ตอนที่ 268 พรรคมังกรเหินกลับมา
จูเก๋อหมิงก็เอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย “ใช่แล้ว นี่มันน่าแปลกยิ่งนัก แต่ไม่มีทางที่จะเป็นตัวปลอมไปได้เลยเพราะว่าเสียงของพวกนางก็เหมือนกันมาก”
“อืม ข้าก็เพียงแค่สงสัยเท่านั้น ท่านกลับไปเถิด ข้าเองก็จะลองใตร่ตรองเรื่องนี้ดูเช่นกัน”
จูเก๋อหมิงพยักหน้า “อย่าคิดมาก พักผ่อนให้ดีก็พอ”
ชูเซี่ยพยักหน้าขึ้นลง “ข้ารู้แล้วน่า”
จูเก๋อหมิงทอดมองด้วยสายตาล้ำลึกก่อนจะค่อยๆเดินออกจากห้อง
มีหรือหญิงสาวจะข่มตาหลับลงได้ เวลานี้นางไม่ได้เป็นห่วงตัวเองแม้แต่น้อย นางเป็นห่วงหลี่เฉินเย่นต่างหากเล่า
หลี่อวี๋นหลี่ต้องการบังลลังก์ เขาวางแผนการร้ายมานานหลายปี ทำแม้กระทั่งสมคบคิดกับแคว้นหนานจ้าวชักศึกเข้าบ้านเพียงเพราะตำแหน่งฮ่องเต้
ก่อนที่หลี่อหยุนกางจะมาเข้าเฝ้า หลี่เฉินเย่นก็รู้แล้วว่าองค์หญิงอวิ๋นซึนและฉ่ายเวินมีใบหน้าเหมือนกันราวกับฝ่าแฝด
องครักษ์นำเรื่องนี้มารายงานแก่เขาแต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้เอื้อนเอ่ยอะไรออกมาเอาแต่เงียบ
ยิ่งเมื่อหลี่อหยุนกางมาบอกแก่เขาว่าชูเซี่ยต้องการเข้ามาอยู่ในวังเพื่อรักษาตัว เขาก็ยิ่งเข้าใจดีว่านางคิดจะทำอะไร
จริงอยู่ที่เขาต้องการให้นางเข้ามาอยู่ในวังเพื่อที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่เขาคิดถึงนางก็สามารถไปหานางได้ แต่ทว่าการที่ฉ่ายเวินเข้ามาอยู่ในวังครั้งนี้วังหลวงของเขาก็ย่อมไม่ปลอดภัยอีกต่อไป ยามนี้ดวงตาของนางก็มองไม่เห็น เขาไม่ต้องการให้นางต้องเผชิญหน้ากับอันตรายใดๆทั้งสิ้น การที่นางอยู่ที่สำนักเฉาปังอย่างน้อยคนของสำนักเฉาปังและคนในพรรคมังกรเหินย่อมต้องดูแลปกป้องนางได้ หากมีใครคิดจะปองร้ายนางก็ไม่ใช่เรื่องที่จะลงมือได้โดยง่าย
ดังนั้นชายหนุ่มจึงกล่าวกับหลี่เฉินเย่นว่า “อย่าเพิ่งเลยรอดูสถานการณ์ก่อนจะดีกว่า”
“ห้ามนางไม่ได้หรอก นางตั้งใจจะใช้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรเหินเข้ามาในวังแล้วล่ะ” หลี่อหยุนกางกล่าว
หลี่เฉินเย่นได้ยินเช่นนั้นก็ถอนใจหายใจออกมา “เสด็จพี่ บางครั้งเราก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตำแหน่งฮ่องเต้นี้เรายอมยกให้เขาไปเลยก็จบ”
“พูดจาเหลวไหลอะไรกัน ตำแหน่งฮ่องเต้ไม่ใช่คิดจะมอบให้ใครก็ได้นะ หากมันผู้ใดหมายจะช่วงชิงก็ให้มันผู้นั้นเข้ามา มีอะไรที่เราต้องกลัวกัน” หลี่อหยุนกางเอ่ยอย่างขุ่นเคือง
หลี่เฉินเย่นยิ้มขมขื่น “วางใจเถิด เราก็แค่บ่นไปเท่านั้นเอง หากจะสละบังลังก์เราคงสละไปนานแล้วล่ะไม่จำเป็นต้องรอจนถึงตอนนี้หรอก เป้าหมายของหลี่อวี๋นหลี่คือบัลลังก์ฮ่องเต้ หากเขาได้ครอบครองมันย่อมทำให้ประชาชนและไพร่ฟ้าต้องทุกข์ยากแน่ อีกอย่างต่อให้เขาสมคบคิดกับแคว้นหนานจ้าวจริง อย่างมากเราก็แค่เสียเมืองเล็กๆไปไม่กี่เมืองให้ทางนั้นเท่านั้น”
ในฐานะที่เป็นฮ่องเต้แล้วเขาก็มีหน้าที่ที่ต้องรักษาความสงบและความมั่นคงให้แก่แคว้นของตน
คนที่สามารถชักศึกเข้าบ้านและทำทุกวิถีทางให้ได้ครอบครองบัลลังก์ คนเช่นนี้จะสามารถเป็นฮ่องเต้ที่ดีได้อย่างไรกันเล่า
“เสด็จพี่รู้ว่าหลายปีมานี้เจ้าเองก็ลำบากไม่น้อย ว่ากันตามตรงพี่เองก็คิดว่าแท้จริงแล้วตำแหน่งฮ่องเต้แทบไม่มีอะไรดีเลยด้วยซ้ำแล้วเหตุใดคนจึงยังต้องการแก่งแย่งครอบครองมันอีกนะ”
หลี่เฉินเย่นหมุนแหวนยกบนนิ้วอย่างครุ่นคิด “ชูเซี่ยกลับเข้าวังครั้งนี้อย่าเพิ่งให้นางต้องลงมือทำการใดก่อนเลยให้นางรักษาตัวให้หายดีเสียก่อนเถิด เสด็จพี่ต่อแต่นี้เป็นต้นไปหากมีเรื่องอะไรก็มาบอกข้าโดยตรงไม่จำเป็นต้องไปบอกนางหรอก”
หลี่อหยุนกางพยักหน้า “เข้าใจแล้ว”
แต่ทว่าเรื่องง่ายดายเพียงนั้นเสียที่ใดเล่า ชูเซี่ยน่ะหรือจะยอมอยู่นิ่งๆรักษาตัว? ต่อให้เขาไม่ได้นำเรื่องไปบอกชูเซี่ยคนในพรรคมังกรเหินของนางย่อมนำความไปบอกแก่นายหญิงพวกตนอยู่ดี
“พรุ่งนี้เช้าที่ท้องพระโรงเราจะเป็นผู้ประกาศแก่ขุนนางทั้งหลายเองว่าหัวหน้าพรรคมังกรเหินต้องการเข้าวังไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านได้!” หลี่เฉินเย่นกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
ช่างน่าขำสิ้นดี เหลียงกุยและพรรคพวกคัดค้านการกลับมาของชูเซี่ยมาตลอด แต่บัดนี้นางกลับเข้าวังมาโดยอาศัยอำนาจของพรรคมังกรเหินโดยที่พวกเขาไม่แม้แต่จะมีสิทธิ์ออกเสียงหรือความคิดเห็นใดๆได้แม้แต่คำเดียว
หลี่อหยุนกางกล่าว “แม้ว่าจะเป็นอำนาจที่มาจากผู้ก่อตั้งราชวงศ์แต่ทว่าพวกเหลียงกุยมีหรือจะยอมรามือโดยง่าย ทางเราระวังไว้หน่อยเป็นดี”
“ท่านวางใจเถิด การที่ชูเซี่ยเข้าวังโดยใช้ตำแหน่งหัวหน้าพรรคมังกรเหินเป็นใบเบิกทางแสดงว่าคนในพรรคมังกรเหินย่อมต้องเตรียมการมาอย่างดีแล้ว พวกเหลียงกุยคัดค้านไม่ได้แน่” หลี่เฉินเย่นยืนกราน
แม้ว่าหลี่อหยุนกางจะเป็นราชวงศ์เช่นกัน แต่ว่าความรู้เรื่องพรรคมังกรเหินที่เขามีอยู่นับว่าน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย เมื่อครั้งยังเด็กเขาก็เคยได้ยินมาว่าอำนาจและฝีมือของพรรคมังกรเหินแก่กล้าและแข็งแกร่งไร้เทียมทาน จนกระทั่งเติบใหญ่เขาได้ยินเฉินเย่นยืนกรานเช่นนั้นก็อดถามอย่างสงสัยไม่ได้ “แท้จริงแล้วพรรคมังกรเหินในตอนนี้ยังเหมือนกับในอดีตอยู่หรือไม่ หลายปีมานี้ข่าวคราวของพรรคมังกรเหินเรียกได้ว่าหายสาบสูญไปจากแคว้นเสียด้วยซ้ำ บางทีมันอาจเกินจริงไปหน่อยกระมัง”
จริงอยู่ที่พรรคมังกรเหินเคยเป็นพรรคที่มีอำนาจและเก่งกล้าไร้เทียมทาน ผู้คนในพรรคต่างก็เป็นยอดฝีมืออย่างหาตัวจับได้ยาก แต่ทว่ามันก็เป็นเรื่องเมื่อหลายปีมาแล้ว
ในที่สุดหลี่เฉินเย่นยิ้มออกมา “ไม่เกินจริงแม้แต่น้อย พรุ่งนี้ท่านก็จะทราบเอง”
หลี่อหยุนกางได้ยินเช่นนั้นก็ยินดีเหลือจะกล่าว “จริงหรือ เปิ่นหวางตั้งตารอให้ถึงวันพรุ่งนี้แทบไม่ไหวเลยทีเดียว”
พรรคมังกรเหินข่าวคราวเงียบหายไปนานหลายปีครานี้ถึงคราวได้กลับมาผงาดอีกครั้ง ทั้งยังปรากฎตัวมาก็เพื่อค้ำจุนอำนาจและให้การสนับสนุนแก่ฮ่องเต้ ไม่ว่าผู้ใดก็ต้องตั้งตารอคอยอยู่แล้ว
จนกระทั่งยามดึกยามที่เฝ้าอยู่ที่กำแพงเมืองหลวงก็พบว่าคนกว่าหลายพันเดินทางมาถึงประตูเมืองหลวง เหล่านายทหารเห็นเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกและร้อนใจรีบไปแจ้งเรื่องนี้แก่เฉินซูทันที เฉินซูทราบเรื่องก็คิดว่าคนพวกนั้นคงไม่ได้มาดีจึงรวบรวมกำลังคนกว่าร้อยคนจุดคบไฟและพร้อมประจันหน้าอยู่ที่กำแพงเมืองหลวง
“ผู้มาเยือนคือใคร”
มีอาชาสีขาวตัวใหญ่วิ่งเข้ามาใกล้ประตูเมืองหลวง ร่างสูงสง่าที่อยู่บนอาชาสวมใส่ชุดเกราะลายมังกร ใบหน้างดงามสูงสง่าและดูสุขุมเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มก้องกังวาน “ข้าหลี่ฉางอัน คนของพรรคมังกรเหินต้องการนำกำลังคนของพวกเราเข้าวัง”
เฉินซูเป็นอดีตนายพลมาก่อน เมื่อได้ยินชื่อของพรรคมังกรเหินก็ถึงกับเบิกตากว้างมองอย่างไม่เชื่อสายตา ชุดเกราะนี้ไม่ใช่
ชุดเกราะทั่วไปแต่มันมีตรามังกรอยู่บนเสื้อเกราะ ตราสัญลักษณ์เช่นนี้เป็นของพรรคมังกรเหินไม่ผิดแน่
พรรคมังกรเหินประสงค์จะเข้าเมืองหลวงไม่ว่าผู้ใดก็ไม่อาจคัดค้านได้
เฉินซูไม่กล้าล่าช้าแม้แต่น้อยเขารีบสั่งคนให้อำนวยความสะดวกเปิดประตูเมืองหลวงในทันทีก่อนจะหันมาทางหลี่ฉางอัน “ขอถามหน่อยเถิด พรรคมังกรเหินนำกำลังคนเข้าเมืองหลวงมากถึงเพียงนี้เกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือขอรับ”
หลี่ฉางอันยื่นลูกธนูดอกหนึ่งมาตรงหน้าเฉินซูก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “เป็นคำสั่งของหัวหน้าพรรค พวกข้าเพียงแค่ต้องทำตามเท่านั้น”
ลูกธนูของพรรคมังกรเหินมีจุดเด่นอย่างหนึ่งคือต่อให้โดนไฟเผาอย่างไรก็จะไม่มีวันเปลี่ยนสีเด็ดขาด เฉินซูจึงจัดการโยนลูกธนูลงบนกองไฟทันทีและก็พบว่ามันไม่เปลี่ยนสีจริงๆเสียด้วย นับว่าเป็นของจริงแท้แน่นอน
ในเมื่อมีสิ่งของยืนยันเฉินซูก็ไม่คิดถามให้มากความได้แต่ปล่อยให้ไพร่พลของอีกฝ่ายเดินทางเข้าเมืองหลวงแต่โดยดี
พรรคมังกรเหินเดินทางเข้าเมืองหลวงรวดเร็วนัก ทันทีที่เข้าสู่เขตเมืองก็แยกย้ายออกไปทั้งสี่ทิศของเมือง จากนั้นก็หายไปท่ามกลางความมืดอย่างรวดเร็วและไม่มีผู้ใดพบเห็นแม้แต่เงา
เฉินซูมองตามอย่างไม่อาจบรรยายสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าได้ “ข้าใช้ชีวิตมาหลายปีในที่สุดก็มีโอกาสได้เห็นคนของพรรคมังกรเหิน แต่ทว่าก็ไม่เคยเห็นกองกำลังใหญ่ถึงเพียงนี้มาก่อนทั้งยังสวมใส่ชุดเกราะนั่นอีกเล่า พวกเขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่”
นายทหารผู้หนึ่งเดินออกมาแสดงความคิดเห็นของตนต่อพรรคมังกรเหิน “แม่ทัพเฉิน พวกเขาจะมาก่อกบฎหรือไม่”
“เหลวไหล!” เฉินซูตวาดอย่างเกรี้ยวกราด “คนของพรรคมังกรเหินไม่มีวันก่อกบฎเป็นอันขาด การที่หัวหน้าพรรคสั่งรวบรวมคนก็คงเพื่อให้การสนับสนุนต่อฝ่าบาทเป็นแน่ ดูท่าในวังหลวงคงเกิดเรื่องอะไรขึ้นกระมัง”
“ต้องรายงานเรื่องนี้แก่แม่ทัพใหญ่เฉินหยวนชิ่งหรือไม่ขอรับ” นายทหารผู้นั้นเอ่ยถาม
เฉินซูครุ่นคิดก่อนพยักหน้า “ข้าไปเองก็แล้วกัน”
เฉินซุมีศักดิ์เป็นท่านลุงของเฉินหยวนชิ่ง แต่เพราะความจงรักภักดีและปราศจากความทะเยอทะยานจึงยอมเป็นเพียงแม่ทัพที่คุมรักษาประตูเมืองหลวงเท่านั้น
เฉินหยวนชิ่งเองก็เคยนึกจะผลักดันเขาแต่เป็นเขาเองที่พอใจกับตำแหน่งของตนเองอยู่แล้ว อีกฝ่ายจึงไม่หักหารน้ำใจและไม่ดื้อดึงส่งเสริมเขาอีกต่อไป
ความจริงแล้วเฉินซุก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเมื่อก่อนเฉินหยวนชิ่งก็ให้ความเคารพนับถือเขามากทั้งยังเรียกขานเขาว่าท่านลุงเสียด้วยซ้ำ ทว่านับตั้งแต่ที่ชายหนุ่มได้ตำแหน่งเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ก็ไม่ค่อยเห็นคนในครอบครัวอยู่ในสายตาเสียแล้ว การที่เฉินหยวนชิ่งพยายามดึงดันที่จะให้การสนับสนุนคนเช่นเขาก็เพราะต้องการผู้ที่ซื่อสัตย์จงรักภักดีอยู่เคียงข้างและคอยเป็นกำลังเสริมให้ตนเองมากกว่า
เฉินซูเป็นคนใจแข็งและมีอุดมการณ์ชัดเจน ต่อให้อีกฝ่ายพยายามส่งเสริมเขาเช่นไรเขาก็ปฎิเสธมาตลอด
แต่ทว่ายามนี้พรรคมังกรเหินกว่าหลายพันคนเดินทางเข้าเมืองหลวงไม่ว่าอย่างไรเขาก็ควรบอกแก่เฉินหยวนชิ่งสักคำหนึ่ง เพราะเขาคิดว่าเฉินหยวนชิ่งก็คงมีส่วนร่วมในเรื่องราวครั้งนี้ไม่มากก็น้อย
คนที่ดวงตามืดบอดมาเสมอก็ควรมีใครสักคนที่ปลุกให้เขาคืนสติขึ้นมาเสียที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...