ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 285

ตอนที่ 285 เผยพิรุธ

เมื่อตกค่ำว่านเหลียงก็ออกจากวังไปหาเชียนซาน

“พี่เชียนซาน ข้าไปสืบข่าวมาได้ความมาว่าใต้เท้าหลวี่ยังไม่ตายเจ้าค่ะ แท้จริงแล้วก็อยู่ในหลางฟงต่งนี่เอง” ว่านเหลียงกล่าว

เชียนซานดีใจเหลือเกิน “เจ้าพูดจริงหรือ”

“แน่นอนว่าต้องจริงสิเจ้าคะ กลุ่มสายลับเห็นใต้เท้าหลวี่ด้วยตาของเขาเอง ทั้งยังได้ของแทนตัวของใต้เท้าหลวี่มาอีกด้วย แต่ทว่ากลุ่มสายลับพวกนี้แม้จะมีวิชาตัวเบาล่ำเลิศแต่ก็อ่อนวรยุทธจึงไม่อาจช่วยใต้เท้าหลวี่ออกมาได้เจ้าค่ะ”

เชียนซานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ข้าจะเข้าวังไปหานายหยิงบอกให้นางส่งคนในพรรคไปที่หลางฟงติ่ง”

ว่านเหลียงกลับรั้งร่างของนางไว้ “พี่เชียนซานเจ้าคะ นายหญิงไม่เชื่อท่านหรอกเจ้าค่ะ ก็นางเห็นศพที่ถูกเผาร่างนั้นแล้วนางย่อมคิดว่าใต้เท้าหลวี่เสียชีวิตไปแล้วนะเจ้าคะ”

“งั้นนางก็สามารถถามสายลับคนนั้นก้ได้นี่ ในเมื่อกลุ่มสายลับพวกนั้นเป็นคนเห็นกับตา จริงสิ ที่เจ้าบอกว่าพวกเขาได้ของแทนกายของหลวี่หนิงมาด้วย ของนั่นคืออะไรหรือ” เชียนซานถามอย่างร้อนใจ

ว่านเหลียงหยิบแผ่นหยกออกมาจากแขนเสื้อของตนส่งให้แก่เชียนซาน “นี่เป็นหยกที่ใต้เท้าหลวี่พกติดตัวตลอดเวลา เป็นใต้เท้าหลวี่ที่ส่งมอบมันให้แก่คนของเราด้วยตนเองเจ้าค่ะ”

เชียนซานรับแผ่นหยกมาไว้ในมือของตนเอง ชั่วขณะหนึ่งที่ใบหน้าของเชียนซานฉายแววเย็นชาก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดี นี่เป็นหยกของหลวี่หนิงจริงๆ

ว่านเหลียงค่อยๆเอ่ยอย่างประหม่าเล็กน้อย “วันนี้ตอนที่อยู่ในวังฝ่าบาททรงเสด็จมาหานายหญิงทั้งยังพูดถึงเรื่องระหว่างพี่กับนายหญิงอีกด้วย พระองค์ทรงเสนอให้นายหญิงยอมให้คนยืมกำลังคนแต่ถึงกระนั้นนายหญิงก็ยังปฏิเสธ ดูท่าพวกเราคงต้องลงมือช่วยเหลือคนกันเองแล้วล่ะเจ้าค่ะ”

ใบหน้าของเชียนซานเย็นยะเยือก “ฝ่าบาททรงเห็นด้วยแต่นางยังกล้าปฎิเสธงั้นหรือ”

ว่านเหลียงกล่าวต่อ “นายหญิงเองก็มีเหจุผลของนาง นางกล่าวว่าหลางฟงติ่งมีไอพิษปกคลุมอยู่ทั่วไปหมด อันตรายยิ่งนัก หากส่งคนของพรรคมังกรเหินเข้าไปก็ย่อมเป็นอันตรายต่อพวกเขา นางเป็นหัวหน้าพรรคนางย่อมต้องคิดถึงผลประโยชน์ของพรรคมาก่อน พี่เชียนซานก็อย่าได้ถือโทษนางเลยนะ”

เชียนซานโมโห “นางคิดถึงคนในพรรคแล้วนางเคยคิดถึงข้าบ้างหรือไม่ คนที่อยู่บนหลางฟงติ่เขาเป็นว่าที่สามีของข้านะ รู้ทั้งรู้ว่าเขาตกอยู่ในอันตรายจะให้ข้านิ่งดูเดยไม่ยอมไปช่วยหรืออย่างไร”

“พวกเราค่อยมาช่วยกันหาวิธีกันเถิดเจ้าค่ะ” ว่านเหลียงกล่าวแนะนำ

“ไม่” เชียนซานเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “ข้าจะเข้าวังไปหานาง จะลองคุยกับนางดูอีกสักครั้งหากนางยังไม่ยินยอมอีก ข้าก็จะเป็นผู้นำกำลังคนขึ้นเขาไปเอง!”

ใบหน้าของว่านเหลียงตื่นตะลึงไปทันที “แต่ว่าไม่มีป้ายมังกรเหิน พี่เชียนซานจะสั่งคนของพรรคมังกรเหินได้อย่างไรเล่า”

“ข้าย่อมมีวิธีของข้า” สีหน้าของเชียนซานเย็นยะเยือก

ว่านเหลียงลอบมองเสี้ยวหน้าของเชียนซานด้วยความตื่นเต้นก่อนที่จะกระตุกยิ้มที่มุมปากเบาๆ

เชียนซานเข้าวังไปหาชูเซี่ยอีกครั้ง

ตอนที่หญิงสาวเข้าไปยังตำหนักนางก็คุกเข่าลงกับพื้นพร้อมกับเงยหน้าขึ้นขอร้องอ้อนวอน “นายหญิง ข้าขอร้องท่านอีกสักครั้ง ได้โปรดยอมส่งคนไปที่หลางฟงติ่งเพื่อช่วยเหลือหลวี่หนิงด้วยเถิดเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยก้มหน้าลงมองนาง “เชียนซาน เหตุใดเจ้าจึงไม่ยอมเข้าใจว่าลูหนิงเขาตายไปแล้ว”

“ไม่” เชียนซานปฎิเสธเสียงแข็งกร้าว “ข้าส่งคนไปสืบมาแล้ว ลูหนิงยังไม่ตาย เขายังอยู่ที่หลางฟงติ่งเจ้าค่ะ”

“เจ้าไปได้ข่าวนี้มาจากไหนกันเล่า” ชูเซี่ยเอ่ยถาม

ว่านเหลียงเหลือบมองเชียนซานอย่างตื่นตระหนก เชียนวานเองก็หันมาสบสายตานางเช่นกัน “เรื่องนี้ข้าได้ข่าวมาจริงๆเจ้าค่ะว่าเขายังมีชีวิตอยู่ ท่านก็เห็นแก่ความผู้กพันธ์ของพวกเรา ได้โปรดยอมให้ข้ายืมคนของพรรคมังกรเหินไปที่หลางฟงติ่งด้วยเถิด ไม่เช่นนั้นเรื่องระหว่างเราก็ขาดกัน”

ชูเซี่ยได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้ว “เชียนซาน เจ้าพูดจาไร้เยื่อใยเช่นนี้ได้อย่างไร”

เชียนซานยิ้มเย็น “เป็นข้าที่ไร้เยื่อใยหรือตัวท่านกันแน่ที่ไร้เยื่อใย? ท่านก็รู้ว่าหลวี่หนิงสำคัญกับข้ามากพียงใด หรือว่าท่านเห็นว่าตนเองไม่อาจอยู่ร่วมกันกับฮ่องเต้ได้ ท่านจึงไม่อาจทนมองเห็นข้าสมหวังกับหลวี่หนิงได้เช่นกัน?”

ชูเซี่ยเริ่มบันดาลโทสะขึ้นมา “เจ้าพูดบ้าอะไรของเจ้า”

ว่านเฉียงเห็นเรื่องราวเริ่มบานปลายก็รีบร้อนเอ่ยห้ามทัพ “พี่เชียนซาน พูดจากันดีๆสิ อย่าได้วู่วาม”

ใบหน้าของเชียนวานเต็มไปด้วยความไม่พอใจพาลทำให้น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาเย็นจับขั้วหัวใจ “ข้าน่ะหรือที่วู่วาม ตลอดหลายปีที่อยู่ด้วยกันมาในที่สุดข้าก็ได้เห็นธาตุแท้ของนางจนได้”

ใบหน้าชูเซี่ยเต็มไปด้วยความผิดหวัง “เชียนซาน ทำไมจู่ๆเจ้าจึงได้กลายเป็นคนที่เห็นแก่ตัวได้ขนาดนี้นะ สภาพแวดล้อมของหลางฟงติ่งเป็นเช่นไรเจ้าก็รู้ดี ที่นั่นเต็มไปด้วยหมอกพิษที่ปกคลุมไปทั่ว อย่าว่าแต่หลวี่หนิงไม่มีโอกาสมีชิวิตอยู่บนนั้นได้เลย ต่อให้เขายังอยู่ข้าก็ไม่อาจส่งคนของพรรคไปเผชิญอันตรายได้หรอกนะ”

เมื่อเชียนซานได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายใบหน้าของนางก็แข็งกระด้างขึ้น “ดี ในยามนี้อะไรที่สมควรพูดข้าก็พูดไปแล้วเราไม่มีอะไรจะต้องพูดกันอีก ข้าจะออกจากพรรคมังกรเหิน ทันทีที่ข้าเอ่ยออกไปข้าก็จะไม่ใช่คนของพรรคมังกรเหินอีกต่อไปแล้ว ท่านกับข้าเราไม่มีอะไรข้องเกี่ยวกันอีกต่อไป!”

ชูเซี่ยเอ่ยอย่างโมโห “เจ้าจะทำตัวไร้ความรับผิดชอบงั้นหรือ ตอนนั้นเป็นเจ้าที่สาบานต่อหน้าหัวหน้าพรรครุ่นก่อนว่าจะอยู่เคียงข้างข้าคอยมห้การคุ้มครองข้าไม่ใช่หรือ แต่เมื่อมาถึงช่วงเวลายากลำบากเจ้ากลับละทิ้งหน้าที่ของตนเองไป เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อหัวหน้าพรรคคนก่อนบ้างเชียวหรือ”

สีหน้าของเชียนซานกล่าวอย่างไม่แสดงท่าทีอะไร “แม้จะปิดแต่ข้าก็ไม่อาจทนอยู่กับนายที่เย็นชาและจิตใจโหดเหี้ยมเช่นนี้ได้อีกต่อไปแล้ว”

กล่าวจบนางก็หันกายเดินจากไป

ว่านเหลียงร้อนใจ “พี่เชียนซานอย่าได้วู่วามเลย!”

ก่อนที่นางจะหันกลับมาหาชูเซี่ย “ท่านหัวหน้า ข้าน้อยขอตามออกไปนะเจ้าคะ” ยังไม่รอฟังคำจากชูเซี่ยนางก็ใช้วิชาตัวเบาไล่ตามเชียนซานออกไปเสียแล้ว

ชูเซี่ยหันกลับมาส่งสายตาเป็นสัญญาณให้แก่ว่านเฉียง นางพยักหน้ารับทราบก่อนจะตามออกไปอีกคน

ว่านเหลียงไล่ตามมาจนทัน นางเอื้อมมือมาดึงร่างของเชียนซานให้ไปยืนคุยบริเวณหลังกำแพง “เหตุใดพี่สาวต้องทะเลาะกับนายหญิงเช่นนี้ด้วยเล่า หากว่านายหญิงไม่เห็นด้วยเราก็แค่ค่อยๆหาวิธีอื่นก็เท่านั้น”

เชียนซานยังคงโมโหฮึดฮัด “ข้าไม่ได้อยากจะทะเลาะกับนางเสียหน่อยแต่เจ้าเองก็ได้ยินไม่ใช่หรือว่าต่อให้หลวี่หนิงยังมีชีวิตอยู่ที่หลางฟงติ่งนางก็จะไม่ส่งคนไปช่วยอยู่ดี แล้วจะให้ข้าทนอยู่กับนางอีกต่อไปได้อย่างไรสู้ตัดขาดไปเลยเสียดีกว่า”

“อย่างไรเสียนางก็เป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหินนางย่อมรู้จึกพิจารณาเอง พวกเราค่อยหาวิธีกันเองก็ได้นะเจ้าคะ” ว่านเหลียงกล่าวจากนั้นก็หันมาถามเชียนซาน “ท่านมีวิธีหรือไม่”

เชียนซานเอ่ยอย่างลำบากใจ “ข้าจะมีวิธีอะไรได้ ตอนนี้ด้วยกำลังของข้าก็คงเรียกกำลังคนเพียงน้อยนิดขึ้นสู่เขาหลางฟงติ่งได้เท่านั้น”

ว่านเหลียงถามอย่างสนใจ “ประมาณกี่คนหรือ”

เชียนซานทำสีหน้าครุ่นคิด “ก็ประมาณร้อยคนกระมัง”

ว่านเหลียงได้ยินก็ขมวดคิ้ว “ร้อยคน? ข้านึกว่าท่านจะสามารถเรียกกำลังคนได้สักพักคนเสียอีก หนึ่งร้อยคนจะไปทำอะไรได้เล่า”

เชียนซานก็เอ่ยต่อ “ข้าอาจจะไปขอยืมคนจากท่านพ่อดู บางทีคงน่าจะได้กำลังทหารอีกสักพันคนกระมัง”

ว่านเหลียงเผลอตัวโวยวายออกมา “ก็แค่กองกำลังทหารม้าจะไปมีประโยชน์อะไร?”

เชียนซานจ้องเขม็งมาที่นาง “แล้วทำไมจึงกล่าวว่ากองกำลังทหารม้าไม่มีประโยชน์?”

ว่านเหลียงรู้ตัวว่าตนเองเผลอพูดผิดไปจึงรีบแก้ตัว “ความหมายของข้าก็คือคนของพรรคมังกรเหินแต่ละคนมีวรยุทธสูงส่ง หนึ่งพันคนของพรรคมังกรเหินเทียบเท่ากับห้าพันกองทหารม้าด้วยซ้ำ คนของพรรคมังกรเหินเชี่ยวชาญเรื่องภูมิศาสตร์ทางภูเขามาก หากได้สักหนึ่งพันคนย่อมมีโอกาสสำเร็จได้มากกว่า”

เชียนซานขมวดคิ้ว “แต่ว่าหากไม่มีป้ามังกรเหินจะสามารถสั่งคนเป็นพันขึ้นเขาได้อย่างไร”

ว่านเหลียงจ้องมองนางด้วยแววตาล้ำลึก “พี่เชียนซนาก็รู้ไม่ใช่หรือว่าหัวหน้าพรรคเก็บป้ายมังกรเหินไว้ที่ใด”

เชียนซานนิ่งไป “เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าไปขโมยป้ายมังกรเหินงั้นหรือ”

ว่านเหลียงอธิบายยืดยาว “อย่าเรียกว่าขโมยให้เรียกว่ายืมจะดีกว่าเจ้าค่ะ เพียงแค่ยืมใช้กำลังคนเดี๋ยวก็นำกลับมาคืนแล้ว อีกอย่างพี่เชียนซานเองก็ถอนตัวออกจากพรรคแล้วไม่ใช่หรือ นายหญิงก็คงไม่อาจทำโทษโดยการขับไล่ท่านออกจากสำนักได้อยู่แล้วนี่”

เชียนซานรู้สึกลังเลสับสนไปหมด “นี่คงไม่ใช่วิธีดีเท่าใดนัก”

จู่ๆก็มีเงาของคนวูบผ่าน ว่านเหลียงที่ลอบเห็นทางหางตาก็เอ่ยตะคอกเสียงเข้ม “ใครกัน”

ว่านเฉียงปรากฎตัวขึ้นก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ “ข้าเอง!”

สีหน้าของว่านเหลียงเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ “เจ้าได้ยินหมดแล้วหรือ”

ว่านเฉียงพยักหน้าก่อนจะหันมาหาเชียนซาน “พี่เชียนซาน ข้าเองก็หวังว่าใต้เท้าหลวี่จะปลอดภัยกลับมาเช่นกัน เรื่องป้ายมังกรเหินข้าจะเป็นผู้ขโมยมันมาให้ท่านเอง เพื่อไม่ให้นายหญิงจับได้ท่านไม่ควรนำกำลังคนไปเยอะนัก เอาสักหนึ่งพันห้าร้อยคนเป็นอย่างไร?”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า