ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 289

ตอนที่ 289 วางแผนรับมือล่วงหน้า

หลิงกุ้ยไท่เฟยทำหน้าไม่เชื่อ “แลกเพียงแค่ชีวิตของหญิงสาวสิบกว่าคนเท่านั้นหรือ แต่ว่าต่อให้ข้าเอาชีวิตของหญิงสาวพวกนั้นมาแลกกับท่าน ฉ่ายเวินก็สามารถหาหญิงสาวคนอื่นๆมาแทนได้อยู่ดี เช่นนี้ไม่เท่ากับว่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนงั้นหรือ”

ชูเซี่ยกล่าว “ข้าพบคนหนึ่งช่วยคนหนึ่ง เจ้าวางใจเถิด เรื่องที่ข้าจะทำต่อไปนี้คงไม่ต้องลำบากพวกเจ้าอีก แต่ตอนนี้จงไปบอกแก่เหลียงกวางเสียงให้เขาเอาชีวิตหญิงสาวสิบห้าคนนั้นมาแลกกับข้า”

หลิงกุ้ยไท่เฟยมีท่าทีลังเล “แต่ว่าท่านควรจะรู้ไว้ว่ายาที่ฉ่ายเวินมอบให้หญิงสาวพวกนั้นกินมันอันตรายแค่ไหน ต่อให้พวกนางรอดชีวิตก้ไม่มีประโยชน์อีกแล้ว นั่นเป็นยาพิษไม่ใช่ยาบำรุงอย่างที่ท่านคิด ต่อให้ช่วยกลับมาก็ต้องตายอยู่ดี”

“ข้าจะหาวิธีรักษาพวกนางเอง” ชูเซี่ยกล่าวออกมาเช่นนี้ทั้งที่หัวใจของนางก็วูบไหวเช่นกัน ใช้พิษมาล้างพิษ ฉ่ายเวินนางจะบ้าไปแล้วหรือไร ต่อให้นางจะเชี่ยวชาญเรื่องพิษมากเพียงใด แต่ทว่าการใช้ยาพิษระยะยาวก็ส่งผลเสียต่อร่างกายอย่างมหันต์ทีเดียว เหตุใดนางจึงต้องใส่ใจรูปโฉมของตนเองถึงเพียงนี้ด้วยนะ

“เงื่อนไขของท่านข้าจะนำไปแจ้งแก่เขาเอง!” หลิงกุ้ยไท่เฟยกล่าวก่อนจะมองนางอย่างค้นคว้า “ท่านพูดจริงใช่หรือไม่ที่ว่าท่านสามารถรักษาเด็กคนนี้ได้จริงๆ”

“แน่นอน ข้าสามารถรักษาเด็กคนนี้ได้ เจ้าไม่จำเป็นต้องฟังคำของข้าก็ได้ แต่ชีวิตของเด็กคนนี้ล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้ากับเหลียงกวางเสียง”

“หากรักษาได้จริงๆต่อให้ข้าต้องทำเรื่องผิดศีลธรรมข้าก็ยอม” หลิงกุ้ยไท่เฟยหลุบตามองเด็กน้อยในอ้อมกอดของชูเซี่ยด้วยแววตารักและสงสาร เด็กคนนี้เป็นแก้วตาดวงใจของนาง ในฐานะมารดา ต่อให้นางต้องเจ็บต้องทุกข์แค่ไหนนางก็หวังจะให้เขาหายดีกลับมาเป็นเด็กปกติคนหนึ่ง

ชูเซี่ยใช้มือของนางลูบไล้ใบหน้ากลมของเด็กน้อย เด็กน้อยก็หัวเราะออกมา ช่างเป็นเด็กที่ไร้เดียงสาน่ารักจริงๆ

หลิงกุ้ยไท่เฟยก้มลงบอกเด็กน้อยอย่างหลงไหล เด็กน้อยคนนี้ส่วนใหญ่จะเอาแต่ร้องไห้เพราะร่างกายมักจะป่วยอยู่บ่อยๆ

แต่ยามนี้เมื่อเขาอยู่อ้อมกอดของชูเซี่ยกลับยิ้มแย้มออกมาอย่างร่าเริง รอยยิ้มที่ฉายอยู่เต็มไปหน้าของเขาทำให้เขาดูคล้ายกับเป็นเด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่งที่ไม่ได้มีโรคร้ายรุมเร้าอย่างเช่นที่ผ่านมา หลิงกุ้ยไท่เฟยรู้สึกว่าใบหน้ายามที่ยิ้มแย้มของก้อนแป้งก้อนนี้เป็นสิ่งที่งดงามที่สุดในโลก หากสามารถรักษารอยยิ้มนี้เอาไว้ได้แล้วล่ะก็ ให้นางแลกด้วยอะไรนางก็ยอม

หัวใจของนางค่อยๆอ่อนตัวลงช้าๆ ก่อนหน้านี้นางยอมรับว่าไม่ถูกชะตากับชูเซี่ยแต่ทว่ามาตอนนี้นางยอมอ่อนข้อให้อีกฝ่ายอย่างไม่มีเงื่อนไขอีกต่อไปแล้ว

ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองสบสายตาของหลิงกุ้ยไท่เฟยที่มองมาก่อนจะส่งเด็กน้อยคืนให้แก่นาง “เขาต้องไม่เป็นอะไรแน่ข้ารับรอง”

หลิงกุ้ยไท่เฟยรับเด็กเข้ามาสู่อ้อมกอดจากนั้นก็ย่อกายช้าๆ “เจ้าค่ะ!”

น้ำเสียงของนางสั่นพร่าน้อยๆด้วยความตื้นตัน

ชูเซี่ยมองตามอีกฝ่ายจนลับสายตาไปก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบา หลิงกุ้ยไท่เฟยที่แสนจะเย่อหยิ่งคนนั้นบัดนี้เพื่อเด็กคนนี้แล้วนางยอมลดศักดิ์ศรีของตนเองลงมากจริงๆ

จู่ๆก็นึกถึงคู่แฝดของนางขึ้นมา หัวใจของนางรู้สึกอ่อนยวบ เวลาที่นางใช้ร่วมกันกับคู่แฝดสองคนนั้นน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย

ตอนนี้พาที่อยุ่ในร่างกายของนางก็ไม่รู้ว่าจะสามารถรักษาหายหรือไม่ นางเริ่มรู้สึกว่าที่ผ่านมานางเสียเวลาไปอย่างเปล่าประโยชน์เหลือเกิน

นางได้แต่ภาวนาต่อสวรรค์ว่าให้ชีวิตนางยืนยาวอีกสักหน่อยก็ยังดี

ผู้คนมักจะเริ่มคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เคยเผชิญมาในชีวิตนี้เมื่อพวกเขาเริ่มแก่เฒ่าหรือใกล้ตาย สำหรับชูเซี่ยแล้วนางก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน

ในเช้าวันถัดมาว่านเหลียงก็เข้ามาหาชูเซี่ยที่ตำหนักเพื่อรายงานข้อมูลที่ได้ “นายหญิง ที่แถบชนบทนอกเมืองหลวงเกิดโรคระบาดขึ้นเจ้าค่ะ มีผู้ล้มป่วยหลายสิบคนมีอาการท้องร่วง อาเจียนและไข้สูงเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยถามอย่างตื่นตระหนก “มีโรคระบาดเกิดขึ้นงั้นหรือ เร็วถึงเพียงนี้เชียว?”

“เจ้าค่ะ ข้าน้อยได้ยินมาจากหมอชนบทผู้หนึ่ง”

ชูเซี่ยใช้เวลาตัดสินใจไม่นาน “พวกเราไปดูกันเถิด”

หญิงสาวหันกลับมามองว่านเหลียงและว่านเฉียงซ้ายทีขวาที “พวกเจ้าคนไหนจะไปกับข้า?”

ว่านเหลียงจึงเอ่ยอาสา “ข้าน้อย ข้าน้อยค่อนข้างจะรู้เรื่องชนบทดีเจ้าค่ะ”

“ได้ งั้นเจ้าไปเอากระเป๋ายาของข้ามา พวกเราจะได้ไปกันเลย” ชูเซี่ยกล่าว

ว่านเหลียงขานรับก่อนจะลอบส่งสัญญาณให้แก่ว่านเฉียง เมื่อว่านเฉียงเห็นสายตาที่อีกฝ่ายส่งมาก็ตื่นตัวเล็กน้อยจากนั้นก็ส่งสายตารับรู้กลับไป

ว่านเหลียงลอบยิ้มออกมาจากนั้นนางก็เดินไปจัดเตรียมกระเป๋ายา โรคระบาดพวกนั้นเป็นนางที่กุเรื่องเรื่องขึ้นมาเอง ที่ชนบทนอกเมืองไม่มีโรคระบาดอะไรเกิดขึ้นทั้งสิ้น นางเพียงแค่ต้องการกันชูเซี่ยออกจากแผนการและสั่งสอนนางเสียหน่อยก็เท่านั้น

ชูเซี่ยฉวยโอกาสที่ว่านเหลียงออกไปเก็บของแอบกระซิบถามว่านเฉียง “คู่แฝดของข้าอยู่ที่ใด”

“วิ่งเล่นอยู่ที่ลานพระตำหนักเจ้าค่ะ”

“อื้ม!” ชูเซี่ยหมุนกายเดินออกไป “ข้ามีเรื่องจะฝากฝังพวกเขาเสียหน่อย”

ตอนนี้คู่แฝดกำลังเล่นลูกตะกร้ออยู่ที่ลานหน้าพระตำหนัก วันนี้พวกเขาสองคนแต่งกายแปลกตาด้วยชุดสีเขียวใบไม้รวมไปถึงแขนเสื้อที่ถูกพับไว้อย่างเรียบร้อย ดูสะอาดสะอ้านและน่าเอ็นดูยิ่ง

วันนี้จิงโม่เองก็ไม่ได้เกล้าผมเป็นมวยสองข้างอย่างเดิมแต่กลับรวบเป็นทรงทะมัดทะแมง

รองเท้าของทั้งสองก็เป็นรองเท้าหนังทรงสูงถึงเข่า การแต่งกายของเด็กน้อยทั้งสองดูธรรมดาและกลมกลืนกับอุทยานหลวงจนแทบแยกไม่ออก

เมื่อเห็นชูเซี่ยเดินมาฉแงเหลาก็เตะลูกตะกร้อไปอีกทางและรีบร้อนวิ่งมาหาชูเซี่ยอย่างดีอกดีใจ “ท่านแม่!”

ชูเซี่ยก็เรียกจิงโม่มาหานางเช่นกัน “จำไว้ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากช่วยคนได้ก็รีบถอยออกมา เรื่องอื่นพวกเจ้าไม่จำเป็นต้องถามและอย่าได้สอดมือเข้ามาข้องเกี่ยวเป็นอันขาด”

“ลูกทราบแล้ว!” จิงโม่และฉองเหลาพยักหน้ารับอย่างพร้อมเพรียง

ชูเซี่ยมองลูกๆของตนเองอย่างเป็นห่วง “มั่นใจหรือไม่ หากว่าไม่มั่นใจว่าจะช่วยได้ก็อย่าฝืนแล้วรีบถอยออกมาเข้าใจหรือไม่”

“ก้แค่ช่วยคนจะไม่มีความมั่นใจได้อย่างไร” จิงโม่โยกมือของชูเซี่ยไปมา “ใช่ว่าท่านแม่จะไม่เคยเห็นฝีมือของพวกข้าสักหน่อย”

ชูเซี่ยพูดไม่ออก ก็เพราะเคยเห็นน่ะสินางจึงได้ห้าม ภารกิจนี้ค่อนข้างอันตรายและดูจะหนักเกินไปสำหรับเด็กๆของนาง

“ก็ได้ เช่นนั้นพวกเจ้าก้เตรียมตัวให้ดีๆ จำแผนที่ที่ลุงฉางอันวาดมาให้ดีๆเล่า ห้ามออกนอกเส้นทาง ห้ามทำตามอำเภอใจ” ชูเซี่ยกำชับด้วยความเป็นห่วง

คู่แฝดหันมาสบสายตากันก่อนจะพูดอย่างพร้อมเพรียง “ท่านแม่ ท่านขี้บ่นเหลือเกิน”

ชูเซี่ยค้อนควับใส่เด็กสองคนตรงหน้านาง “ตั้งใจหน่อย!”

ฉองเหลาไม่สนใจอุ้มลูกตะกร้อวิ่งออกไปแล้ว ชูเซี่ยดึงมือจิงโม่เอาไว้ “เจ้ามีความคิดความอ่านมากกว่าน้องชาย ดูแลเขาด้วยนะ”

จิงโม่พยักหน้า “ท่านแม่วางใจเถิด หลายปีมานี้พวกเราสงบเงี่ยมดีเยี่ยม แม้จะถูกหาเรื่องก็ไม่เคยโต้ตอบ นี่ยังไม่เป็นการพิสูจน์อีกหรือเจ้าคะ”

แม้ว่าจิงโม่และฉองเหลามีพลังพิเศษที่ติดตัวมาตั้งแต่พวกเขาเกิดแต่พวกเขาเองก็อยากใช้ชีวิตเหมือนเด็กคนอื่นๆบ้างเช่นกัน อยากเป็นแค่เด็กธรรมดาเท่านั้น ดังนั้นหากว่าไม่ใช่เป็นคำขอของชูเซี่ยพวกเขาก้จะไม่เปิดเผยพลังแท้จริงเป็นอันขาด

ตอนนั้นเองที่ว่านเหลียงเดินถือกระเป่ายาออกมา “นายหญิงพวกเราไปกันเถิดเจ้าค่ะ”

ชูเซี่ยรับคำก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับว่านเหลียง

รถม้าค่อยๆวิ่งออกไปจากเขตวังหลวง เป้าหมายคือหมู่บ้านชนตอนที่ตั้งอยู่นอกเมืองหลวง

“หมู่บ้านที่พวกเรากำลังจะไปตั้งอยู่กลางหุบเขาเจ้าค่ะ หมอชนบทผู้นั้นกล่าวว่าเส้นทางคับแคบนักรถม้าไม่อาจวิ่งขึ้นไปถึง ดังนั้นถึงตอนนั้นเราจำเป็นต้องเดินขึ้นเขากันเองเจ้าค่ะ” ว่านเหลียงกล่าว

“ไม่เป็นไร หากว่าต้องเดินเท้าก็เดินเถิด” ชูเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงสบายๆ

ว่านเหลียงยิ้มพลางจ้องมองใบหน้าของชูเซี่ย “จิตใจที่หวังแต่ช่วยเหลือคนของนายหญิงช่างรุนแรงเหลือเกิน”

ชูเซี่ยเลิกผ้าม่านบนรถม้าขึ้นทำทีเป็นสนใจสภาพแวดล้อมด้านนอก “ไม่ควรหรือ”

ว่านเหลียงกำหมัดของตนแน่นก่อนจะค่อยๆคลายมือออกช้าๆ “แต่ว่าท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าความใจดีของท่านจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวของท่านเอง”

“มันเป็นหน้าที่ของข้า ข้าเป็นหมอ การช่วยรักษาคนเป็นหน้าที่ของข้า” ชูเซี่ยแสร้งทำเป็นเป็นเห็นท่าทางอวดดีของอีกฝ่าย

“แต่ว่าท่านเองก็เป็นหัวหน้าพรรคมังกรเหินด้วยไม่ใช่หรือ เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าท่านมีหน้าที่มากมายเหลือเกิน” ว่านเหลียงขยับยิ้ม รอยยิ้มของนางดูคล้ายรอยยิ้มแห่งชัยชนะก็ไม่ปาน

“เจ้าอยากพูดอะไรกันแน่” ชูเซี่ยหันกลับมามองนาง “ว่านเหลียง หากมีอะไรจะพูดก็จงพูดออกมาตรงๆ”

ว่านเหลียงหัวเราะคิกคัก “ไม่ได้อยากจะพูดอะไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่อยากเตือนสตินายหญิงก็เท่านั้น ว่าบางครั้งความใจดีก็สามารถย้อนกลับมาทำร้ายตนเองได้เช่นกัน”

“ขอบใจเจ้าที่เตือนสติข้า” ชูเซี่ยกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า