ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 265

ตอนที่ 265 องค์หญิงหมั่นหมาย

จูฟางหยวนเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง “หมายความว่าหลี่อวี๋นหลี่ร่วมมือกับแคว้นหนานจ้าวงั้นหรือ”

หลี่อหยุนกางกล่าว “เรื่องนี้ก็มีความเป็นได้อย่างยิ่ง การที่มีเรื่องราวมากมายเกิดขึ้นก่อนที่องค์หญิงแคว้นหนาวจ้าวจะเสด็จมาถึงแคว้นเราย่อไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่ ว่ากันตามกำหนดการแล้ว องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวควรจะเสด็จมาถึงเมืองหลวงตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นหรือทางนั้นจงใจให้เกิดเรื่องเช่นนี้กันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไรเราก็ไม่มีทางทราบได้เลยจริงๆ”

หลี่เฉินเย่นพยักหน้า “ไม่ผิด นางสมควรมาถึงตั้งแต่สองวันก่อนแล้วจริงๆ”

เสียงท้องฟ้าคำรามกึกก้องสะท้านไปทั่วแผ่นดิน สายฟ้าที่เป็นประกายแวบเป็นสายสาดลงมาราวกับแสงพลุสีเงินจากนั้นไม่นานสายฝนก็เริ่มสาดเทลงมาห่าใหญ่ราวกับฟ้ารั่ว

ทุกคนถอยหลบเข้าไปในห้อง ดูเหมือนว่าฝนฟ้าที่ตกลงมาห่าใหญ่ท่ามกลางฤดูร้อนเช่นนี้จะคล้ายกับเป็นคำเตือนจากเบื้องบนเป็นนัยๆว่าอีกไม่นานสงครามจะเริ่มขึ้นแล้ว

ฉองเหลาถูกส่งตัวกลับวังโดยมีอานเหยียนและอานอี้เป็นเพื่อนร่วมทางมาด้วย

การที่อานอี้เข้าวังมาด้วยก็เพราะกุ้ยไท่เฟยมีประสงค์อยากจะพบหลานสาวสุดที่รักของตนเอง ดังนั้นจึงรับสั่งให้แม่นมพาตัวองค์หญิงน้อยเข้าวังมาอยู่เป็นเพื่อนนางหลายวัน

ท่ามกลางสายฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก ชูเซี่ยถูกพยุงให้ขึ้นบนรถม้าช้าๆดดยมีจูเก๋อหมิงร่วมเดินทางไปพร้อมกันกับนาง

ยามที่จูเก๋อหมิงฝังเข็มให้แก่นาง แม้ว่าชูเซี่ยจะยังคงมองไม่เห็นแต่ทว่าประสาทรับกลิ่นของนางฟื้นคืนมาแทบจะทั้งหมดแล้ว

ท่ามกลางสีหน้าของแต่ละคนที่เคร่งเครียด จุดหมายของรถม้าที่เคลื่อนไปข้างหน้าก็คือจวนของจิ้งกั๋วโฮ่ว

แม้ว่าเดิมทีจะไม่ต้องการให้ชูเซี่ยทราบเรื่องที่จิ้งกั๋วโฮ่วถูกลอบสังหารก็ตาม แต่ทว่าอันตรายย่างกรายเข้ามาใกล้ตัวทุกขณะ นางไม่มีเวลากับการคร่ำครวญเสียใจมากนัก

เมื่อจูเก๋อหมิงตรวจดูอาการก็พบว่าจิ้งกั๋วโฮ่วได้รับบาดเจ็บจนไม่ได้สติ อาจจะต้องใช้เวลาพักฟื้นเป็นเวลานานถึงสามเดือนหรืออาจจะครึ่งปีเลยทีเดียว

จิ้งกั๋วโฮ่มดำรงตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกลาโหม ตำแหน่งนี้ไม่อาจทิ้งว่างไว้ได้ ดังนั้นฝ่าบาทจึงทรงแต่งตั้งให้เฉินหยวนชิ่งดำรงตำแหน่งเสนาบดีกลาโหมแทนอีกฝ่ายจนกว่าจิ้งกั๋วโฮ่วจะรักษาตนหายดี

ข้อเสนอนี้เป็นที่เห็นพ้องต้องกันทุกฝ่าย แม้กระทั่งเหลียงกุยและจางเซียนฮุยก็ไม่คิดจะเอ่ยคัดค้านอันใด

ในขณะเดียวกันเหล่าขุนนางในท้องพระโรงต่างพร้อมใจกันลงความเห็นให้ฝ่าบาททรงลงอาญาหมอหลวงหลัน

จูเก๋อหมิงออกมาเป็นพยานปฎิเสธเรื่องที่ไทเฮาทรงถูกวางยาพิษ รวมถึงหมอหลวงคนอื่นๆที่ให้การเป็นเสียงเดียวกันว่าตรวจไม่พบการถูกพิษในพระวรกายขององค์ไทเฮา ด้านหมอหลวงหลันเองก็ให้การว่าหนอนกู่พวกนั้นเขาเป็นผู้เลี้ยงมันก็จริงแต่เพียงแค่เลี้ยงเอาไว้ศึกษาเท่านั้น

จนแล้วจนรอดก็ไม่มีหลักฐานเอาผิดว่าหมอหลวงหลันเป็นผู้วางยาพิษไทเฮา ดังนั้นหมอหลวงผู้นี้ถึงรอดพ้นจากอาญาไปได้ แต่กระนั้นเรื่องที่เขาให้การรักษาไทเฮาจนถึงบัดนี้พระอาการก็ยังไม่ดีขึ้นก็ต้องถูกลงโทษสถานเบาอยู่ดี

ด้านชูเซี่ยเองนางก็ไม่ได้พักรักษาตัวที่จวนอ๋องอีกแล้ว แต่กลับมารักษาตัวที่สำนักเฉาปังแทน

เพราะเหตุนี้เองทำให้วังหลวงเกิดความโกลาหลย่อมๆขึ้นมา เพราะเกิดมีขุนนางหลายคน ‘นึกขึ้นได้’ ว่าชูเซี่ยเป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหิน แล้วการที่นางไปรักษาตัวที่สำนักเฉาปัง นั่นย่อมหมายความว่าพรรคมังกรเหินและสำนักเฉาปังมีความเกี่ยวข้องกัน?

ข่าวนี้ทำให้เหลียงกุยและจางเซียนฮุยไม่อาจสงบใจได้

“เจ้าว่าเจ้าสำนักฉาวปังจะเป็นคนของพรรคมังกรเหินหรือไม่” เหลียงกุยเอ่ยถามจางเซียนฮุย

จางเซียนฮุยเมื่อลองใตร่ตรองดูแล้วก็เอ่ย “ทั้งข้าและท่านเองก็ไม่เคยพบเห็นเจ้าสำนักเฉาปังมาก่อน แต่ไหนแต่ไรเท่าที่ข้าทราบก็มี เหลียงหม่าน เป็นผู้ดูแลสำนักมาโดยตลอด”

“ใช่แล้ว และตัวเขาเองก็ไม่ใช่เจ้าสำนักอีกด้วย หรือว่าแท้จริงแล้วเหลียงหม่านก็คือคนของพรรคมังกรเหิน? งั้นแสดงว่าสำนักเฉาปังก็เป็นของพรรคมังกรเหินด้วยงั้นหรือ” เหลียงกุยกล่าวขึ้น ใจใจพลันบังเกิดความรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมา

“เช่นนั้นการที่ชูเซี่ยไปพำนักอาศัยที่สำนักเฉาปังก็มีความเป็นไปได้สูงมากทีเดียวว่าสำนักเฉาปังจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคมังกรเหินของนาง”

“หรือว่าพวกมันจะรู้แล้วว่าเรื่องการลอบสังหารจิ้งกั๋วโฮ่วเกี่ยวข้องกับพวกเรา?” เหลียงกุยเริ่มรู้สึกกระวนกระวายขึ้นมา เดิมทีแผนการของพวกเขายอดเยี่ยมไร้ที่ติ แต่จิ้งกั๋วโฮ่วดันเกิดไม่ตายเพียงแค่ไม่ได้สติเท่านั้น ตอนนี้ผู้ที่รักษาการแทนก็คือเฉินหยวนชิ่ง ขอเพียงแค่พวกเขาดึงตัวเฉินหยวนชิ่งมาเป็นพวกได้ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอีกแล้ว

แต่เพราะเหตุใดกันนะหัวใจของเขาจึงร้อนรนเช่นนี้

หรือว่าจะมีเรื่องที่พวกเขาคาดเดาผิดพลาดหรือนึกไม่ถึงกัน?

“อย่าเพิ่งคิดให้มากความนักเลย คืนนี้ข้านัดพบเฉินหยวนชิ่งไว้ พรุ่งนี้เช้าองค์หญิงแคว้นหนานจ้าวก็คงเสด็จมาถึงเมืองหลวง ฝ่ายพิธีการได้มาแจ้งแก่ข้าแล้วว่าบัดนี้ได้มีการจัดเตรียมตำหนักให้แก่องค์หญิงให้เรียบร้อยก่อนวันพรุ่งนี้”

“องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวผู้นี้แท้จริงแล้วเป็นหญิงสาวที่เจ้าแผนการไม่เลวเลยทีเดียว วันพรุ่งนี้ข้าคงต้องหาโอกาสเข้าพบนางเป็นการส่วนตัวเสียแล้ว” เหลียงกุยกล่าว

“ก็ดี องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย การเข้าวังในครานี้ตำแหน่งของนางก็ไม่แน่ว่าอาจจะได้เป็นเพียงกุ้ยเฟยเสียด้วยซ้ำ สามารถคิดแผนการเช่นนั้นออกมาได้นับว่าเฉลียวฉลาดกว่าเหล่าบุตรสาวของพวกเราเสียอีก” จางเซียนฮุยกล่าวจบก็ลอบถอนหายใจ

ถวายตัวเข้าวังตั้งหลายปีแต่อำนาจสักนิดที่จะกลับมาสนับสนุนพวกเขาหรือก็ไม่มี แม้แต่พระพัตร์ของฝ่าบาทก็เห็นเพียงแค่ไม่กี่ครั้ง มิฉะนั้นพวกเขาสองคนจะต้องมาคิดวางแผนหัวแทบแตกเช่นนี้หรือ

กลุ่มสายลับของพรรคมังกรเหินยังคงออกค้นหาและสำรวจบนเขาหลางฟงติ่งต่อไปแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้เบาะแสใดๆเพิ่มเติมอีกเลย

เชียนซานเองก็กลับมาที่จวนซือคงแล้ว แต่นางก็เอาแต่เก็บตัวอยู่แต่ภายในห้องไม่ยอมออกไปที่ใดเลย สองสามีภรรยาซือคงต่างก็เป็นห่วงนางมากเหลือเกิน ฮูหยินจางถอนหายใจออกมาอย่างโศกเศร้า กำลังจะได้แต่งงานร่วมชีวิตกันอยู่แล้ว เหตุใดจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้

เขยผู้นี้ พวกเขาสองสามีภรรยาต่างก็พึงพอใจยิ่งนัก

“หลวี่หนิงเป็นชายหนุ่มที่ดีเยี่ยมยิ่งนัก เพียงเพื่อช่วยเชียนซานยอมสละแม้กระทั่งชีวิตของตนเอง พวกเราติดค้างบ้านตระกูลลู่จริงๆ” ฮูหยินจางกล่าวทั้งๆที่ดวงตาเอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตา

ซือคงเองก็เจ็บปวดรวดร้าวไม่แพ้กัน แต่ทว่าเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรส่งเดช “อยู่ต่อหน้าเฉินเย่นวานเจ้าห้ามพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นอันขาด เกรงว่าจะยิ่งทำให้นางเจ็บปวดมากขึ้น”

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ เรื่องเช่นนี้ผู้ใดจะกล้าพูดขึ้นมากันเจ้าคะ คำเดียวข้าก็ไม่กล้าพูด ข้าเพียงแค่ต้องอยู่เคียงข้างนางเท่านั้น เด็กน้อยคนนี้ของข้า ชีวิตช่างอาภัพนัก ตอนเล็กๆก็ไม่มีข้าคอยเลี้ยงดูปกป้องนาง ไม่ง่ายเลยกว่าจะได้นางกลับมาสู่อ้อมกอด วันเวลาที่แสนสงบผ่านไปไม่ทันไรก็ดันมาเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเสียก่อน”

“เอาล่ะ พอได้แล้ว ตอนที่เจ้าอยู่ต่อหน้านางก็ห้ามร้องไห้เด็ดขาดเข้าใจหรือไม่ หากนางรู้ว่าเจ้าเจ็บปวดนางก็ย่อมเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิม”

ฮูหยินจางพยักหน้า “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ เย็นนี้ข้าจะไปตระกูลลู่ปลอบขวัญฮูหยินชราเสียหน่อย ตั้งแต่เล็กหลวี่หนิงก้ไม่มีมารดามีเพียงท่านย่าที่เลี้ยงดูเขาจนเติบใหญ่ ข้ากลัวเหลือเกินว่าฮูหยินชราจะเสียใจจนรับไม่ไหว”

สีหน้าของซือคงเคร่งเครียดขึ้นมา จริงสิ ผู้ใดจะทำใจได้กัน การที่ต้องเป็นคนผมขาวส่งศพคนหัวดำ หากว่าไม่ได้หลวี่หนิง ตอนนี้ผู้ที่ต้องแบกรับความเจ็บปวดนี้ก็คือพวกเขาเป็นแน่

ในที่สุดองค์หญิงอวิ๋นซึนก็มาถึงเมืองหลวงแล้ว

ขบวนเสด็จขององค์หญิงยาวเสียจนต้องใช้เวลาถึงครึ่งชั่วยามจึงจะเข้ามาในเมืองหลวงจนหมด

ฮ่องเต้แคว้นหนานจ้าวทรงรักและโปรดปรานในตัวองค์หญิงผู้นี้มากเหลือเกิน ทรงเกรงว่าองค์หญิงจะได้รับอันตรายระหว่างทางถึงขั้นมอบทหารอารักขามาถึงสามพันนายให้ติดตามมาด้วยกัน

ทหารทั้งสามพันนายนั้นล้วนถูกคัดสรรค์มาอย่างดี วรยุทธสุงส่ง เก่งกล้าเชี่ยวชาญการศึก

เพราะเป็นเหล่าทหารของแคว้นหนานจ้าว ดังนั้นพวกเขาจึงทำได้เพียงเคลื่อนทัพเข้าเมืองหลวงก่อนที่จำต้องถูกส่งตัวให้แยกย้ายไปตามจุดต่างๆของแคว้นเท่านั้น

องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวมาถึงเมืองหลวง ตามขนบธรรมเนียมแล้วพระองค์จำเป็นต้องเสด็จเข้าวังไปถวายบังคมฮ่องเต้และไทเฮาเสียก่อน แต่ทว่าเพราะการเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยฝ่าบาทจึงทรงพระราชทานอนุญาตให้นางพักผ่อนก่อนวันหนึ่งและค่อยเข้าวังในวันพรุ่งนี้

องค์หญิงแคว้นหนานจ้าวทรงทรงคนไปขอบพระทัยฝ่าบาทก่อนจะเสด็จไปพำนักตำหนักที่ถูกเตรียมไว้รับรองพระองค์

องค์หญิงเพิ่งมาถึงได้ไม่นานก็มีขุนนางน้อยใหญ่ทรงของมากำนัลอย่างไม่ขาดสายเสียแล้ว

ทุกคนต่างก็ทราบกันดีว่าองค์หญิงผู้นี้เสด็จมา ฮ่องเต้ไม่มีทางที่จะมอบตำแหน่งพระสนมธรรมดาๆให้แก่นางแน่ อย่างน้อยนางก็ต้องดำรงตำแหน่งกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน

ยามนี้ในวังหลวงมีกุ้ยเฟยเพียงผู้เดียวเท่านั้น นั่นก็คือบุตรสาวของเหลียงกุ้ยเฟย บุตรสาวของเหลียงกุยนั่นเอง ยามนี้นางมีอำนาจสูงสุดในวังหลังเลยก็เป็นได้

แต่ว่า แล้วอย่างไรเล่า สุดท้ายก็ไม่มีทางได้รับความรักจากฮ่องเต้อยู่ดี

มีขุนนางน้อยใหญ่เดินทางมาขอเข้าเฝ้าองค์หญิงอวิ๋นซึน แต่ทว่าก็ได้พบเพียงองครักษ์ข้างกายองค์หญิงที่บอกว่าองค์หญิงทรงเสด็จออกไปนอกวังเสียแล้ว

นี่มันน่าแปลกเกินไปแล้ว องค์หญิงเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงได้ไม่นาน นางจะไปพบผู้ใดได้เล่า

หรือว่าทรงมีพระสหายในวังหลวงกันนะ

นี่เป็นไปไม่ได้ พระองค์เพิ่งจะเส้จมาถึงวังหลวง นั่งลงเบาะนั่งยังไม่ทันอุ่นเสียด้วยซ้ำ

ทุกคนจึงพากันนึกไปว่าองค์หญิงอาจไม่ปรารถนาให้พวกเขาเข้าเฝ้าดังนั้นจึงให้องครักษ์ข้างกายกล่าวเช่นนั้น เหล่าขุนนางต่างคิดว่าองค์หญิงผู้นี้คงมีอุปนิสัยเอาแต่พระทัยตนเองเพราะเห็นว่าตนเองเป็นองค์หญิงที่ฮ่องเต้แคว้นหนานจ้าวโปรดปรานมากที่สุดกระมัง

องครักษ์เหล่านั้นช่างน่าสงสารเหลือเกิน เพราะความจริงแล้วก็คือองค์หญิงทรงเสด็จออกจากวังไปจริงๆ

อีกทั้งคนที่พระองค์เสด็จไปหาก็ไม่ใช่ใครอื่น คนผู้นั้นก็คือ ชูเซี่ย

แม้แต่ชูเซี่ยก็นึกไม่ถึงว่าองค์หญิงอวิ๋นซึนที่เพิ่งเสด็จมาถึงเมืองหลวงจะเสด็จมาเยือนนางด้วยพระองค์เอง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า