ตอนที่ 295 เหมือนในฝัน
ทันใดนั้นหน้าของหลวี่หนิงก็ชาขึ้นมาทันที “ทำลายให้สิ้นซาก! ท่านอ๋องจะบอกว่าบรรพบุรุษตระกูลหลี่แย่งชิงบัลลังก์นี้มาอย่างนั้นหรือ ไม่ทราบว่าท่านอ๋องยังจำได้หรือไม่ ว่าตัวท่านก็แซ่หลี่เช่นกัน”
หลี่อวี๋นหลี่โบกมือ “อย่าได้เข้าใจผิดไป ใต้เท้าลู่อย่าได้เข้าใจผิดอย่างเด็ดขาด ข้าแซ่หลี่ แต่กลับไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเชื้อพระวงศ์ของฮ่องเต้ ตำแหน่งอ๋องนี้ก็เป็นเพียงตำแหน่งที่ว่างเปล่าเท่านั้น ตระกูลหลี่ก่อเรื่องให้ฟ้าพิโรธผู้คนเคืองโกรธ สวรรค์ต้องลงโทษพวกเขา ข้าเพียงแค่รับบัญชาจากสวรรค์มาจัดการให้เป็นระเบียบเรียบร้อยก่อน”
“จัดการให้เป็นระเบียบ?” หลวี่หนิงหัวเราะ “ไม่ทราบว่าท่านอ๋องต้องการทำเช่นไร อะไรคือความถูกต้องอย่างนั้นหรือ”
หลี่อวี๋นหลี่ไม่สนใจน้ำเสียงถากถางของเขาแม้แต่นิด ราวกับว่าสิ่งที่หลวี่หนิงพูดมานั่นคือการเข้าใจผิด นำพามาซึ่งความอัปยศอดสู
“ข้าจะไม่ชี้แจงกับท่านมากไปกว่านี้ สุดท้ายท่านก็จะเข้าใจเอง วางใจเถอะ ข้าไม่ฆ่าท่านหรอก ข้าอยากจะฝากคำพูดไปให้หลี่เฉินเย่น ท่านจงบอกเขาว่า แผ่นดินนี้เป็นขององค์จักรพรรดิเจิ้งถง มิใช่ของตระกูลหลี่ ตระกูลหลี่แย่งชิงราชบัลลังก์นี้มาจากใครให้เขาคิดดูให้ดี ๆ เมื่อแย่งของ ๆ ผู้อื่นไปก็มักจะต้องคืนให้เขาอยูเสมอ”
หลวี่หนิงได้ยินประโยคนี้ก็มองเขาอย่างงุนงง “หมายความว่าอย่างไร”
“ท่านคิดดูให้ดี ๆ สิ” หลี่อวี๋นหลี่ยืนขึ้น ใบหน้าราวกับสุภาพบุรุษผู้มีคุณธรรม “วันนี้มีคนมาช่วยท่าน แต่หากเข้ามาแล้ว ไม่มีทางได้กลับออกไป ข้าจะทิ้งคนไว้สองสามคนให้พาท่านกลับไปและให้โอกาสท่านได้ถ่ายทอดคำพูด”
พูดจบ เขาก็ทิ้งท้ายด้วยการเหยียดยิ้มอย่างมีความนับแฝงแล้วหันกายจากไป
ประตูเหล็กปิดตัวลงอย่างช้า ๆ หลวี่หนิงตะโกนใส่เขา “ท่านพูดให้มันเข้าใจหน่อย”
เสียงฝีเท้าค่อย ๆ ไกลออกไป หลี่อวี๋นหลี่ไม่ได้ตอบอะไรอีก
หลวี่หนิงทรุดนั่งลงบนเตียง ใจเกิดความหวาดผวา ตระกูลหลี่แย่งชิงราชบัลลังก์มาจากใครกัน สิ่งนี้นับว่าแย่งชิงด้วยหรือ เรื่องฮ่องเต้ราชวงศ์ปกครองไม่เป็นธรรม ชาวบ้านไม่อาจอยู่เย็นเป็นสุข บรรพบุรุษเกิดการลุกฮือ นี่เป็นวิธีที่ถูกต้อง เป็นทางแห่งสรวงสวรรค์
ดู ๆ ไปแล้ว วันนี้จะมีการสู้รบอย่างดุเดือด พอนึกถึงภาพเชียนซานถูกคนของหลี่อวี๋นหลี่สังหาร เขาก็รู้สึกหนาวไปทั้งตัว
“อย่าเบียด อย่าเบียดสิ ฉองเหลาเจ้าอยากตายหรือ ปล่อยมือเร็ว!”
ทันใดนั้นก็มีเสียงเยาว์วัยเจือเคล้าไปด้วยความโกรธดังขึ้นจากหน้าผาด้านนอกหน้าต่าง
หลวี่หนิงชะงักไปชั่วครู่ คิดไปเองหรือ ด้านนอกเป็นหน้าผาสูงชันจะมีเสียงได้อย่างไร
“อย่าสิ พี่สาว ข้าจะตกแล้วนะ” เสียงสะอื้นของฉองเหลาดังขึ้นอีกครั้ง
หลวี่หนิงกระโจนไปตรงหน้าต่างทันที พอมองลงไปก็ตกใจจนหน้าซีด เขาเห็นสองมือของจิงโม่จับเหล็กที่อยู่ข้างใต้หน้าต่างไว้ ส่วนฉองเหลากอดสองขาของนางไว้ ร่างของทั้งสองลอยแขวนอยู่กลางอากาศ สถานการณ์อันตรายอย่างยิ่ง
“สวรรค์!” หลวี่หนิงกดเสียงลงต่ำ ทั้งแขนและขาตกใจจนร่างอ่อนยวบ
“ชู่!” เพียงได้ยินเสียงของจิงโม่ ใบหน้าแดงก่ำ จากนั้นก็ออกแรงกระโดดขึ้นมาข้างบนแล้วดึงลากฉองเหลาเข้ามา
หลวี่หนิงทรุดนั่งลงบนเตียง มองดูเหล็กที่ไม่ถูกทำลายแม้แต่นิด “เป็นไปไม่ได้ นี่มันเป็นไปไม่ได้...”
แกนเหล็กไม่หัก ร่องตรงหน้าต่างมีขนาดกว้างเพียงสองนิ้มมือเท่านั้น พวกเขาสองคนผ่านเข้ามาทางหน้าต่างได้ เป็นไปได้ยังไงกัน
“ท่านอาลู่!” ฉองเหลาเห็นว่าหลวี่หนิงตกใจจนสีหน้าขึ้นคล้ำก็ยื่นมือโบกไปมาตรงหน้าเขาอยู่ครู่หนึ่ง “ตกใจจนมึนไปแล้วหรือ”
หลวี่หนิงดึงสติกลับคืนมาแล้วเอามือปิดปากฉองเหลาไว้ “ชู่! ด้านนอกมีคนอยู่”
ด้านนอกได้ยินเสียงข้างในแล้ว มีศีรษะหนึ่งปรากฏอยู่ตรงรูเล็ก ๆ ตรงประตูเหล็ก พอเห็นฉองเหลากับจิงโม่ คน ๆ นั้นก็เปินประตูทันที จากนั้นก็มองฉองเหลากับจิงโม่ด้วยความตกตะลึง “พวกเจ้าเข้ามาได้ยังไง”
ผู้คุมที่อยู่ด้านนอกคนอีกคนเดินเข้ามา พวกเขารู้สึกแปลกใจอย่างยิ่ง
จิงโม่ยิ้มแบบแปลก ๆ จากนั้นก็ประกบมือ ทันใดนั้นประตูเหล็กก็ปิดตัวลงเองในทันที
ทั้งสองต่างก็อึ้งไปชั่วครู่ ยังไม่ทันที่สติจะกลับคืนมาก็รู้สึกเจ็บตรงศีรษะด้านหลัง ภาพตรงหน้ามืดมิดไปหมด จากนั้นก็หมดสติล้มลงกับพื้น
ฉองเหลาโผล่ออกมาจากด้านหลังพลางพูดอย่างภาคภูมิใจอย่างยิ่ง “เจ้าฝีสองตัวนี่”
จิงโม่พูดขึ้นว่า “ไปเถอะ!”
หลวี่หนิงแทบไม่อยากจะเชื่อกับสิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้า “พวกเจ้าทำได้ยังไง?”
ต่อจากนั้น ก็ยิ่งทำให้เขาหันกลับไปมองอย่างเหลือเชื่อ จิงโม่ยื่นมือไปแงะแผ่นเหล็กออก ต่อมาก็ออกแรงดึง หน้าต่างเหล็กหล่นลงไปข้างล่าง บานหน้าต่างจึงไร้สิ่งกีดขวางกำบังอีกต่อไป
“ไป!” ฉองเหลาจูงมือหลวี่หนิงพลางพูด
หลวี่หนิงเดินไปตรงหน้าต่าง สายลมบนหุบเขาลอยมาปะทะหน้า เขาชะโงกหัวมอง ด้านล่างหน้าผาสูงชะโงกมองไม่เห็นก้น อีกทั้งยังเป็นหน้าผาที่ไม่มีทางให้เดินได้
“จะไปยังไง พวกเจ้ามาได้ยังไง เชียนซานเป็นคนพาพวกเจ้ามาใช่หรือไม่” หลวี่หนิงถาม
“ท่านแม่ให้พวกข้ามาช่วยท่าน” จิงโม่ตอบแบบเสียงเล็กเสียงน้อยของเด็ก นางเขยิบตัวไปขยิบตาให้ฉองเหลาแล้วจับมือซ้ายของหลวี่หนิง ส่วนฉองเหลาก็จับมือขวาของหลวี่หนิงไว้
หลวี่หนิงรู้สึกว่าร่างกายเบาขึ้น ต่อมาก็ลอยล่องออกมาจากทางหน้าต่าง
หลังจากนั้นพอหลวี่หนิงนึกย้อนถึงวันนี้ก็รู้สึกว่ามันเหลวไหลทั้งเพ
หน้าต่างนั้นเล็กมาก มันไม่ง่ายเลยที่เขาจะเอาตัวลอดผ่านได้ ยิ่งไปกว่านั้นทั้งซ้ายและขวายังมีจิงโม่กับฉองเหลา เขาพยายามเค้นสมองคิดแต่คิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ พวกเขาลอดผ่านหน้าต่างมาได้อย่างไร
และหลังจากนั้นร่างของเขาก็ทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า แต่การขี่ลมเดินทางบนอากาศนั้นไม่ทำให้รู้สึกถึงความหน่วงแม้แต่นิด เหมือนกับว่าใต้เท้ามีอะไรบางอย่างค้ำเอาไว้อยู่ จากนั้นก็รู้สึหเหมือนมีแรงดันจากข้างหลัง
การต่อสู้อย่างดุเดือดเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว
ขณะที่หลวี่หนิงกำลังขี่ลมเดินทางอยู่บนอากาศก็เห็นและได้ยินมีเสียงสู้กันตรงป่าทึบ
“นั่นเชียนซาน!” เขาร้องลั่น จมูกพลันรู้สึกแสบขึ้นมา นางมาช่วยเขาแล้ว
“วางใจเถอะ ท่านแม่กับเสด็จพ่อวางมาอย่างรอบคอบแล้ว คนที่ฐานที่ตั้งเล็กนี้หนีไปไหนไม่พ้นหรอก” จิงโม่พูดอย่างสบาย ๆ
“จริงหรือ?” หลวี่หนิงไม่ค่อยสบายใจเท่าไร “พวกเราต้องไปดูหน่อยไหม”
“ไม่ต้องหรอก ท่านแม่ไม่ให้พวกเราไปคลุกคลีกับเรื่องรบราฆ่าฟัน พวกเราเป็นหมอ ทำได้แค่ช่วยคนเท่านั้น”
“เจ้าไม่ใช่หมอ!” ฉองเหลาแย้ง
“ท่านแม่เป็นนี่ ท่านแม่บอกว่าพวกเราจะต้องเป็นตระกูลหมอ” จิงโม่พูดอย่างภาคภูมิใจยิ่ง
หลวี่หนิงได้ยินเสียงเอะอะของฝาแฝดดังข้างหูแล้วก็นึกขึ้นได้ว่าตอนนี้ตนเองกำลังขี่ลมลอยได้ รู้สึกเหมือนฝันจริง ๆ
เขาถึงกระทั่งคิดว่าตนเองกำลังฝันอยู่จริง ๆ ใช่หรือไม่ มิเช่นนั้นทำไมถึงได้มีเรื่องที่ลวงโลกขนาดนี้ อีกทั้งฝาแฝดเป็นคนมาช่วยเขา ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เลย
เขาอยากจะหยิกหน้าตัวเองสักหนึ่งที แต่สองมือถูกฝาแฝดจับไว้อยู่ อีกทั้งลมที่พัดกระทบหน้าก็ชัดเจนเสียขนาดนี้ ไม่เหมือนเรื่องหลอกแม้แต่นิด
ส่วนว่านเหลียงกำลังพาชูเซี่ยขึ้นเขา เดินขึ้นไปเรื่อย ๆ และไม่พบเจอหมู่บ้านใด
พอเดินไปได้ประมาณชั่วยามกว่า ๆ จู่ ๆ ชูเซี่ยก็หยุดฝีเท้า
“เป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ” ว่านเหลียงหันกลับมาถาม
ชูเซี่ยกระชับล่วมยาแล้วเอนพิงกับต้นไม่ที่อยู่ข้าง ๆ พลางจ้องนางเขม็ง “เจ้าชื่ออะไร”
ว่านเหลียงนิ่งอึ้ง “เจ้านายหมายความว่าอย่างไรเจ้าคะ”
ชูเซี่ยยิ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าไม่ใช่ว่านเหลียง หากเดินต่อไปก็เป็นกองดักซุ่มของพวกเจ้าแล้ว”
ว่านเหลียงมองนางด้วยความแปลกใจ ทันใดนั้นก็เริ่มหัวเราะขึ้นมา “ข้าประเมินเจ้าต่ำไปจริง ๆ เจ้ารู้ตัวตนของข้าตั้งแต่แรกแล้ว”
“เจ้าโกหกข้าไม่ได้หรอก” ชูเซี่ยพูด
“งั้นหรือ? งั้นรู้ตัวตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เมื่อครู่หรือ หรือเป็นตอนข้าพูดจาไร้มารยาทกับเจ้าบนรถม้ากัน”
ว่านเหลียงว่าตอนที่อยู่บนรถม้า เนื่องด้วยนางได้พาชูเซี่ยออกจากวังจึงภาคภูมิใจอย่างมาก ดังนั้น จึงเผยจังหวะฝีเท้าตามปกติ แต่ตอนนั้นนางไม่ได้สนใจมัน
“ก่อนที่จะเข้าวัง” ชูเซี่ยพูด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...