว่าสำคัญ

สีของท้องฟ้าค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ แสงอรุณจากขอบฟ้าแบ่งเป็นชั้น ๆ จากฟ้าสีแดงอ่อนเปลี่ยนเป็นเป็นสีส้ม และค่อย ๆ สว่างขึ้นเรื่อย ๆ

การค้นหาตลอดคืนทำให้ทุกคนต่างก็เหนื่อยล้า ทว่าก็ยังไม่มีข่าวอะไรส่งกลับมา

การจัดคนออกไปเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ล้วนแต่มีคนกลับมารายงานข่าว มีเพียงกลุ่มอ้านทั่นเท่านั้นที่ยังไม่กลับมา

หลี่หยุนกางกับอาหมั่นฝากความหวังไว้ที่กลุ่มอ้านทั่น

แต่รอจนครบชั่วยามแล้วก็ยังไม่เห็นกลุ่มอ้านทั่นออกมา

หลี่หยุนกางค่อนข้างร้อนใจ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็สั่งคนให้คนค้นหาเป็นแนวจากซ้ายไปขวาตีโอบล้อมเข้าหากัน

สำหรับเส้นทางลงเขา เขาสั่งให้คนไปสกัดทางไว้แล้ว เส้นทางสัญจรไปมาของกลุ่มการค้าก็ต้องตรวจสอบตัวตนก่อนจึงจะปล่อยผ่านได้ ดังนั้น จากการวินิจฉัยของเขา หากหลี่อวี๋นหลี่ไม่ได้หนีไปก่อนที่พรรมังกรเหินกับคนของเขามาถึง ก็ต้องอยู่ในภูเขาเป็นแน่

ส่วนไอพิษ บางทีถ้าม่านกำบังนั้นเป็นของพวกมัน หากหากเขตแดนของพวกมันตั้งอยู่หลังม่านไอพิษล่ะก็ ถ้าเช่นนั้นคนของกลุ่มอ้านทั่นก็จะเป็นอันตรายอย่างมาก

แท้จริงแล้ว คนตัดฟืนธรรมดาทั่วไปไม่อาจผ่านพ้นไอหมอกไปได้และไม่มีทางฝ่าไอหมอกไปตัดฟืนแน่

พอถึงช่วงเที่ยง ทุกคนค่อนข้างล้าแล้ว แต่ทว่าไม่มีใครยอมแพ้

คนของหลี่หยุนกางไม่ยอมแพ้เด็ดขาด เพราะหลวี่หนิงเป็นผู้บัญชาการทหารองครักษ์และทหารคุ้มกันพระราชวังในเมืองหลวง แม้จะบอกว่าพวกเขาเป็นองครักษ์ของจวนอ๋อง แม้ว่าจะบอกว่าพวกเขาเป็นองครักษ์ของจวนอ๋องกับทหารรักษาพระองค์ของจวนอ๋องก็ตาม แต่กับหลวี่หนิงนั้นคุ้นเคยกับเป็นอย่างมาก

ยิ่งพรรคมังกรเหินยิ่งไม่มีทางยอมแพ้แน่

ศพที่ถูกเผาถูกส่งไปกรมอาญาแล้ว

หลี่ซี่ฟังคนของจวนอ๋องรายงานว่าเป็นไปได้ที่จะเป็นหลวี่หนิงก็ตกใจ จากนั้นก็รีบสั่งให้เจ้าหน้าที่ชันสูตรมาทำการชันสูตรศพทันที

พอเจ้าหน้าที่ชันสูตรรู้ว่าเป็นหลวี่หนิงก็ไม่กล้าประมาทเลินเล่อ จากนั้นก็ตรวจสอบอย่างละเอียด

หลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เจ้าหน้าที่ชันสูตรก็กลับมารายงานหลี่ซี่ “ใต้เท้า ผู้ตายสูงแปดฉื่อ (มาตรการวัดในสมัยโบราณต่างกับปัจจุบัน หนึ่งฉื่อ มีความยาวประมาณยี่สิบสี่เซนติเมตร แปดฉื่อ ก็คือหนึ่งเมตรแปดสิบกว่า ๆ) บนร่างกายมีบาดแผลห้าที่ ศพถูกเผาจนบาดแผลหดตัว วินิจฉัยได้ว่าเป็นรอยแผลที่เกิดจากดาบ ศีรษะมีร่องรอนถูกตีอย่างแรงจนศีรษะด้านหลังยุบตัวลงไป ยังมีจมูกกับช่วงปาก ลำคอ ไปจนถึงช่วงปอดที่ล้วนแต่มีร่องรอยเขม่าควัน ยืนยันได้ว่าตอนที่ถูกเผายังมีชีวิตอยู่ขอรับ”

หลี่ซี่ฟังรายงานจากเจ้าหน้าที่ชันสูตรแล้วก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “มีอะไรที่สามารถพิสูจน์ตัวตนได้หรือไม่”

ที่หลี่ซี่ถามคำถามนี้ออกไป ตนเองก็รู้สึกว่ามันออกจะทำเกินไปหน่อย ศพที่ถูกเผาจนไหม้เกรียมจนลักษณ์พิเศษบนตัวหลายอย่างล้วนไม่ชัดเจน แล้วจะยืนยันตัวตนได้อย่างไรเล่า

เจ้าหน้าที่ชันสูตรพูดพลางสั่นศีรษะ “เรียนใต้เท้า ไม่สามารถหาอะไรที่ยืนยันตัวตนได้ขอรับ เว้นแต่ดาบที่ส่งกลับมาพร้อมกันเท่านั้น”

“เจ้าเคยเจอหลวี่หนิง เจ้าคิดว่า...” หลี่ซี่ไม่ได้ถามต่อ ใบหน้าแต่เดิมทีไม่อาจแยกแยะได้เหลือเพียงแค่ซากสีดำ

ถึงแม้จะรู้ว่าใจของเขาไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แต่กลับไม่ยอมรับว่าศพนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับหลวี่หนิง

“ใต้เท้า งั้นลองเชิญคนจากตะกูลลู่มาดูสักครั้งเถอะ ตอนนี้สิ่งที่สามารถใช้ยืนยันตัวตนของศพได้ก็มีเพียงดาบเล่มนั่นเท่านั้น บนดาบมีคำว่าหลวี่หนิงสลักไว้ แต่ถึงอย่างไรก็ต้องให้คนของจวนสกุลลู่มายืนยันด้วยตัวเองนะขอรับ” รองเจ้ากรมอาญาก้าวขึ้นมาแล้วพูด

“อืม เรื่องนี้...เจ้าไปจัดการด้วยตนเองเถอะ พูดกับใต้เท้าลู่ดี ๆ ล่ะ” หลี่ซี่กล่าวเสียงเบา

“ขอรับ!” รองเจ้ากรมไปทำตามคำสั่งทันที

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า