ตอนที่ 297 ด้านนอกด้านในตีขนาบประสานกัน
การสู้รบอย่างดุเดือดที่หลางฟงติ่งเริ่มขึ้นแล้ว
สิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลี่อวี๋นหลี่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้ องครักษ์พรรคมังกรเหินกว่าสามพันคนล้วนแต่เข้าไปในหมอกพิษแล้ว และมุ่งตรงไปยังฐานที่ตั้งของพวกเขา
ไม่ ไม่ใช่องครักษ์พรรคมังกรเหินสามพันคน แต่เป็นหมื่นกว่าคนต่างหาก ธงของพรรคมังกรเหินล้วนถูกยกชูขึ้น จากนั้นก็หลบหลีกกับดักในเขาแล้วเข้าโจมตีทันที
ผู้ที่นำองครักษ์พรรคมังกรเหินคือเชียนซานกับหลี่ฉางอัน พวกเขาแบ่งเป็นโจมตีขนาบเข้าสองฝั่ง ปากถ้ำทั้งสี่ถูกปิดเอาไว้จนเหลือสองทาง ปากถ้ำสองทางที่ถูกปิดยังทิ้งให้คนอีกพันคนคอยเฝ้าเอาไว้ คนที่ฐานที่ตั้งอยากหนีออกไปก็ทำได้แค่ฝัน
หลี่อวี๋นหลี่ถอยไปตลอดทางเส้นทางลับบนยอดเขาอย่างจนมุม ยอดเขาคือฐานกองบัญชาการใหญ่ของเขา เพียงแค่ปิดเส้นทางลับนี้ไว้ องครักษ์ของพรรคมังกรเหินก็ขึ้นมาไม่ได้
เขายืนอยู่บนยอดเขามองดูการสู้รบครั้งนี้
คนผู้หนึ่งยืนอยู่เงียบ ๆ ด้านหลังเขาพูดขึ้นมาเสียงเบา “ท่านติดกับแล้ว”
เขาพยักหน้า “ใช่ ข้าติดกับแล้ว”
เขาแสดงท่าทีสงบนิ่งอย่างมาก ไม่มีทีท่าพาลโกรธแม้แต่นิด ราวกับว่าความพ่ายแพ้ในครั้งนี้คือสิ่งที่เขาต้องได้รับ
“อย่าดูถูกชูเซี่ยมากเกินไป และอย่าได้ดูถูกหลี่เฉินเย่นมากเกินไปเช่นกัน” คนผู้นั้นกล่าว
หลี่อวี๋นหลี่หัวเราะเบา ๆ “ท่านเชื่อหรือไม่ เพียงแค่ข้าส่งสัญญาณพลุ เฉินหยวนชิ่งก็จะนำกำลังคนมาช่วย”
คนผู้นั้นเดินออกมาจากด้านหลังเขา หน้าตาสง่าราวกับหยก หากไม่ใช่อ๋องเก้าแล้วจะเป็นใครไปได้เล่า
“เฉินหยวนชิ่งไม่มาหรอก เขาไม่มีทางมารับช่วงต่อจากท่านง่าย ๆ หรอก ต่อให้พากำลังเสริมมา ก็เท่ากับว่าประกาศตัวเป็ศัตรูกับหลี่เฉินเย่นอย่างเป็นทางการ เขาจะโง่ขนาดนั้นเชียวหรือ”
“แน่นอนว่าเขาไม่ได้โง่ขนาดนั้น เขาไม่มีทางพาคนมาอย่างโจ่งแจ้ง แต่ด้วยตำแหน่งของเขา การเคลื่อนพลหมื่นกว่าพันคนไม่จำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากหลี่เฉินเย่น”
“ทำไมเขาถึงต้องทำเช่นนั้นด้วย” อ๋องเก้าถาม
หลี่อวี๋นหลี่หันไปมองเขาแล้วยิ้มแบบแปลก ๆ “เพราะเขารู้ว่าข้าทำให้ฉ่ายเวินได้กลับมาเกิดใหม่”
อ๋องเก้าอึ้ง “แต่มันไม่ใช่ความจริง”
“ใช่หรือไม่มันไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการที่เขาคิดว่าใช่” หลี่อวี๋นหลี่กางนิ้ว นิ้วทั้งสิบของเขาทั้งยาวและเรียวมาก ขาวผุดผ่องราวกับมือของผู้หญิง เขาถอนหายใจเบา ๆ “ตอนที่ยังเด็ก ใคร ๆ ต่างก็พูดว่านิ้วของข้ายาวมาก ถูกกำหนดให้มีชะตาฮ่องเต้ ข้าไม่อาจฝ่าฝืนลิขิตสวรรค์ได้”
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วเหตุใดถึงยังไม่จุดพลุสัญญาณไฟเล่าเล่า ท่านดูสิ กองทัพของท่านจะแพ้แล้ว” อ๋องเก้าพูดเสียงนิ่ง
“ข้าบอกแล้ว ว่าข้าติดกับแล้ว และประเมินหลี่เฉินเย่นต่ำเกินไป เขาดูแผนข้าออกและพาฉ่ายเวินไปที่ค่ายทหารแล้ว”
อ๋องเห้าหัวเราะ “ถ้าเช่นนั้นเมื่อครู่นี้ท่านโกหกหรือ แถมยังพูดอีกว่าถ้าท่านจุดพลุสัญญาณไฟแล้วเขาจะมา หลี่อวี๋นหลี่อยู่ที่ค่ายทหาร เขาจะกล้ามาหรือ หลี่เฉินเย่นประเมินการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของท่านได้ ดูเหมือนว่าแผนของท่านไม่รัดกุมเลยสักนิด อุบายของท่านไม่ละเอียดรอบคอบเลยแม้แต่นิด”
หลี่อวี๋นหลี่หันกลับไปมองเขาอย่างไม่ใส่ใจแม้แต่นิด “นี่เพียงแค่การปะทะกันครั้งแรกก็สูญเสียคนไปมากมาย ได้รู้ว่าข้างกายข้ามีเกลือเป็นหนอน และถือว่าเป็นผลพลอยได้ด้วย”
“เกลือเป็นหนอน?” อ๋องเก้าอึ้ง “ท่านพูดอะไร”
หลี่อวี๋นหลี่จ้องเขา จากนั้นก็หัวเราแบบแปลก ๆ “ท่านกลัวหรือ?”
อ๋องเก้าพูดอย่างโมโห “ท่านคิดว่าข้าเป็นหนอนหรือ”
หลี่อวี๋นหลี่ไม่พูด จากนั้นก็หันกลับไป มองการสู้รบที่อยู่เบื้องล่าง จากตรงที่สูงนี้มองลงไป คนที่อยู่ข้างล่างก็เหมือนมดปลวก ชั่วขณะนั้นมีเพียงเลือดที่กระเซ็นซัดจนมองเห็นชีวิตที่ดับสูญได้
เวลาผ่านไปเนิ่นนานเขาถึงได้พูดขึ้นมาเงียบ ๆ “มีไม่กี่คนที่รู้ว่าข้าติดต่อกับเฉินหยวนชิ่ง หลี่อวี๋นหลี่เตรียมการป้องกันเฉินหยวนชิ่งได้เร็วขนาดนี้ต้องมีคนแจ้งข่าวเขาเป็นแน่ อันที่จริง ครั้งนี้ข้าไม่ต้องการที่จะร่วมมือกับเฉินหยวนชิ่ง ข้าให้คนไปติดต่อเฉินหยวนชิ่งทั้งยังบอกให้เขาว่าข้ามีวิชาทำให้คนฟื้นคืนชีพได้ เพื่อใช้ประโยชน์ในภายหลัง”
อ๋องเก้าหัวเราะขึ้นมาแบบแปลก ๆ “ฉะนั้น ท่านก็เลยคิดว่าข้าส่งข่าวสินะ”
หลี่อวี๋นหลี่ตบไหล่เขา และไม่มองการสู้รบข้างล่างอีกต่อไป “ข้าไม่ได้สงสัยท่าน อย่าคิดมากไปเลย ข้ารู้ว่าท่านเองก็เกลียดหลี่เฉินเย่น ท่านชอบชูเซี่ยใช่หรือไม่ หากฆ่าหลี่เฉินเย่นแล้ว ชูเซี่ยก็จะเป็นของท่าน”
อ๋องเก้าพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “งั้นรึ”
“ข้ารับประกันว่าชูเซี่ยจะต้องเป็นของท่าน” หลี่อวี๋นหลี่หัวเราะ ความงดงามนั้นทำให้รู้สึกว่ามีเสน่ห์จนไม่อาจละสายตาได้ “ท่านดูสิ ข้าไม่ได้ฆ่านางไม่ใช่หรือ ความจริงแล้วการที่ข้าจะลงมือกับนางนั้นง่ายมาก แต่ข้ายับยั้งฉ่ายเวินไว้ไม่ให้ฉ่ายเวินลงมือ ทั้งนี้ก็เพื่อท่านเชียวนา”
อ๋องเก้าไม่ได้พูดอะไร ดวงตาจ้องเขม็งไปยังเบื้องล่าง ทันใดนั้นก็นึกถึงหลวี่หนิงขึ้นมา “หลวี่หนิงล่ะ”
“หลวี่หนิงที่ก่อนหน้านี้บุกเขามาก็ถูกช่วยพาหนีไปแล้ว” หลี่อวี๋นหลี่หันกลับมามอง “ไม่ใช่ว่าท่านรู้ดีที่สุดหรอกหรือ”
อ๋องเก้าพลันหน้าชา “ข้ารู้ ตอนนี่ท่านถือว่าข้าเป็นหนอนแล้ว” พูดจบ เขาก็เบือนหน้าแล้วเดินจากไป
หลี่อวี๋นหลี่มองแผ่นหลังของเขาแล้วหัวเราะด้วยความหมองหม่น “สุดท้ายแล้วท่านก็ยังไม่ลืมชูเซี่ย”
แบบนี้แหละถึงจะสนุก
ในค่ายทหาร
ระหว่างที่เฉินหยวนชิ่งกับเจ้าหญิงอวิ๋นซึนพูดคุยกันนั้น ตลอดการพูดคุยนั้นนิ่งสงบมาก แม้ว่าเฉินหยวนชิ่งจะจ้องมองนางตลอด แต่ในถ้อยคำกลับค่อนข้างให้ความเคารพ ทั้งยังทำเหมือนกับนางถือว่าเป็นเจ้าหญิงอวิ๋นซึน เป็นหรูกุ้ยเฟยในรัชศกนี้จริง ๆ
ยามที่สีของท้องฟ้าเริ่มเย็นย่ำ หลี่เฉินเย่นถึงได้ลุกขึ้นยืน “เอาล่ะ เวลาก็เย็นมากแล้ว เจิ้นควรจะกลับได้แล้ว”
เฉินหยวนชิ่งมองสีท้องฟ้าด้านนอน พระอาทิตย์กำลังลาลับจนเกิดทัศนียภาพอันงดงามยามตะวันตกดิน เขาพูดขึ้นว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทอดพระเนตรดูสีท้องฟ้านี้สิพ่ะย่ะค่ะ มันเหมือนกับยามมองพระอาทิตย์ตกที่พวกเราอยู่ในสนามรบชายแดนทางตอนเหนือในตอนนั้นหรือไม่”
หลี่เฉินเย่นเงยหน้าขึ้นมอง เมฆตรงขอบฟ้าม้วนขดแผ่ขยายไปมา สีทองยามพระอาทิตย์ลาลับย้อมเมฆแต่ชั้นแบ่งเป็นสีทองและสีส้ม งดงามลานตาจนชมไม่หวาดไม่ไหว
เขาถอนหายใจเล็กน้อย “ใช่ เหมือนยามเย็นในวันนั้นมาก”
“ไม่ทราบว่าฝ่าบาทออกไปเดินเล่นเป็นเพื่อนกระหม่อมได้หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ” เฉินหยวนชิ่งถาม
หลี่เฉินเย่นมองเขาพลันยิ้มออกมา “ได้สิ ยากนักที่ท่านแม่ทัพจะมีอารมณ์สุนทรีเช่นนี้ เจิ้นจะออกไปชมเป็นเพื่อนเจ้า”
ทั้งสองไม่ได้พาคนคุ้มกันไปด้วย แม้แต่หลี่หยุนกางก็ไม่ได้เดินไปกับพวกเขา
ม้าสองตัววิ่งควบไปตามทางสายเก่าที่แสงตะวันที่กำลังจะตกดินสาดส่องอยู่จนฝุ่นด้านตลบอบอวล
ทั้งสองควบม้ามาถึงริมลำธาร สีของท้องฟ้ามืดลงแล้ว ขอบฟ้าเหลือเพียงแสงสลัวที่มองเห็นรำไร
ม้ากินน้ำอยู่ข้างลำธาร ทั้งสองนั่งลงบนหินข้างลำธาร นกที่บินกลับรังอยู่เหนือศีรษะส่งเสียงร้องจิ๊บ ๆ กันระงม
เฉินหยวนชิ่งหยินหินขึ้นมาหนึ่งแล้วเขวี้ยงไปที่ป่าฝั่งตรงข้ามทำให้นกกระจอกตกใจจนบินหนี เฉินหยวนชิ่งหัวเราะดังลั่น
“ท่านนี่นะ อายุตั้งเท่าไรแล้ว ทำไมถึงยังเล่นเป็นเด็ก ๆ อีก” หลี่เฉินเย่นกล่าวพลางยิ้ม
เฉินหยวนชิ่งหันมามองเขา “ฝ่าบาทจำไม่ได้หรือ ตอนนั้นที่อยู่ชายแดนทางตอนเหนือพระองค์ก็ทำให้นกตกใจจนบินหนีไปแบบนี้ไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”
“พริบตาเดียวเวลาก็ผ่านไปหลายปี เรื่องตอนนั้นข้าจำได้ดี ท่านเพิงจัดกลุ่มกองกำลังให้เจิ้น” หลี่เฉินเย่นพูดอย่างซึมเซา
เสียงของเฉินหยวนชิ่งค่อย ๆ ทุ้มต่ำลง “ตอนนั้น กระหม่อมเลื่อมใสฝ่าบาทมาก อายุยังน้อยอยู่แท้ ๆ แต่กลับเป็นขุนพลที่มีชื่อเสียงโดเด่นทางด้านการรบ กระหม่อมโชคดีอย่างยิ่งที่ได้ยกทัพติดตามแม่ทัพผู้มีชื่อเสียง ประสบความสำเร็จจนสร้างผลงาน”
“งั้นถ้าตอนนั้นเลื่อมใส แล้วตอนนี้ไม่เลื่อมใสแล้ว ใช่หรือไม่” น้ำเสียงของหลี่เฉินเย่นไม่นิ่ง
“เปล่า” เฉินหยวนชิ่งมองเขาพลางพูด “ใจของกระหม่อมไม่เคยเปลี่ยนแปลง”
สิ่งที่เปลี่ยนมีเพียงเรื่องราวในโลกเท่านั้น!
หลี่เฉินเย่นเลื่อนสายตาขึ้นเล็กน้อย “หากตอนนั้นเจิ้นไม่ทำตามรับสั่งของเสด็จพ่อแต่งกับน้องสาวเจ้า บางทีเรื่องทั้งหมดอาจจะไม่เป็นเช่นนี้”
เฉินหยวนชิ่งหัวเราะอยู่ครู่หนึ่ง “ก็อาจจะ แต่กระหม่อมคิดว่า ถึงแม้จะแต่งไปแล้วฝ่าบาทก็สามารถดีต่อนางได้ นางไม่คู่ควรอย่างนั้นหรือ หรือจะบอกว่านางไม่ดีพอ เทียบกับชูเซี่ยไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
หลี่เฉินเย่นส่ายหน้า “ไม่ อวี่จู๋เป็นหญิงที่ดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอมา นางสมควรได้รับการปฏิบัติที่ดีจากทุกคน เจิ้นเองก็เลื่อมใสนางมาก”
“เพียงแต่ไม่ได้รักอย่างนั้นหรือ” เฉินหยวนชิ่งถามอย่างค่อนแคะ
“หากเจิ้นไม่ได้รักชูเซี่ยอยู่ก่อนแล้วก็อาจจะรักนางก็เป็นได้” หลี่เฉินเย่นพูด
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...