ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 281

ตอนที่ 281 ความสุขชั่วคราว

หลี่เฉินเย่นเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ลุกขึ้น!”

ฉ่ายเวินค่อยๆยืนขึ้นและส่งสายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกลึกซึ้งให้แก่ชายหนุ่มตรงหน้า

เขารู้ตั้งแต่แรกแล้วว่านางคือใครแต่กลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ หรือว่าเขาไม่รู้จริงๆหรือว่าที่นางกลับมาก็เพราะเขา

ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำลงไปก็เพื่อเขา นางต้องทนทุกข์ทรมานมาเท่าใด้ก็เพื่อเขา เหตุใดเขาจึงไม่เข้าใจเสียบ้าง

ในใจของนางรู้สึกไม่ยุติธรรมเหลือเกิน นางมองหน้าของเขาก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “หม่อมฉันเข้าวังมาได้หลายวันแล้วแต่ฝ่าบาทกลับไม่ทรงคิดจะเสด็จมาหาหม่อมฉันบ้างเลยหรือเพคะ”

“หืม?” หลี่เฉินเย่นปรายตามอง ดวงตาคมของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความรังเกียจและเคียดแค้น “นี่เจ้ากำลังต่อว่าเราหรือ”

“หม่อมฉันไม่กล้าเพคะ เพียงแต่ถึงอย่างไรหม่อมฉันก็มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงแคว้นหนานจ้าว ฝ่าบาทสมควรไว้หน้าหม่อมฉันบ้าง” ฉ่ายเวินรู้สึกน้อยใจไม่น้อย ทุกครั้งที่นางมาขอเข้าเฝ้าเขาก็มักจะมีเหล่าองครักษ์หรือไม่ก็ขันทีเอาแต่บอกว่าเขาไม่ว่าง หากว่าเขาไม่ว่างจริงๆเขาจะมีเวลามาหาชูเซี่ยได้อย่างไรเล่า

หากว่าชูเซี่ยไม่ตายเขาก็คงไม่ตายใจสินะ

“เจ้าจำได้ว่าเจ้ามีฐานะเป็นองค์หญิงแคว้นหนานจ้าว แล้วก็ยังจำได้อีกว่าตนเองก็เคยเป็นกุ้ยเฟยเป็นสนมแคว้นเหลียงของเรา เราว่าเจ้ากลับไปคิดทบทวนให้ดีก่อนจะดีกว่าว่าแท้จริงเจ้าตั้งใจจะสวมบทบาทใดกันแน่ เมื่อคิดได้แล้วก็ค่อยกลับมาหาฮ่องเต้แคว้นเหลียงอย่างเราก็แล้วกัน” หลี่เฉินเย่นกล่าว

ฉ่ายเวินขบเม้มริมฝีปากแน่น ดวงตากลมโตมีน้ำใสๆเอ่อคลอออกมา ก็เหมือนกับเมื่อก่อนยามที่นางไม่ได้รับความยุติธรรมนางก็มักจะแสดงท่าทางอ่อนแอน่าสงสารเช่นนี้ออกมา ทุกครั้งที่นางทำเช่นนี้ศิษย์พี่ของนางก็จะอ่อนข้อให้นางเสียทุกครั้ง

แต่ทว่าครั้งนี้สายตาของศิษย์พี่ไม่หลงเหลือการอ่อนข้อและความเอ็นดูสงสารนางอีกแล้ว สายตาของชายหนุ่มตรงหน้าที่มองมายังนางมีแต่ความรังเกียจเดียดฉันท์

ห้าปีก่อน เขาเป็นผู้ลงมือสังหารนาง

แต่ทว่านางมั่นใจว่าที่เขาสังหารนางไม่ได้เป็นเพราะชูเซี่ย เขาสังหารนางเพราะว่านางเป็นผู้ลงมือสังหารบิดาตนเองและศิษย์พี่หญิงต่างหากเล่า เขาไม่ได้สังหารนางเพราะชูเซี่ย

ไม่เป็นไร นางจะค่อยๆอธิบายเรื่องนี้ให้เขาเข้าใจเอง ว่าตอนนั้นนางมีเหตุผลอะไรจึงต้องลงมือสังหารบิดาและศิษย์พี่หญิงของตนเอง เขาจะต้องเข้าใจนางและรับฟังเหตุผลของนางแน่ แท้จริงแล้วหัวใจของนางก็เจ็บปวดกับที่ต้องลงมือสังหารบิดาและศิษย์พี่หญิงเช่นกัน ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไม่มีคืนใดเลยที่นางจะสามารถข่มตาหลับได้ลง ทำไมเขาจึงจะไม่เข้าใจเหตุผลของนางบ้าง

ท่าทางขวัญหนีดีฝ่อของฉ่ายเวินอยู่ในสายตาของชูเซี่ยตลอดเวลา นางดูออกได้อย่างทะลุปรุโปร่งไปจนถึงว่าตอนนี้อีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ด้วยซ้ำ

ชูเซี่ยหันมาสบสายตากับหลี่เฉินเย่นเป็นนัย หลี่เฉินเย่นเห็นเช่นนั้นก็หันกลับมากล่าวกับฉ่ายเวิน “องค์หญิงเสด็จกลับไปก่อนเถิด เรากับหัวหน้าพรรคมีเรื่องที่จะพูดคุยกันเสียหน่อย”

ฉ่ายเวินได้ยินเช่นนั้นแม้จะไม่เต็มใจแล้วนางจะทำอะไรได้นอกจากต้องยอมกลับออกไปแต่โดยดี

ตอนที่นางกำลังจะก้าวเท้าออกไปนั่นเอง จู่ๆหญิงสาวก็หันกลับมาหาชูเซี่ย “ท่านหัวหน้าพรรคชู ว่างๆหม่อมฉันขอพาคู่แฝดไปเที่ยวเล่นที่ตำหนักบ้างได้หรือไม่”

หลี่เฉินเย่นไม่รอให้ชูเซี่ยกล่าวอะไรออกมาก็ชิงเอ่ยขึ้นด้วยใบหน้านิ่วคิ้วขมวด “ไม่จำเป็น”

ใบหน้าของฉ่ายเวินถอดสี “ฝ่าบาททรงกลัวว่าหม่อมฉันจะทำร้ายพวกเขาหรือเพคะ”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นมึนตึง ไม่ได้กล่าวอะไรราวกับว่าเป็นการยอมรับกลายๆนั่นเอง

ฉ่ายเวินยิ้มออกมาอย่างเศร้าสร้อย “เพคะ ในยามนี้ไม่ว่าหม่อมฉันจะทำเช่นไรฝ่าบาทก็ล้วนไม่เชื่อ ช่างมันเถิด”

ฉ่ายเวินหันกายจากไปด้วยหัวใจที่รวดร้าว

ชูเซี่ยยังคงรู้สึกตื่นตะลึงอยู่บ้าง ที่แท้แล้วหลังจากที่ผ่านเรื่องราวมามากมาย นางก็ยังเคยชินกับการเสแสร้งแสดงละครต่อหน้าหลี่เฉินเย่นอีกหรือนี่

หลังจากที่ชูเซี่ยนิ่งเงียบไปนานนางก็ค่อยๆเอ่ยปากขึ้น “จำได้ว่าเมื่อก่อนขอเพียงแค่นางทำสีหน้าเจ็บปวดท่านก็ไม่อาจทนอยู่เฉยได้ไม่ใช่หรือ”

ดวงตาของหลี่เฉินเย่นฉายแววเคียดแค้น “เมื่อก่อนเอ็นดูนางฝังรากลึกเพียงใดในยามนี้ก็รังเกียจนางจนฝังรากลึกเพียงนั้น”

ชูเซี่ยถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบา “การที่นางตายแล้วฟื้นกลับมาได้บางทีนี่อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้นเจ้าคะ ห้าปีก่อนตอนที่นางต้องสิ้นชีวิตนางยังไม่รู้ว่าตนเองทำผิดที่ตรงไหน ข้าหวังว่าครั้งนี้ที่นางได้รับโอกาสอีกครั้งนางจะสามารถเรียนรู้ความผิดของตนเองได้บ้าง”

“ไม่หรอก นางไม่มีวันรู้ว่าตนเองทำผิดตรงไหนแน่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่นางทำลงไป ทุกข์ความยากลำบากที่นางต้องทุกข์ทนนางล้วนแล้วแต่อ้างว่าเป็นเพราะข้า เพราะข้าคือเหตุผลในทุกๆการกระทำของนาง ยิ่งนางทำตนเช่นนี้ข้าก็ยิ่งรังเกียจนางเพราะนางทำให้ข้ารู้สึก รู้สึกว่าแท้จริงแล้วเป็นตัวข้าเองที่ทำให้อาจารย์ต้องตาย ทำให้ชิงเอ๋อต้องตาย”

ชูเซี่ยเห็นสีหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นและดวงตาที่ฉายชัดถึงความเจ็บปวดของเขาก็รู้สึกปวดใจ หญิงสาวเดินเข้าไปโอบกอดเขาไว้อย่างปลอบโยน “เรื่องมันก็ผ่านไปแล้ว หัวใจของคนไม่ใช่สิ่งที่เราสามารถควบคุมได้เสียหน่อย”

หลี่เฉินเย่นจับมือของชูเซี่ยรั้งนางเข้ามาข้างกาย ดวงตาคมจับจ้องใบหน้านางด้วยดวงตาร้อนแรง “เจ้าจงจำไว้ อยู่ให้ห่างจากนางมากหน่อยเพราะฝีมือการใช้พิษของนางร้ายกาจนัก นางจะวางยาพิษเมื่อใด ใช้วิธีการใดก็สุดที่เราจะคาดเดาได้”

“ตอนนี้นางก็คิดว่าข้าถูกพิษไปแล้วคงไม่เสียเวลามาวางยาพิษข้าอีกกระมัง” ชูเซี่ยกล่าว

“เจ้าควบคุมพิษได้แล้วหรือ” ตอนนั้นเองที่หลี่เฉินเย่นเพิ่งเอะใจขึ้นมา

ชูเซี่ยจึงค่อยๆเอ่ยปากอธิบาย “ตอนนี้ทำได้เพียงระงับพิษภายในร่างกายเท่านั้น ข้ากับจูเก๋อพยายามหาหนทางปรับปรุงยาแก้พิษอยู่เจ้าค่ะ”

“จะไม่มีปัญหาใช่หรือไม่” หลี่เฉินเย่นกล่าวอย่างไม่ค่อยสบายใจเท่าใดนัก เพราะพิษในร่างกายของนางตอนนี้ทำได้เพียงระงับไว้ชั่วคราวยังหาทางแก้พิษจริงๆไม่ได้

“เจ้าค่ะ ท่านเชื่อข้าเถิด” ชูเซี่ยเห็นท่าทางกังวลของเขาก็เอ่ยอย่างหนักแน่น

หลี่เฉินเย่นพยักหน้าก่อนจะรวบร่างของนางเข้ามากอดไว้แน่น วันเวลาที่พวกเขาใช้ร่วมกันในวังหลวงแห่งนี้นั้นแม้จะไม่ใช่ในฐานะสามีภรรยาแต่ทว่าความรักและความผูกพันธ์ระหว่างพวกเขาก็ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย

ช่วงเวลาอันอบอุ่นอ่อนหวานที่ใช้ร่วมกันเช่นนี้ สำหรับหลี่เฉินเย่นและชูเซี่ยแล้วนับเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่ามากที่สุดในชีวิตพวกเขาแล้ว

วันนี้หลี่เฉินเย่นอยู่รับประทานสำรับด้วยกันที่ตำหนักฉ่ายเหว่ย

ชูเซี่ยสั่งให้นางกำนัลจัดเตรียมวัตถุดิบสำหรับประกอบอาหารง่ายๆเอาไว้จากนั้นชูเซี่ยก็จะเป็นผู้ลงมือทำอาหารด้วยตนเอง สำรับประกอบไปด้วยเนื้อหนึ่งจาน ผักหนึ่งจานและน้ำแกงหนึ่งอย่างเท่านั้น

ตำหนักฉ่ายเหว่ยมีห้องครั้วขนาดเล็กอยู่ด้วย ชูเซี่ยไม่มีคนครัวประจำตำหนักเพราะอาหารทุกอย่างนางจะเป็นผู้ลงมือทำด้วยตนเอง

ไม่ใช่ว่านางไม่เชื่อใจเหล่านางกำนัลในวังแต่เป็นเพราะนางคิดว่าการที่นางลงมือทำเองจะสบายใจมากกว่าเท่านั้นเพราะว่าคู่แฝดของนางก็มักจะกลับมารับประทานอาหารกับนางก่อนจะไปอยู่ที่ตำหนักของไทเฮานั่นเอง

ข้างกายไทเฮาในยามนี้ก็มีหวั่นเหนียงและหมอหลวงดูแลอย่างใกล้ชิด นางจึงวางใจได้ไม่น้อย

มื้อนี้หลี่เฉินเย่นเจริญอาหารยิ่งนักเพราะกินข้าวได้ถึงสามชามด้วยกัน ทั้งยังตบท้ายด้วยน้ำแกงชามโตๆอีกด้วย เมื่อชายหนุ่มกินจนอิ่มหนำสำราญก็เอ่ยปากพูดอย่างมีความสุข “หากว่าทุกวันก็สามารถกินอาหารที่สมบูรณ์แบบนี้ได้ข้าคงมีความสุขยิ่งนัก”

ชูเซี่ยหัวเราะขบขัน “สำหรับฮ่องเต้เช่นท่าน สำรับพวกนี้เรียกได้ว่าเป็นอาหารดาษดื่นด้วยซ้ำ”

“ข้าล่ะเบื่อจริงยามที่เจ้าทำเหมือนข้าเป็นฮ่องเต้” หลี่เฉินเย่นตัดพ้อ

สำหรับเขาแล้วการได้กินอาหารที่มาจากฝีมือของภรรยาจึงจะเป็นความสุขที่แท้จริงต่างหากเล่า

แต่นางกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เสียนี่

ชูเซี่ยหัวเราะ “หากว่าท่านอยากกินก็เพียงแค่ให้เสี่ยวลู่จื่อมาบอกข้าสักคำ ข้าก็จะจัดเตรียมสำรับให้ท่านเองดีหรือไม่”

“เป็นอาหารที่สมบูรณ์เช่นนี้เหมือนกัน?” ดวงตาของเขาที่มองมาเต้มไปด้วยประกาย

“เหมือนกันเจ้าค่ะ!” ชูเซี่ยกล่าวยิ้มๆก่อนจะจะคีบอาหารเข้าปากต่อ “หากว่าอาหารพวกนี่นับว่าเป็นอาหารที่สมบูรณ์นะเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นหัวเราะออกมาเสียงดัง “ที่มันสมบูรณ์ก็เพราะมีเจ้าอยู่ต่างหากเล่า เพราะมีเจ้าอยู่มันจึงเป็นอาหารชั้นเลิศ”

ชูเซี่ยสั่งให้นางกำนัลยกสำรับออกไปเก็บจากนั้นก็จ้องมองไปที่เขา “ข้าเพิ่งค้นพบว่าเดี๋ยวนี้ท่านชอบพูดจาหวานเลี่ยนมากกว่าแต่ก่อนมากนัก เพราะเท่าที่ข้าจำได้เมื่อก่อนท่านเป็นคนที่ไม่ชอบพูดจาเช่นนี้เลยแม้แต่น้อย”

หลี่เฉินเย่นเดินจูงมือนางมานั่งตรงตั่งยาวก่อนที่ชายหนุ่มจะถอดรองเท้าและขึ้นไปนั่งบนตั่งด้วยท่วงท่าสบายๆ “ดังนั้นข้าจึงได้มานั่งเสียใจภายหลังอยู่เช่นนี้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมาแทบไม่เคยพูดจาอ่อนหวานกับเจ้าเลยด้วยซ้ำ สิ่งที่ข้าเคยมอบให้เจ้ามีแต่ความเจ็บปวดและความเจ็บปวดเท่านั้น”

ดวงตาของชูเซี่ยเต็มไปด้วยความอ่อนโยน “สงสัยตอนที่ข้ามีความสุขข้าคงไม่เคยบอกท่าน”

“เช่นนั้นครั้งหน้าเจ้าก็อย่าลืมบอกข้าเล่า!” ชายหนุ่มจ้องมองนางด้วยหัวใจที่สั่นไหว ตลอดหลายปีที่ผ่านมาไว้ว่าเมื่อใดรอยยิ้มของนางก็ทำให้หัวใจของเขาตกหลุมรักนางได้ในทุกๆครั้งที่พบเห็น

ชูเซี่ยแย้มยิ้มราวกับดอกท้อที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ “ได้ ครั้งหน้าข้าจะบอกท่านแน่นอน”

ตอนนี้นางรู้สึกมีความสุขเหลือเกิน วันเวลาที่มีเขาอยู่เคียงข้างคือวันแวลาที่นางมีความสุขมากที่สุด

นางไม่บอกเขาหรอก ไม่บอกเด็ดขาดเพราะไม่ว่าอย่างไรเขาก็สัมผัสความรู้สึกของนางได้อยู่ดี เรื่องบางเรื่องไม่จำเป็นต้องพูดก็สามารถรับรู้ได้ด้วยใจ อีกทั้งเวลานี้ก็ไม่ใช่เวลาที่จะมากล่าวเรื่องเช่นนี้อีกด้วย การเข้าวังครั้งนี้ของนางแบกรับหน้าที่และความรับผิดชอบมามากมาย เขาเองก็เป็นถึงฮ่องเต้และนางก็ไม่ใช่ฮองเฮา

ทั้งสองคนนั่งคลอเคลียกันอยู่เช่นนั้นโดยไม่ปราศจากคำพูดใดๆ ตัดขาดจากหน้าที่งานบ้านงานเมืองที่ต้องแบกรับ ตัดขาดจากทุกสิ่ง ราวกับว่าทั้งคู่ลืมเลือนการแก่งแย่งชิงดีในวังหลวงไปทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนไม่สำคัญเท่าตอนนี้ คนที่อยู่เคียงข้างยามนี้เท่านั้น

สำหรับพวกเขาทั้งสองตำหนักฉ่ายเหว่ยเป็นตำหนักที่สงบสุขที่สุดแห่งหนึ่งในวังหลวงแห่งนี้

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า