ตอนที่ 293 พอแค่นี้
เนื่องด้วยการเดินทางมาค่ายทหารครั้งนี้ไม่ได้ประกาศให้เฉินหยวนชิ่งได้รับรู้ก่อน ดังนั้น ยามที่ราชรถมาถึงประตูใหญ่ของค่ายทหารถึงได้มีนายทหารเข้าไปแจ้ง
เฉินหยวนชิ่งได้ยินว่าฝ่าบาทเสด็จมาก็รีบพาเหล่าทหารออกมาต้อนรับทันที
“ถวายพระพรฝ่าบาท!” เฉินหยวนชิ่งคุกเข่าข้างเดียวทำความเคารพ
บรรดานายทหารก็เปล่งเสียงทำความเคารพฮ่องเต้ด้วยวิธีของทหาร
ในอดีต หลี่เฉินเย่นเคยออกคำสั่งว่ายามที่เฉินหยวนชิ่งเห็นเขาไม่ต้องคุกเข่า ฉะนั้น ในวังเมื่อก่อนนี้ เฉินหยวนชิ่งจึงไม่ได้ทำความเคารพด้วยการคุกเข่า
โดยเฉพาะอย่างวันนี้ หลี่เฉินเย่นไม่ได้สวมชุดมังกร แต่เป็นชุดเกราะ เขายิ่งไม่ควรถวามความเคารพแบบในวัง แต่ควรถวามความเคารพแบบนายทหารระดับสูงถึงจะถูก
การคุกเข่าในวันนี้ช่างเต็มไปด้วยกุศโลบายจริง ๆ
เขาใช้การกระทำเพื่อบอกให้เหล่าขุนพลและนายทหารได้รับรู้ ว่าคนผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่แม่ทัพอินทรีเมื่อก่อนแล้ว แต่เป็นฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน มีความแตกต่างทางฐานะกันอย่างชัดเจน
การคุกเข่านี้เป็นการคุกเข่าด้วยระยะที่ห่างไกลออกไป
แม้ว่าวันนี้หลี่เฉินเย่นจะยกให้ทหารผู้เคียงบ่าเคียงไหล่ผู้นี้ให้เป็นพี่น้องของเขา มันก็ทำให้คนอื่นรู้สึกว่าเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นอยู่ดี
หลี่เฉินเย่นพูดเบา ๆ “ลุกขึ้นเถอะ”
เฉินหยวนชิ่งกล่าวขอบพระทัยแล้วลุกขึ้นยืน
เขาหันกลับไปแล้วยิ้มพลางกล่าวกับนายทหารทั้งหลายว่า “วันนี้ฝ่าบาทเสด็จมาตรวจพล ทุกคนจงตั้งสติ แสดงความสามารถให้ฝ่าบาทดู”
กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ การที่ฝ่าบาทเสด็จมาครั้งนี้มิได้มาเพื่อถามไถ่สารทุกข์สุกดิบ แต่มาเพื่อตรวจกองดูความสามารถ
หน้าของขุนพลในเวลานี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย แน่นอนว่าครั้งนี้ฝ่าบาทเสด็จมากะทันหันโดยที่พวกเขาไม่ได้เตรียมตัวแม้แต่นิด แม้จะผ่านการตรวจกองมาปล้ว แต่ก็ไม่ใช่ในสภาพที่ดีที่สุด
หลี่หยุนกางที่อยู่ข้าง ๆ มองแล้วก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าเฉินหยวนชิ่งทำเช่นนี้ช่างชั่วร้ายจริง ๆ
ขณะที่เขากำลังจะแย้ง แต่หลี่เฉินเย่นกลับพูดขึ้นมาเสียก่อน “เปล่าหรอก วันนี้ที่เจิ้นมาก็แค่อยากจะรำลึกถึงตอนที่เป็นทหาร”
เขาเดินไปที่กระโจมใหญ่แล้วนั่งลงตรงตำแหน่งที่เป็นผู้นำ จากนั้นก็กางดูแผนที่ภูมิประเทศแล้วกวาดนิ้วไปบนแผนที่พลางกล่าวด้วยน้ำเสียงหดหู่อย่างไร้ที่สิ้นสุด “ตอนแรกเจิ้นคิดว่าจะพากองพลทหารมายกทัพไปเจรจาทางตอนเหนือ ชีวิตตอนรบอยู่บนหลังม้าแม้จะอันตรายอย่างยิ่ง แต่ก็รู้สึกว่ามันฮึกเหิม”
คำพูดนี้ที่พูดออกมาช่วยดึงระยะห่างระหว่างหลี่เฉินเย่นกับเหล่าขุนพลให้ใกล้กันยิ่งขึ้น ทุกคนเหมือนจะมองเห็นชายหนุ่มผู้สง่างามกำลังนั่งอยู่บนหลังม้าด้วยท่าทีฮึกเหิมและห้าวหาญ แม่ทัพอินทรีผู้นั้น
เฉินหยวนชิ่งหัวเราะ “ตอนนี้ฝ่าบาทมีพระชนมายุยืนยาว บุญญาบารมีสูงส่ง จัดการเรื่องราวเป็นหมื่น ๆ เรื่องได้ภายในวันเดียว เรื่องปกป้องประเทศชาติบ้านเมืองมอบให้เป็นหน้าที่ของพวกกระหม่อมเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่เฉินเย่นโบกมือ “วันนี้เราไม่ได้มาคุยเรื่องพระราชา แต่มาคุยเรื่องชีวิตในค่ายทหารและเรื่องเก่า ๆ กับทุกคน”
เฉินหยวนชิ่งพูด “เหตุใดวันนี้ฝ่าบาทถึงได้ทรงหดหู่มากขนาดนี้เล่า ห้าปีมานี้ ฝ่าบาทมิได้เป็นเช่นนี้นี่ หรือพระทัยของฝ่าบาทไม่มีความสุขหรือพ่ะย่ะค่ะ”
หลี่หยุนกางโมโหจนแทบจะระเบิด ดูเหมือนเฉินหยวนชิ่งจะมีใจจะยุแยงฮ่องเต้กับเหล่าบรรดาขุนพล ตอนนี้เขาเป็นเสนาบดีกรมการทหาร เคยเป็นแม่ทัพใหญ่นำเหล่าขุนพลพวกนี้มาก่อน มีอำนาจคุมกองทหารอยู่ในมือ หากโน้มน้าวเหล่านายทหารได้อีก ก็จะเป็นอันตรายต่ออำนาจของฮ่องเต้ ดูท่าแล้ว วันนี้ฮ่องเต้ต้องต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็นอย่างดุเดือดเลยทีเดียว
หลี่เฉินเย่นเงยหน้าชำเลืองมองเฉินหยวนชิ่ง ดวงตากวาดมองหน้าของขุนพลทุกนาย “ไม่ผิดไปจากที่ท่านคาดเดาหรอก ใจของเจิ้นไม่มีความสุขจริง ๆ นั่นแหละ”
เฉินหยวนชิ่งกล่าวขึ้นว่า “ไม่ทราบว่าให้พวกกระหม่อมช่วยแบ่งเบามาจากฝ่าบาทได้หรือไม่”
ปลายนิ้วของหลี่เฉินเย่นกวาดไปบนแผนที่ แผนที่ภูมิประเทศแผ่นนี้คือแผนที่ภูมิประเทศของเมืองหลวง รวมถึงทั้ง หลางฟงติ่งถูกเอาไว้แล้ว ดูท่าแล้วเฉินหยวนชิ่งคงรู้เรื่องการเคลื่อนไหวของพรรคมังกรเหินในวันนี้แล้ว
หลี่เฉินเย่นยืนขึ้นแล้วเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าขุนพลซุน “ขุนพลซุน เจิ้นมีเรื่อง ๆ นึงที่อยากจะถามเจ้า เจ้าขยับมาใกล้ ๆ ได้หรือไม่”
ขุนพลซุนอึ้งไปนิด ๆ “พ่ะย่ะค่ะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...