ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 269

ตอนที่ 269 ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว

ตอนที่เฉินซูเดินทางไปถึงจวนแม่ทัพใหญ่ก็เห็นว่าเฉินหยวนชิ่งกำลังเดินออกมาส่งจางเซียนฮุยที่ประตูนอกจวนพอดี

แม้ว่าตัวเฉินซูเองจะไม่ชอบยุ่งเกี่ยวเรื่องของผู้อื่นแต่เขาก็รู้ว่าจางเซียนฮุยเป็นพวกเดียวกันกับเหลียงกุย พวกเขาไม่พอใจในฮ่องเต้องค์ปัจจุบันเท่าใดนัก ดูเหมือนว่าการมาเยือนจวนแม่ทัพใหญ่ของเฉินหยวนชิ่งครั้งนี้คงไม่ได้มาด้วยความบริสุทธ์ใจแน่

ตามมารยาทแล้วเขาไม่ควรเสียมารยาท เฉินซูจึงก้าวเท้าไปข้างหน้าก่อนประสานมือโค้งคำนับ “ใต้เท้าจางก็อยู่หรือ ช่างบัญเอิญนัก”

จางเซียนฮุยจ้องพิจารณาใบหน้าอีกฝ่ายอยู่นานด้วยสีหน้าครุ่นคิด นานทีเดียวก็ยังนึกไม่ออก “ท่านคือ...ข้าจำได้ ข้าจำได้ ท่านก็คือนายพลที่ประจำการอยู่ที่กำแพงเมืองหลวงใช่หรือไม่”

เฉินซูขยับยิ้ม “ใต้เท้าความจำดียิ่งนัก”

จางเซียนฮุยตบบ่าของเฉินซูเบาๆก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจ “มาหาหลานชายของท่านเพื่อปรึกษาหารือกันหรือ? จริงๆแล้วเมื่อลองนับดูนับดูท่านก็ประจำอยู่ที่กำแพงเมืองหลวงนานสิบปีได้แล้วกระมัง?”

“เรียนใต้เท้า สิบปีแล้วขอรับ” ในใจของเฉินซุรู้สึกไม่สบายใจนัก แต่ทว่าเขาเองก็เป็นคนที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากจะให้วู่วามเป็นหนุ่มๆได้อย่างไร

“ดี อย่างน้อยตอนนี้หลานชายท่านก็เป็นที่เชิดหน้าชูตาแล้ว” จางเซียนฮุยยิ้มก่อนจะหันกลับมาหาเฉินหยวนชิ่ง “เอาล่ะ ไม่ต้องส่งข้าแล้ว ท่านเสนาบดีกลาโหมก็กลับเข้าไปเถิด”

“เสนาบดีกลาโหมอะไรกัน เป็นเพียงแค่ตัวแทนเท่านั้น” เฉินหยวนชิ่งกล่าวยิ้มๆ

จางเซียนฮุยหัวเราะเสียงดัง “ก็เหมือนกัน ตอนนี้เพียงแค่ตัวแทนอีกหน่อยก็เป็นตัวจริง”

กล่าวจบก็มีรถม้าคันหนึ่งวิ่งเหยาะๆเข้ามาหยุดตรงหน้าประตู มีบ่าวรับใช้นายหนึ่งคุกเข่าลงกับพื้นเพื่อเป็นบันไดเหยียบย่ำให้ขุนนางเฒ่าก้าวขึ้นรถม้า

ตระกูลของจางเซียนฮุยเป็นตระกูลขุนนางมหาอำนาจที่อยู่คู่แคว้นเหลียงมานาน เรื่องฝีปากกันชักจูงโน้มน้าวจิตใจคนของเขานับว่าไม่ธรรมดา

แต่ทว่าเฉินซูกลับมีนิสัยเถรตรงพูดจาอ้อมค้อมไม่เป็น เมื่อคล้อยหลังรถม้าก็หันมากล่าวกับเฉินหยวนชิ่งทันที “จางเซียนฮุยผู้นี้ไม่ได้มาดีแน่ เจ้าเองก็อย่าได้เอาตัวไปข้องเกี่ยวกับเขาให้มาก”

สีหน้าของเฉินหยวนชิ่งยังคงเรียบเฉย “ทุกคนก็ล้วนทำงานรับใช้บ้านเมืองจะไม่ให้ข้องเกี่ยวได้อย่างไร? คืนนี้ที่เขามาหาข้าก็เพียงแค่ดื่มสุราสนทนาพาทีเท่านั้นไม่ได้มีอะไรพิเศษ”

“ไม่มีก็ดี” เดิมเฉินซูอยากจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมแต่ทว่าเห็นสีหน้าของอีกฝ่ายไม่สู้ดีนักก็นึกไปว่ายามนี้เขามีตำแหน่งเป็นถึงเสนาบดีกลาโหมแล้วมีหรือจะอยากฟังความคิดเห็นไร้สาระจากลุงที่เป็นเพียงนายทัพเฝ้ากำแพงเมืองเช่นเขา ดังนั้นเขาจึงไม่คิดจะกล่าวอะไรเพิ่มเติมอีกแล้ว

สักครู่เฉินหยวนชิ่งก็ค่อยๆหันมาทางเขาและพยักหน้าเล็กน้อย “อ้อ ท่านมาหาข้ามีธุระอะไรงั้นหรือ”

“เมื่อครู่ กองทัพชุดเกราะของพรรคมังกรเหินเข้ามาในเมืองหลวง ข้าเพียงต้องการบอกเจ้าเรื่องนี้เท่านั้น” เฉินซูกล่าวพลางเดินไปข้างหน้าราวกับว่าต้องการจะก้าวไปข้างในค่อยๆพูดกันต่อ

แต่ทว่าเฉินหยวนชิ่งกลับยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนราวกับว่าไม่ต้องการเชื้อเชิญอีกฝ่ายเข้าจวนแต่อย่างใด

เฉินซุถึงกับหน้าชาและค่อยๆก้าวเท้าถอยออกมา

“คนของพรรคมังกรเหินเข้าเมืองหลวงเกี่ยวอะไรกับข้ากัน นี่ยังอยู่เวลางานของท่านลุง ท่านก็กลับไปเถิด” เฉินหยวนชิ่งเอ่ยเสียงราบเรียบ

เฉินซูเสียหน้าเหลือเกินเดิมทีเขาตั้งใจจะมาเอ่ยคำเตือนสติหลานชายของตนแท้ๆ แต่เห็นสีหน้าไม่สบอารมณ์ของอีกฝ่ายเขาเองก็ไม่อยากทนมองสีหน้าเช่นนั้นจึงตัดสินใจหมุนกายเดินจากไป

เฉินหยวนชิ่งกำมือแน่นก่อนจะค่อยๆเดินกลับเข้าจวนไป

องครักษ์ที่อยู่ด้านหลังเขาก็เอ่ย “ท่านแม่ทัพขอรับ การที่คนของพรรคมังกรเหินเข้าเมืองหลวงมาเช่นนี้คงไม่ได้มาเปล่าแน่ พวกเขาอาจจะกำลังวางแผนอะไรบางอย่าง ข้าน้อยว่าที่ใต้เท้าจางกล่าวเมื่อครู่ ท่านแม่ทัพสมควรตรวจสอบดูสักหน่อยนะขอรับ”

เฉินหยวนชิ่งส่งเสียง ‘ฮึ’ ออกมา “พรรคมังกรเหินมีอะไรน่ากลัวกัน?”

องครักษ์ก็กล่าวต่อ “เรื่องนี้อาจจะซับซ้อน ข้าน้อยว่าเราควรสืบค้นดูขอรับ”

“มีอะไรซับซ้อนเล่า ก็ย่อมต้องเป็นเรื่องที่หลี่อวี๋นหลี่กลับมาแย่งชิงบัลลังก์ฮ่องเต้ไม่ใช่หรืออย่างไร เหลียงกุงและจางเซียนฮุยสองเฒ่าจิ้งจองเจ้าเล่ห์ก็หมายจะควบคุมอำนาจฮ่องเต้เพื่อเสริมสร้างอำนาจตระกูลของตนอยู่แล้ว ส่วนฝ่าบาทก็ไม่ได้นึกถึงอะไรหรอกนอกจากหมายจะอภิเษกสมรสกับชูเซี่ยให้นางมาครองตำแหน่งฮองเฮาก็เท่านั้น ข้าไม่คิดจะเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องพวกนี้หรอกนะ”

ตอนที่เฉินหยวนชิ่งกล่าวมาถึงตรงนี้ดวงตาก็ฉายแววเคียดแค้นออกมา

องครักษ์เอ่ยทัดทานเสียงเบา “แต่ว่าคนที่ทำร้ายคุณหนูจนตายก็คือฉ่ายเวินนะขอรับ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับชูเซี่ยแม้แต่น้อย เหตุใดท่านแม่ทัพจึงต้องโยนความผิดทั้งหมดให้แก่นางด้วยเล่า”

เฉินหยวนชิ่งบันดาลโทสะถึงขั้นหันกลับมาตวัดฝ่ามือเข้าที่ใบหน้าขององครักษ์ผู้นี้อย่างแรง “เฉินซาน เจ้าจำได้หรือไม่ว่าผู้ใดเป็นนายของเจ้า ชูเซี่ยนางเอายาอะไรให้เจ้ากินงั้นหรือเจ้าจึงได้เชื่อฟังคำพูดนางถึงเพียงนี้ ต่อให้คนที่ทำร้ายคุณหนูจะเป็นฉ่ายเวินจริง แต่ชูเซี่ยก็ไม่ผิดหรือไร นางเป็นหมอเทวดาช่วยชีวิตคนมามากมายแต่กลับไม่ยอมช่วยรักษาอวี่จู๋ นางไม่สมควรตายงั้นหรือ”

องครักษ์เฉินซานถูกนายของตนลงไม้ลงมือก็ตกใจจนไม่กล้าเอ่ยอะไรอีก

แต่เฉินหยวนชิ่งก็ยังคงกล่าวออกมาอย่างแค้นเคือง “หลี่ซีได้ไปตรวจสอบเรื่องพิษกู่ของหมอหลวงหลันมาแล้ว แม้ว่าจูเก๋อหมิงจะยืนยันว่าองค์ไทเฮาไม่ได้ถูกพิษ แต่ทว่าข้ากลับคิดว่าพวกเขากำลังปิดบังอะไรบางอย่างอยู่ พระอาการของไทเฮาในยามนี้เหมือนกับพิษชนิดเดียวกันที่อวี่จู๋เคยโดนไม่มีผิด หากว่าชูเซี่ยสามารถรักษาไทเฮาให้หายได้นั่นก็ชัดเจนแล้วว่าความจริงนางสามารถรักษาอวี่จู๋ให้หายได้ ข้าจะรอดู หากนางไม่อาจรักษาได้ก็นับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง มิฉะนั้น...”

ดวงตาของชายหนุ่มฉายแววอำมหิตเสียจนเฉินซานที่ติดตามรับใช้เขามานานสิบปีก็ยังอดที่จะตื่นกลัวไม่ได้

คล้อยหลังเฉินหยวนชิ่งที่ปิดประตูจวนแม่ทัพใหญ่ไปแล้วก็มีเงาดำโผล่ออกมาจากหลังศิลาหินมีร่างร่างหนึ่งค่อยๆเดินออกมา ร่างทั้งร่างของเขาสวมใส่ชุดสีดำสนิดกลมกลืนกับความมืด ใบหน้าก็ถูกผ้าคาดสีดำปิดส่วนล่างไว้จนเห็นเพียงดวงตาเท่านั้น “เป็นความแค้นส่วนตัวที่น่าสนใจดีเหลือเกิน ไม่รู้ว่าหากชูเซี่ยกับเฉินหยวนชิ่งปะทะกันขึ้นมาจะสนุกเพียงใด”

ชายชุดดำเหาะทะยานจากไปพร้อมทั้งสั่งการออกไป “เด็กๆ ไปแจ้งแก่เหลียงกวางเซียงว่าพรุ่งนี้ให้เขาไปหาชูเซี่ย...”

คืนนี้ไม่ว่าอะไรก็ไม่เงียบสงบเลยสักอย่าง แม้กระทั่งสำนักเฉาปังเองก็วุ่นวายเช่นกัน

จนกระทั่งเมื่อใกล้รุ่งสางเหลียงกวางเซียงก็อุ้มทารกน้อยผู้หนึ่งมาที่สำนักเฉาปังเพื่อขอเข้าพบชูเซี่ย

ตลอดทั้งคืนชูเซี่ยยังไม่ได้นอน แต่เมื่อนางได้ยินอาหมั่นมาแจ้งว่าเหลียงกวางเซียงมาขอเข้าพบนางก็ไม่ได้ปฎิเสธ

เมื่อเหลียงกวางเซียงพบชูเซี่ยก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบคุกเข่าลงกับพื้น “ข้าน้อยคาราวะนายหญิง!”

ชูเซี่ยนั่งลงบนเก้าอี้ หูของนางได้ยินเสียงร้องอ้อแอ้ของเด็กทารกก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าพาเด็กมาที่นี่ทำไมกัน”

เหลียงกวางเซียงกล่าวด้วยใบหน้าที่เศร้าสลด “นายหญิง ข้าน้อยผิดไปแล้ว ครั้งนี้ได้โปรดช่วยข้าน้อยสักครั้งด้วยเถิด”

“ช่วยอะไร” ชูเซี่ยรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายไม่มีทางที่จะมาหานางโดยไร้เหตุผลแน่

อาหมั่นก็เอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ตอนนี้ใต้เท้าเหลียงก็ได้ภูผาสูงที่พักพิงได้แล้วไม่ใช่หรือ ไหนเลยท่านจะยังจำพรรคมังกรเหินของพวกเราได้อีกเล่า การช่วยเหลือครั้งนี้ท่านก็ไปขอร้องผู้อื่นเถิด”

เหลียงกวางเซียงถูกความผิดบาปละอายใจกลืนกินช้าๆ “ข้ารู้ว่าตอนนี้ไม่ว่าข้ากล่าวอะไรไปท่านหัวหน้าก็ไม่มีทางเชื่อข้า แต่

ทว่าครั้งนี้ข้าหาได้มามือเปล่านะขอรับ ข้านำยาถอนพิษของไทเฮามาให้แก่ท่านด้วย เชิญท่านตรวจสอบดูก่อนได้”

“ยาถอนพิษอีกแล้วหรือ ช่างเถิด ครั้งก่อนที่นายของพวกเจ้าเอายาถอนพิษมาให้ก็ทำเอานายหญิงของพวกข้าต้องบาดเจ็บที่ดวงตา คราวนี้ยังคิดจะมาใช้แผนการชั่วร้ายอะไรอีก!” อาหมั่นทั้งโกรธแค้นและไม่คิดจะเชื่อลมปากอีกฝ่ายแม้แต่น้อย

ชูเซี่ยใช้ความคิดอยู่สักพักก่อนจะค่อยๆเอ่ย “เรื่องอะไร ลองพูดมาสิ”

เหลียงกวางเซียงอุ้มทารกน้อยในอ้อมกอดขยับมาข้างหน้าเล็กน้อย “นายหญิง เรื่องของข้าและกุ้ยไท่เฟยท่านเองก็คงทราบ

แล้วข้าเองก็ไม่คิดปิดบังอะไรท่านอีก วันนี้ข้ามาก็เพื่อจะขอร้องท่าน เด็กคนนี้เกิดมาก็หูหนวกไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยขอรับ”

“ข้าช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ ตอนนี้ข้าตาบอดมองอะไรไม่เห็น ข้าย่อมฝังเข็มช่วยเขาไม่ได้ เจ้าก็ไปหาหมอผู้อื่นเถิด” ชูเซี่ยกล่าวเสียงเรียบ

“ไม่ นายหญิง ครั้งนี้แม้แต่ยาแก้พิษของท่านข้าเองก็นำมามอบให้ท่านเช่นกันนะขอรับ” เหลียงกวางเซียงกัดฟันเอ่ยต่อไป “นายหญิง ข้าขอไม่ปิดบังท่านครั้งนี้ที่ข้ามาก็เป็นเพราะแผนการของหลี่อวี๋นหลี่จริงๆ เขาให้ข้านำยาถอนพิษของไทเฮามามอบให้แก่ท่าน แต่ทว่าแม้ว่าข้าจะเป็นคนที่ถูกหลี่อวี๋นหลี่หลอกใช้แต่ถึงอย่างไรข้าก็ยังคงเป็นคนของพรรคมังกรเหินไม่เปลี่ยนแปลง ดังนั้นข้าจึงแอบขโมยยาถอนพิษของท่านออกมามอบให้แก่ท่านด้วยขอรับ”

อาหมั่นส่งเสียง ‘เฮอะ’ ออกมา “พวกมันวางยาพิษไทเฮาแต่มาบัดนี้กลับยอมมอบยาถอนพิษมาให้ง่ายๆ มีแผนการร้ายอะไรกันแน่ คิดว่าพวกเราเป็นเด็กสามขวบหรืออย่างไร หลอกง่ายนักหรือ เกรงว่านี่คงไม่ใช่ยาถอนพิษแต่เป็นยาพิษเสียมากกว่า หากให้ไทเฮารับเข้าไปย่อมต้องถึงแก่ชีวิตแน่ ถึงตอนนั้นนายหญิงของข้าก็ต้องรับโทษฐานปลงพระชนม์ไทเฮาใช่หรือไม่”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า