ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 263

ตอนที่ 263 บรรยากาศตึงเครียด

วันนี้ทั้งวันชูเซี่ยเอาแต่ถามว่านเฉียงว่าเชียนซานอยู่ที่ไหน ในใจของนางเอะใจว่าต้องเกิดบางอย่างขึ้นแน่แล้ว เพราะตั้งแต่เมื่อวานที่เชียนซานไล่ตามจูเก๋อตัวปลอมไป นานถึงเพียงนี้ก็ยังไม่กลับมา นางไม่กล้าคิด

จูเก๋อหมิงกล่าวกับนางว่าเชียนซานนางไปจัดการธุระบางเรื่อง ธุระเรื่องใดกันเล่า เพียงแค่ฟังนางก็รับรู้ได้ว่านี่เป็นเรื่องโกหก

เมื่อมาถึงช่วงเที่ยงว่านเฉียงกลับออกไปเปลี่ยนเป็นว่านเหลียงกลับเข้ามา ซึ่งน่าจะเป็นเพราะอีกฝ่ายไม่รู้จะตอบคำถามนางเช่นไรแล้ว เพราะเมื่อว่านเหลียงเดินเข้ามาในห้องตอนที่ชูเซี่ยอ้าปากถามถึงเชียนซานอีกครั้งนางก็เอาแต่ตอบว่าไม่ทราบ

ยิ่งรอนานมากเท่าใดหัวใจของนางก็ร้อนรนจนแทบทนไม่ได้มากขึ้นเท่านั้น

นางให้ว่านเหลียงพยุงนางไปนั่งเล่นที่สวน เดิมทีว่านเหลียงตั้งใจจะบอกว่าข้างนอกยามนี้ฝนใกล้จะตกแล้วไม่อยากให้นางออกมา แต่ทว่าเมื่อคิดว่าการให้นายหญิงของตนนั่งอุดอู้อยู่ในห้องจะยิ่งทำให้คิดมากจึงยอมพยุงนางออกไปนั่งที่สวนแต่โดยดี

ลมหนาวที่พัดผ่านมาเป็นระลอกโบกพัดเอาไอฝนที่กำลังจะตกมากระทบจมูกเบาๆ สายลมหนาวที่พัดไม่อาจพัดเอาความวิตกกังวลและร้อนใจของชูเซี่ยให้หายไปได้ กลับกันมันกลับยิ่งทำให้นางรู้สึกหดหู่มากขึ้นกว่าเดิมด้วยซ้ำ

“ฝนกำลังจะตกงั้นหรือ” ชูเซี่ยเอ่ยถามว่านเหลียง

ว่านเหลียงเงยหน้ามองท้องฟ้า “เจ้าค่ะ อีกไม่นานฝนก็จะตกแล้ว”

“นายท่านเหมากับเจ้าถ่านเล่า”

“นำเข้าคอกไปแล้วเจ้าค่ะ” ว่านเหลียงเอ่ยตอบ

“นายท่านเหมาให้อยู่ในคอกต่อไปดีแล้ว ส่วนเจ้าถ่านเจ้าไปนำมันมาเล่นเป็นเพื่อนข้าหน่อยเถิด”

“เจ้าค่ะ!” ว่านเหลียงรับคำสั่งและหมุนกายออกไปทันที

ชูเซี่ยเอื้อมมือมาลูบลายปักที่แขนเสื้ออย่างเหม่อลอย นางชอบทำเช่นนี้ด้วยความเคยชินยามที่ต้องใช้ความคิด

นางรู้ว่ามีเรื่องเกิดขึ้นแต่ทว่านางไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่

ทุกคนต่างก็ปิดบังนาง ตอนนี้ชูเซี่ยรู้สึกโมโหยิ่งนักแต่นางก็ไม่กล้าอาละวาดกับว่านเหลียงเพราะว่าว่านเหลียงเองก็จนปัญญาเพราะรับคำสั่งผู้อื่นมาอีกที

ในยามนี้ดวงตาของนางมืดบอด นางรู้ว่าทุกคนปิดบังนางเพราะว่าเป็นห่วง นางเองก็ซาบซึ้งแต่ทว่าขณะเดียวกันนางก็รู้สึกว่าตัวเองไร้ประโยชน์เหลือเกิน

มีเสียงฝ่าเท้าก้าวเดินดังขึ้น ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็นเสียงฝ่าเท้าของสองคน

ฝ่าเท้าที่ก้าวเดินแผ่วเบาจนแทบไม่เกิดเสียง นางฟังออกได้ในทันทีว่าเป็นจูเก๋อหมิงและหลี่เฉินเย่น

เขามาแล้ว

ไม่ได้คุยกันแล้วหรือว่าจะไม่ให้เขารู้เรื่องของนาง?

ชูเซี่ยรู้สึกเคืองขึ้นมาเล็กน้อยแต่ทว่าถึงกระนั้นใบหน้านวลก็ค่อยๆแย้มรอยยิ้มอ่อนหวานขึ้นมา “พวกท่านมาแล้วหรือ”

นางหันหน้าไปทางที่มีเสียงฝีเท้าก้าวเข้ามาใกล้ราวกับว่านางเห็นพวกเขาอย่างไรอย่างนั้น

หลี่เฉินเย่นถึงกับกลั้นหายใจ เขาหวังเหลือเกินว่านางจะสามารถมองเห็นเขาได้จริงๆ

แต่ทว่าดวงตาของนางที่มองมามันช่างหม่นหมองและไร้แววตาเป็นประกายดังเดิม

นางเพียงแค่หันหน้ามาทางพวกเขาเท่านั้น

“ทำไมถึงไม่พูดอะไรเล่าเจ้าคะ” ชูเซี่ยยิ้มออกมาทั้งๆที่หัวใจของตนเองร้าวราน

ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางเจ็บปวดเหลือเกิน

หลี่เฉินเย่นก้าวเท้ายาวๆมาหยุดอยู่ตรงหน้านางและเอื้อมมือมากอบกุมมือของนางไว้ก่อนเอ่ยเสียงแผ่วเบา “ทำไมมือของเจ้าเย็นถึงเพียงนี้กัน”

“ข้าไม่หนาวเลยสักนิดทั้งยังรู้สึกร้อนอีกด้วย อาจเป็นเพราะฝนใกล้จะตกแล้วกระมัง” หญิงสาวปล่อยให้อีกฝ่ายกอบกุมมือของนางไว้ไม่คิดจะดึงออก

หลี่เฉินเย่นกล่าวเสียงทุ้มนุ่ม “ใช่ อีกไม่นานฝนก็ตกแล้วล่ะ น่าจะเป็นฝนห่าใหญ่เสียด้วย ท้องฟ้ามืดไปหมด”

ชายหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้า เมฆดำยิ่งมายิ่งมากขึ้นกลบเอาแสงสว่างที่เคยมีอยู่จนบัดนี้มืดมนไปหมด

ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมาเช่นกัน “ท่านรู้ว่าเชียนซานอยู่ที่ไหนใช่หรือไม่”

“ข้ารู้!” เขาตอบ

ชูเซี่ยกลั้นใจถามออกไป “นางอยู่ที่ไหน”

“นางก็อยู่ในจวนอ๋องแห่งนี้เช่นกัน แต่ว่านางได้รับบาดเจ็บ แม้ว่าบาดแผลจะไม่สาหัสมากนักแต่ก็ต้องรักษาตัว” หลี่เฉินเย่นกล่าวจบก็ช้อนร่างของนางขึ้นมา “พวกเราเข้าไปคุยข้างในกันเถิด”

ชูเซี่ยยกมืดขึ้นยึดสาบเสื้อของเขาไว้ หัวใจของนางเริ่มเต้นแรงขึ้น เกิดเรื่องขึ้นจริงๆเสียด้วย ไม่น่าจะเป็นเพียงแค่บาดเจ็บเล็กน้อยอย่างที่เฉินเย่นกล่าวแน่เพราะหากว่าเล็กน้อยจริงป่านนี้เฉินเย่นวานก็คงมาหานางแล้ว

หญิงสาวไม่ได้เอ่ยถามออกไป นางทำเพียงแค่รอ รอให้เขาเป็นฝ่ายบอกนางเอง นางคิดว่าการที่เขามาหานางนั่นแสดงว่าเขาไม่คิดจะปิดบังนางอีกแล้ว

ความจริงที่นางอยากรู้แต่นางก็ไม่กล้าเอ่ยถามมันออกไป

ชายหนุ่มวางร่างของหญิงสาวลงบนตั่งยาวอย่างแผ่วเบาก่อนจะนั่งลงเคียงข้างนาง มือหนากอบกุมมือบางของหญิงสาวไว้อย่างทะนุถนอม การกระทำของชายหนุ่มราวกับจะบอกว่าเขาจะขอเป็นกำลังใจให้นางและอยู่เคียงข้างนางตลอดไป

“เชื่อข้าเถิด” หลี่เฉินเย่นเอ่ยเสียงอบอุ่น “เชียนซานนางเพียงแค่บาดเจ็บท่านั้น จูเก๋อเองก็ลงมือรักษานางด้วยตนเองไม่เชื่อเชื่อเจ้าก็ถามเขาได้”

จูเก๋อหมิงที่ยืนอยู่ข้างๆก็เอ่ยขึ้นทันที “ไม่ผิด เชียนซานนางได้รับบาดเจ็บมาจริงๆ นางถูกดาบฟันเข้าที่ร่าง แต่ก็ไม่นับว่าเป็นบาดแผลร้ายแรงอะไรเพียงแต่เสียเลือดค่อนข้างมากเท่านั้น”

“จริงหรือ?” ชูเซี่ยยังรู้สึกถึงบางอย่างที่ไม่ถูกต้องอยุ่ดี “ในเมื่องนางได้รับบาดเจ็บเหตุใดพวกท่านถึงไม่บอกข้ากัน เชียนซานก็อยู่ในจวน ว่านเหลียง ว่านเฉียงเองก็รู้ใช่หรือไม่ แต่ทำไมเมื่อข้าถามถึงเชียงซานพวกนางถึงเอาแต่บอกว่าไม่รู้ๆเล่า”

หลี่เฉินเย่นตบมือนางเบาๆราวกับปลอบขวัญจากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มนุ่มเช่นเดิม “เพราะว่าผู้ที่เกิดเรื่องไม่ใช่เชียนซานอย่างไรเล่า แต่เป็นหลวี่หนิง พวกนางจึงไม่รู้จะบอกเจ้าอย่างไร”

ชูเซี่ยชะงักแข็งค้างไปทั้งร่าง นางเอื้อมมือไปคว้ามือของหลี่เฉินเย่นไว้ก่อนจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลนลาน “เกิดเรื่องกับหลวี่หนิงงั้นหรือ”

หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นมองจูเก๋อหมิงเพื่อส่งสายตาให้อีกฝ่ายเป็นผู้บอกเรื่องราวทั้งหมด

จูเก๋อหมิงจึงค่อยๆเอ่ยปากเล่าเรื่องทั้งหมด “เมื่อคืนเชียนซานตามจูเก๋อตัวปลอมไปถึงบนเขา เมื่อนางตามทันและได้ปะมือของคนผู้นั้นก็พบว่าแท้จริงแล้วคนที่วางยาพิษเจ้าก็คือหลี่อวี๋นหลี่นั่นเอง อีกทั้งเฉินเย่นวานยังได้พบฉ่ายเวินอีกด้วย แต่ทว่าระหว่างทางหลี่อวี๋นหลี่ก็มีกำลังคนแอบดักรอซุ่มโจมตีอยู่เช่นกัน ระหว่างที่เชียนซานกำลังต่อสู้กับพวกของหลี่อวี๋นหลี่อยู่นั้นเคราะห์ดีเหลือเกินที่หลวี่หนิงตามไปทัน เพื่อจะเปิดทางให้เชียนซานมีโอกาสหนีกลับมาบอกข่าวแก่จวนอ๋องและตามคนไปช่วย...”

“กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเหลือไว้เพียงหลวี่หนิงสู้กับเหล่ายอดฝีมือของหลี่อวี๋นหลี่ใช่หรือไม่” มือไม้ของชูเซี่ยเย็นเฉียบไปหมด จริงอยู่ที่ว่าวรยุทธของหลวี่หนิงจะสูงส่งแต่ทว่ายอดฝือมือข้างกายของหลี่อวี๋นหลี่ก็คงไม่อ่อนด้อยเป็นแน่

“เมื่อท่านอ๋องนำกำลังพลตามขึ้นไปสมทบก็พบว่าบนยอดเขาหลางฟงติ่งเหลือเพียงซากศพที่ถูกเผาจนมอดไหม้แล้วเท่านั้น สภาพศพถูกทำลายเสียจนยากจะระบุได้ว่าเป็นผู้ใด แต่ทว่าข้างกายศพก็มีดาบตกไว้เล่มหนึ่ง...”

จูเก๋อหมิงเงียบไป ไม่รู้จะเอ่ยต่อไปได้อย่างไร ยามนี้เสียงของเขาแหบพร่าไปหมด

“เป็นดาบของหลวี่หนิง!” ชูเซี่ยเอ่ยต่อไป น้ำตาของนางค่อยๆไหลลงมาทีละหยดๆ “สวรรค์ เกิดเรื่องกับหลวี่หนิงเช่นนี้แล้วเชียนซานจะทำอย่างไรเล่า แล้วครอบครัวของหลวี่หนิงจะเป็นอย่างไรกัน”

“เชียนซานยังไม่ทราบเรื่องนี้ พวกเราไม่กล้าบอกนาง แม้แต่เรื่องที่ดวงตาเจ้าบอดพวกเราก็ไม่ได้บอกนางเช่นกัน” หลี่เฉินเย่นกล่าวต่อไป

ว่านเฉียงยื่นผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งให้แก่ชายหนุ่ม เขารับมันไว้และนำมาซับน้ำตาให้หญิงสาวข้างกายเบาๆ ชูเซี่ยยากจะทำใจได้เรื่องที่หลวี่หนิงจากไป คนที่เพิ่งเห็นกันอยู่หลัดๆยังดีอยู่แท้ๆ เหตุใดจึงตายแล้ว?

หญิงสาวส่ายหน้าเบาๆ ก่อนจะหันไปทางจูเก๋อหมิง “ท่านมั่นใจหรือว่าศพนั่นเป็นของหลวี่หนิง”

“สภาพศพยากจะระบุได้ พวกเราเองก็ยังไม่มั่นใจนัก ดังนั้นยังนับว่ามีความหวังอยู่บ้าง” จูเก๋อหมิงเอ่ยเสียงเรียบทั้งๆที่ใบหน้าฉายแววอัดอั้นตันใจ เขาไม่กล้าบอกนางว่าเขาได้ทำการกู้คืนสภาพศพแล้ว

“ไม่ผิด พวกเรายังมีความหวังอยุ่ หลวี่หนิงเป็นคนโชคดีมาแต่เล็กๆแล้ว เขาจะต้องไม่เป็นอะไรแน่” หลี่เฉินเย่นเองก็เอ่ยสมทบ

ชูเซี่ยยิ้มอย่างอ่อนล้า นางไม่กล้าเอ่ยอะไรออกมา หากไม่ใช่ว่าหลวี่หนิงจะเป็นผู้ใดได้เล่า หากพบศพในที่เกิดเหตุเช่นนี้แล้วจะเป็นผู้ใดไปได้อีกเล่าถ้าไม่ใช่หลวี่หนิง

แต่หลี่อวี๋นหลี่จะปล่อยให้คนของตนเองจัดการโหดเหี้ยมถึงเพียงนี้เชียวหรือ แผนการที่เขากำลังจะทำสิ่งที่จำเป็นที่สุดก็คือซื้อใจคนไม่ใช่หรือ ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้เลย

“แล้วทางเชียนซาน จะเอ่ยเช่นไรกับนางดี” ชูเซี่ยที่เงียบไปนานเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าเล็กน้อย

“จูฟางหยวนและอวิ่นกังเป็นคนไปบอกนาง” จูเก๋อหมิงกล่าว

ชูเซี่ยพยายามข่มกลั้นน้ำตาและความเจ็บปวดที่ปะทุขึ้นมา “พาข้าไปหน่อย ข้าอยากอยู่กับเชียนซาน”

“ไม่ เจ้าอย่าเพิ่งไปเลย” หลี่เฉินเย่นร้องห้ามทั้งยังจับไหล่บางของนางเอาไว้ “สีหน้าของเจ้าแย่เหลือเกิน นอนพักสักหน่อยไม่ดีหรือ ข้าจะอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นี่เอง”

ชูเซี่ยส่ายศีรษะอย่างดื้อรั้น “ไม่ ข้าจะไปอยู่เป็นเพื่อนเชียนซาน นางต้องการข้า!”

หลี่เฉินเย่นลอบสบสายตากับจูเก๋อหมิงอยู่ชั่วครู่ก่อนที่จูเก๋อหมิงจะถอนหายใจออกมาอย่างจนปัญญา “ไปเถิด พานางไปเถิด ในยามนี้เชียนซานก็ต้องการนางจริงๆนั่นล่ะ”

คงมีเพียงแค่ชูเซี่ยที่จะปลอบใจเชียนซานได้ในเวลานี้

แต่ทว่าพวกเขาลืมคิดไปว่าเชียนซานเองก็ยังไม่ทราบเรื่องที่ชูเซี่ยตาบอดเช่นกัน หากให้นางรู้ว่าเกิดเรื่องกับชูเซี่ยอีกคนคงจะทำให้เรื่องราวยิ่งเลวร้ายลงเสียมากกว่า

สำหรับเชียนซานแล้ว นับตั้งแต่เล็กจนโตนางก็อยู่พรรคมังกรเหินมาตลอด นางจงรักภักดีต่อหัวหน้าพรรคมาก แม้ว่านางจะเพิ่งมาติดตามชูเซี่ยได้เพียงไม่กี่ปี แต่ฐานะของชูเซี่ยในหัวใจของนางก็สำคัญไม่แพ้ผู้ใด

เดิมทีหลี่เฉินเย่นหวังจะอุ้มนางไปแต่ทว่าชูเซี่ยยืนกรานที่จะเป็นผู้เดินไปด้วยตนเอง ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงพยุงนางเดินไปตามทางเท่านั้น

“ระวังก้อนหิน!” ชายหนุ่มพยุงร่างของนางเดินอย่างระมัดระวังอย่างยิ่ง จู่ๆท้องฟ้าก็เกิดฟ้าผ่าลงมาสายหนึ่งทำให้ชูเซี่ยตกใจและคว้านแขนของชายหนุ่มไว้แน่น ทั้งชีวิตของนางไม่เคยเจอเรื่องที่เลวร้ายกับตนเองถึงเพียงนี้ นั่นทำให้หญิงสาวทำอะไรไม่ถูกเลยสักอย่าง

หลี่เฉินเย่นที่เห็นนางเป็นเช่นนี้มีหรือจะกล้าเล่าเรื่องที่จิ้งกั๋วโฮ่วถูกลอบสังหารให้นางฟังได้ ตอนนี้ปิดบังไว้ก่อนก็แล้วกัน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า