ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 264

ตอนที่ 264 โจมดีหนัก

ด้านเชียนซาน หลี่อหยุนกางและจูฟางหยวนก็ยังคงยืนอ้ำๆอึ้งๆไม่รู้จะเอ่ยเช่นไรดี

เชียนซานเองก็ไม่โง่ นางเห็นท่าทางของพวกเขานางก็พอจะเดาได้แล้ว “เกิดเรื่องขึ้นกับเขาใช่หรือไม่”

ตอนที่เชียนซานเอ่ยปากถาม น้ำเสียงของนางสั่นเครือเสียจนแทบจะคุมไม่ได้ นางรู้ดีว่าตอนที่นางหนีกลับมาเขาโดนดาบฟันไปแล้วหลายแผล หัวใจของนางรับรู้ได้ว่าหลวี่หนิงตายไปแล้ว

แต่ว่านางก็ยังอดหวังไม่ได้ นางยังอดหวังไม่ได้ว่าคนของพรรคมังกรเหินจะตามไปช่วยเขาได้ทัน

จูฟางหยวนเดินลงมานั่งข้างๆนาง ดวงตาคมทอดมองใบหน้าขาวซีดของเชียนซานด้วยความสงสาร เขาสูดลมหายใจลึกๆก่อนเอ่ย “เชียนซาน เจ้าทำใจดีๆเอาไว้นะ...”

“ข้าใจเย็นอย่างยิ่ง เจ้าพูดมาเถิด!” เชียนซานกลั้นลมหายใจของตนเอง นางพยายามกลั้นน้ำตาของตนเองไม่ให้ไหลลงมา

แต่จู่ๆจูฟางหยวนก็เงยหน้าขึ้นมามองหลี่อหยุนกางและกล่าวขึ้นมา “ข้าว่าท่านไปผู้พูดจะดีกว่า อย่างไรเสียตอนนั้นท่านเองก็เป็นคนนำไพร่พลตามขึ้นไปสมทบบนเขา ท่านน่าจะรู้ละเอียดกว่าข้า”

หลี่อหยุนกางเห็นจูฟางหยวนอ้ำๆอึ้งๆไม่ยอมพูดเสียทีก็ทำใจแข็งขึ้นมาก่อนจะหันมามองเชียนซาน “เชียนซาน ตอนที่พวกเราตามไปสมทบก็พบว่าคนของพรรคมังกรเหินไปถึงอยู่ก่อนแล้ว ที่หลางฟงติ่งไม่เหลืออะไรสักอย่าง เหลือเพียงซากศพที่ถูกเผาเพียง

ซากหนึ่งเท่านั้น”

“ศพ...” ร่างกายของเชียนซานสั่นเทิ้มด้วยความหวาดกลัว นางกลั้นลมหายใจก่อนเอ่ยถาม “ถูกเผางั้นหรือ เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ใช่หลวี่หนิงใช่หรือไม่”

จูฟางหยวนพยักหน้า “ใช่แล้ว ยังไม่ชัด”

“ยังพบอะไรอีกหรือไม่” เสียงของเชียนซานยังคงแหบพร่ายามที่เอ่ยถามหลี่อหยุนกาง

หลี่อหยุนกางค่อยๆอ้าปากตอบอย่างลำบากใจ “มีดาบอยู่เล่มหนึ่ง เป็นของหลวี่หนิง”

กระบี่อยู่คนอยู่ กระบี่หักคนตาย!

เชียนซานหลับตาลงอย่างหมดแรง น้ำตาของนางไหล่ทะลักออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ราวกับถูกคนกระชากหัวใจของตนเองออกไป ยามนี้อกของนางวูบโหวงไปหมด ร่างทั้งร่างล่องลอยไร้สติคล้ายดวงวิญญาณที่พร้อมจะหลุดออกไปจากร่าง

เป็นเวลานาน หญิงสาวค่อยๆนำผ้าห่มขึ้นมาคลุมศีรษะของตนเองเอาไว้ ร่างบอบบางขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มก่อนจะกรีดร้องออกมาอย่างบ้าคลั่ง

“เชียนซาน เจ้าอย่าได้เสียใจไปเลย เรื่องนี่ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นจริงเสียหน่อย” จูฟางหยวนเห็นนางเป็นเช่นนี้ก็ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก

หลี่อหยุนกางส่ายหน้าเบาๆ “ปล่อยให้นางร้องไห้เถิด ร้องออกมาให้หมดจะได้ระบายความเสียใจออกมาได้บ้าง”

ยังไม่ทันที่ชูเซี่ยจะมาถึงหน้าประตูนางก็ได้ยินเสียงร้องไห้ปานขาดใจของเชียนซานทำให้มือของนางสั่นไปหมด “เชียนซานนางไม่เคยร้องไห้หนักถึงเพียงนี้ นางไม่เคยเสียใจถึงเพียงนี้ด้วยซ้ำ”

น้ำตาของนางไหลลงมาอีกครั้ฃ การจากเป็นจากตายนางล้วนแต่เคยเผชิญมากหมดแล้ว นางรู้ดีว่าความรู้สึกของการสูญเสียมันเป็นเช่นไร

ในทางกลับกันหลี่เฉินเย่นกลับเอื้อมมือมากอบกุมนางไว้ก่อนจะค่อยๆพยุงนางเดินต่อไปทีละก้าวด้วยใบหน้านิ่งสงบ

หลี่อหยุนกางและจูฟางหยวนเห็นพวกเขาเดินเข้ามาก็ลอบถอนหายใจ

หลี่เฉินเย่นพยุงร่างของชูเซี่ยมานั่งข้างเตียง ชูเซี่ยเอื้อมมือคลำหาร่างของเชียนซาน เมื่อนางพบก็รวบกอดร่างของเชียนซาน

ไว้แน่น เชียนซานยังคงขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มและร่ำไห้อย่างสิ้นหวัง

หลี่เฉินเย่นก็เอ่ยกับคนอื่นๆในห้องเสียงเบา “พวกเราออกไปก่อนเถิด ให้พวกนางได้คุยกัน”

“จะดีหรือ?” หลี่อหยุนกางกังวลเรื่องดวงตาของชูเซี่ยไม่น้อย

หลี่เฉินเย่นเหลือบมองชูเซี่ยเล็กน้อยก่อนเอ่ยอีกครั้ง “ไม่ต้องกังวล!”

หลังจากที่ทุกคนกลับออกไปแล้ว จูฟางหยวนก็ค่อยๆปิดประตูลงอย่างเบามือ คนทั้งสี่เดินมานั่งตรงเก้าอี้หินและค่อยๆพูดคุยถึงเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น

เชียนซานรับรู้การมาของชูเซี่ยแล้ว หญิงสาวค่อยๆเลิกผ้าห่มขึ้นเผยให้เห็นดวงตาที่แดงก่ำและปูดโปนไปหมด

“นายหญิง ท่านกล่าวได้ถูกต้องนัก ตอนนี้ข้ารู้สึกเสียใจภายหลังเหลือเกินเจ้าค่ะ” เชียนซานเอ่ยด้วยน้ำเสียงขึ้นจมูกและติดจะสั่นเครือ

ชูเซี่ยเอื้อมมือลูบคลำไปทั่วจนลูบมาถึงใบหน้าของนางก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงปลอบโยน “เชียนซาน ข้ารู้ว่าเจ้าจะต้องเสียใจมาก แต่ว่าเจ้าจะต้องเข้มแข็งเอาไว้ ยามนี้พวกเรายังไม่รู้เสียหน่อยว่าศพนั่นเป็นหลวี่หนิงจริงหรือไม่”

“ต่อให้ไม่ใช่หลวี่หนิง แต่ทว่าข้าก็รู้ว่าเขาไม่อาจรอดมาได้อีกแล้ว ตอนที่ข้าจากมาร่างกายเขาก็บาดเจ็บแล้ว” เชียนซานเอ่ยด้วยสีหน้าเจ็บปวด “ความจริงข้าไม่อยากหนีออกมาด้วยซ้ำ ข้าพร้อมจะตายด้วยกันกับเขา แต่ว่าข้ากลัว ข้ากลัวว่าหากข้าตายไปแล้วพวกท่านจะไม่มีใครรู้ว่าหลี่อวี๋นหลี่และฉ่ายเวินกลับมาแล้ว ตอนนี้พวกท่านก็รู้แล้ว ข้าเองก็ไม่อยากอยู่อีกต่อไปแล้ว นายหญิง ข้าไม่อาจอยู่ต่อไปได้อีกแล้วหากปราศจากเขา”

ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นหัวใจก็หล่นวูบ “ไม่ เชียนซาน ต่อให้ศพที่ถูกเผานั่น...จะเป็นหลวี่หนิง ตอนนี้สิ่งที่เจ้าต้องทำไม่ใช่ข้าตัวตายแต่เป็นหาทางแก้แค้นต่างหากเล่า หรือเจ้าไม่อยากสังหารหลี่อวี๋นหลี่หรือ”

ดวงตาของเชียนซานฉายแววเคียดแค้น “ข้าอยาก ข้าอยากข้ามัน อยากสับมันเป็นพันเป็นหมื่นชิ้น ป่นกระดูกมันให้เป็นผุยผง!”

“ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ต้องเข้มแข็งและลุกขึ้นยืนหยัดต่อไปให้ได้” ชูเซี่ยไม่รู้ว่าจะกล่าวปลอบใจเชียนซานเช่นไรดี เพราะว่าความเจ็บปวดเช่นนี้เพียงแค่คำปลอบโยนสองสามประโยคไม่มีทางทำให้หายได้แน่ ความเจ็บปวดจากการสูญเสียต่อให้หายก็เหลือรอยแผลเป็นทิ้งไว้อยู่ดี

เชียนซานมองชูเซี่ย นางเห็นว่าอีกฝ่ายแม้จะหันหน้ามาทางนางแต่ดวงตาของอีกฝ่ายคล้ายจะไม่ได้มองมาที่นาง “ดวงตาท่านเป็นอะไรหรือเจ้าคะ”

ชูเซี่ยชะงัก “เจ้าไม่รู้หรือ”

เชียนซานลุกขึ้นนั่งทันที “รู้อะไรหรือเจ้าคะ” หญิงสาวโบกไม้โบกมือตรงหน้าชูเซี่ยเบาๆก่อนจะเห็นว่าดวงตากลมโตของอีกฝ่ายไม่ได้มองตามนางทั้งยังไร้แววเป็นประกายดังเดิม

เชียนซานแทบเสียสติ “ท่านมองไม่เห็นหรือ?”

“ใช่ ข้านึกว่าเจ้ารู้อยู่แล้ว” ชูเซี่ยกล่าว

“ข้าไม่รู้ ข้าไม่รู้!” เชียนซานส่ายศีรษะอย่างบ้าคลั่ง นางค่อยๆเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าโศก “ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น ข้าปกป้องหลวี่หนิงไม่ได้ ข้าปกป้องท่านไม่ได้ ข้ามันช่างไร้ค่าสิ้นดี!”

จากนั้นเชียนซานก็ขดตัวกลับไปอยู่ใต้ผ้าห่มราวกับนกกระจอกเทศอีกครั้ง แต่ครั้งนี้นางไม่ได้ร้องห่มร้องไห้เสียงดังอีกแล้ว

นางแค่ไม่รู้จะเผชิญหน้ากับนายหญิงของตนเช่นไร

ชูเซี่ยลอบถอนหายใจออกมาแผ่วเบาก่อนจะค่อยๆโน้มกายลงไปกอดก้อนผ้าห่มนั่นเอาไว้

ตอนนั้นเองที่หลี่เฉินเย่นได้รับข่าวร้ายอีกครั้งหนึ่ง จวนของจิ้งกั๋วโฮ่วส่งคนมาบอกเขาว่าจิ้งกั๋วโฮ่วใกล้จะไม่ไหวแล้ว

หลี่เฉินเย่นได้รับข่าวนั้นก็กำหมัดของตนเองไว้แน่น ดวงตาคมฉายแววอำมหิตขึ้นมา

จูเก๋อหมิงเอ่ยคำถามหนึ่งขึ้นมาท่ามกลางความเงียบระหว่างพวกเขา “เหตุใดหลี่อวี๋นหลี่จึงคิดจะสังหารจิ้งกั๋วโฮ่ว”

“ไม่เห็นต้องถาม จิ้งกั๋วโฮ่วเป็นเสนาบดีกลาโหม หากสังหารเขาได้ ก็สามารถแทรกแซงกำลังคนของตนเข้าไปในค่ายทหารได้” หลี่อหยุนกางกล่าว

“แต่ทว่าตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมจำเป็นต้องผ่านการเห็นชอบจากฝ่าบาทเสียก่อนไม่ใช่หรือ พวกเขาจะแอบแทรกแซงคนของตนเองเข้าไปสุ่มสี่สุ่มห้าได้อย่างไรกัน หรือว่าแท้จริงแล้วแม้กระทั่งตัวเหลียงกุยเองก็เป็นพวกของหลี่อวี๋นหลี่?”

หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้นทุกประสาทสัมผัสของชายหนุ่มก็เริ่มตื่นตัวทันที หัวสมองของเขาเริ่มคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว การจะแต่งตั้งผู้ที่จะขึ้นมาเป็นเสนาบดีกลาโหมคนใหม่ คนผู้นั้นจะต้องเป็นแม่ทัพ และตอนนี้ผู้เป็นแม่ทัพของแคว้นนี้ก็มีอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้นและแม่ทัพผู้มีโอกาสมากที่สุดก็คือ ฉินหยวนชิ่ง

ส่วนเฉินหยวนชิ่งเองก็มีอุปนิสัยไม่เคยโต้แย้งกับผู้ใดอยู่แล้ว ไม่ว่าใครเสนอชายหนุ่มก็เห็นด้วยและยอมทำตามเสมอ ความจริงแล้วหากให้เขาเป็นผู้เลือก เขาเองก็เห็นว่าเฉินหยวนชิ่งเหมาะกับตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมจริงๆ

ชายหนุ่มหันมากล่าวกับหลี่อหยุนกางทันที “เสด็จพี่ หลายวันนี้ ท่านช่วยจัดกำลังคนสะกดรอยตาม...” ชายหนุ่มนิ่งไป ไม่ได้ เฉินหยวนชิ่งเป้นผู้ที่มีวรยุทธสูงส่ง หากว่ามีคนลอบติดตามเขา เขาย่อมรู้ตัวแน่

“ฝ่าบาท ท่านจะสั่งให้คนแอบสะกดรอยตามเฉินหยวนชิ่งงั้นหรือ” จูเก๋อหมิงเองก็พอคาดเดาได้ แต่ไหนแต่ไรพวกเขาก็มีความคิดความอ่านคล้ายคลึงกันอยู่แล้ว “ข้าว่าหากจะติดตามคนผู้นี้เราควรใช้สายลับของพรรคมังกรเหินจะดีกว่า”

“พรรคมังกรเหิน?” หลี่เฉินเย่นพยักหน้า “ไม่เลว เช่นนั้นก็ให้คนของพรรคมังกรเหินสะกดรอยตามเขาก็แล้วกัน”

ชายหนุ่มกวาดตามองคนรอบกายก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ทุกคนต้องเตรียมตัวให้พร้อม เรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดล้วนเกิดขึ้นก่อนที่องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวจะเสด็จมาถึงเมืองหลวง ซึ่งข้าคิดว่าคนพวกนั้นต้องการปูทางให้กับองค์หญิงผู้นั้นเป็นแน่”

จูฟางหยวนไม่เข้าใจ “เรื่องพวกนี้จะไปเกี่ยวข้องกับองค์หญิงแคว้นหนานจ้าวได้อย่างไรกัน”

หลี่เฉินเย่นจึงอธิบาย “ความจริงแล้วก่อนที่องค์หญิงแค้วนหนานจ้าวจะเดินทางมา เราได้สั่งให้คนไปสืบเรื่องของนางมาก่อนแล้ว องค์หญิงอวิ่นซึนผู้นี้เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้แคว้นหนานจ้าวยิ่งนัก เป็นองค์หญิงสูงศักดิ์ที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยมากที่สุด หากจะกล่าวว่าการที่นางเดินทางมาครั้งนี้ไม่มีแผนการแอบแฝงก็ดูจะเหลือเชื่อเกินไปสักหน่อย หากว่ามีแผนการแอบแฝงแล้วล่ะก็จะเป็นแผนใดไปได้เล่า? สงครามระวังแคว้นของเรากับแคว้นหนานจ้าวเพิ่งจะสิ้นสุดไปอีกทั้งฝ่ายที่ปราชัยก็เป็นแคว้นหนานจ้าว แต่ทว่าผู้ที่มีความทะเยอทะยานและหยิ่งทระนงถึงเพียงนั้นมีหรือจะยอมเลิกลาได้โดยง่าย หากว่าเขาไม่คิดยอมแพ้แก่เราย่อมต้องหาหนทางที่จะผลึกกำลังกับตระกูลขุนนางในแคว้นของเราที่มีความทะเยอทะยานไม่แพ้กันเป็นแน่ ร่วมมือกันเพื่อหาหนทางที่จะโค่นล้มเราอย่างไรเล่า”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า