ตอนที่ 300 คนเดียวในใจ
“ชูเซี่ย เฉินหยวนชิ่งต้องการให้ข้าแต่งตั้งเฉินอวี่จู๋”หลังจากที่ออกมาจากห้องที่หลวี่หนิงกับเชียนซานอยู่ได้ไม่นาน หลี่เฉินเย่นก็อดใจไม่ไหวที่จะพูดกับชูเซี่ย
ชูเซี่ยยินแล้วก็หันไปมองหลี่เฉินเย่น หลี่เฉินเย่นก็มองชูเซี่ยด้วยสีหน้ารู้สึกผิด
หลายปีมานี้เขาไม่ยอมแต่งตั้งเฉินอวี่จู๋ แน่นอนว่าเป็นเพราะความเห็นแก่ตัวของตนเอง ตำแหน่งฮองเฮา เขาอยากจะให้ชูเซี่ยแต่เพียงผู้เดียว
แต่ตอนนี้เฉินหยวนชิ่งกดดันเขาอย่างหนัก ตอนนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่พวกเขาจะมาฉีกหน้ากัน
ฉะนั้น จำต้องทำการประนีประนอม
“งั้นก็แต่งตั้งเถอะ เฉินอวี่จู๋รักท่านจริง ๆ แม้ว่าคนจะตายไปแล้ว แต่ก็ควรจะมีชื่อตำแหน่งฮองเฮาให้นาง”
น้ำเสียงของชูเซี่ยราบเรียบ ไม่ว่าเฉินอวี่จู๋จะตายหรืออยู่ สุดท้ายแล้วนางก็เป็นภรรยาของหลี่เฉินเย่นอย่างชอบธรรม หลี่เฉินเย่นเป็นฮ่องเต้ ตามหลักแล้วนางก็ควรจะเป็นฮองเฮา
“ชูเซี่ย ข้า...”
หลี่เฉินเย่นคาดการณ์ไว้แล้วว่าชูเซี่ยต้องเห็นด้วยแน่ แต่ยามที่ชูเซี่ยเอ่ยผลลัพธ์นี้ออกมาจริง ๆ ใจของเขากลับเจ็บปวด
เขาไม่สามารถปกป้องคนที่ตนเองรักได้ แม้แต่ตำแหน่งฮองเฮาเขาก็ให้นางไม่ได้
“ชูเซี่ย หลายปีมานี้ในใจข้ามีเจ้าเป็นฮองเฮาเพียงผู้เดียว มีเพียงเจ้าเท่านั้น”
“ข้ารู้” ชูเซี่ยพยายามยกยิ้ม แต่ความขมขื่นในใจค่อย ๆ เติมขึ้นมาจนเต็ม
“ชูเซี่ย หากชาตินี้ข้าไม่อาจจัดพิธีไปสู่ขอเจ้าอย่างยิ่งใหญ่ที่สุดได้ ถ้าเช่นนั้นหลังจากที่ตายไปข้าก็จะไม่เข้าสุสานของราชวงศ์เช่นกัน เจ้าถูกฝังอยู่ที่ไหน ข้าก็จะไปอยู่เป็นเพื่อนเจ้าที่นั่น ฉะนั้น...”
คำพูดที่หลี่เฉินเย่นพูดนั้นจริงจังอย่างมาก สิ่งนี้คือคำพูดที่เขาอยากพูดกับชูเซี่ยมาตลอด ตอนนี้เขากำลังพยายามเพื่ออนาคตของทั้งสองคน หากล้มเหลวกลางทางเข้าจริง ๆ ต่อให้เขาตายก็ต้องการที่จะอยู่เคียงข้างชูเซี่ย เขาอยากให้ชูเซี่ยได้รับรู้ว่าแม้แต่ความตายก็แยกพวกเขาออกจากกันไม่ได้
ชูเซี่ยเข้าใจความรู้สึกผิดของหลี่เฉินเย่นดี และยิ่งไปกว่านั้นคือเข้าใจใจเขาดี ดังนั้น นางจึงตอบรับเสียงเบา ถือว่าเป็นคำมั่นสัญญาของทั้งสอง
“ชูเซี่ย ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้าได้รับความอยุติธรรมนานเกินไปหรอก” ก่อนที่จะจากไปหลี่เฉินเย่นกล่าวสัญญาอย่างจริงจัง ส่วนชูเซี่ยก็มองหน้าเผชิญกับความจริงจังของเขาและเพียงแค่ผงกศีรษะเท่านั้น
การที่ชูเซี่ยกับหลี่เฉินเย่นคิดจะแต่งตั้งเฉินอวี่จู๋เป็นฮองเฮาทำให้เฉินหยวนชิ่งพอใจอย่างยิ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังประเมินความโลภของเขาต่ำเกินไป
ในท้องพระโรง หลี่เฉินเย่นเอ่ยเรื่องความคิดของตนเองที่ต้องการจะแต่งตั้งเฉินอวี่จู๋เป็นฮองเฮาจิ้งเจิน (หมายถึง ฮองเฮาผู้มีความซื่อสัตย์จงรักภักดี) หน้าของเฉินหยวนชิ่งก็พลันขึ้นเขียวทันที
“ฝ่าพาท กระหม่อมคิดว่าพระสมัญญานามนี้ไม่เหมาะสมพ่ะย่ะค่ะ” สิ้นเสียงของหลี่เฉินเย่น เฉินหยวนชิ่งก็เอ่ยปากทันที
หลี่เฉินเย่นไม่คิดว่าความเคีนแค้นของเฉินหยวนชิ่งนั้นจะมีมากพอ แต่นึกไม่ถึงว่าิดเล็กคิดน้อยแม้แต่พระสมัญญานามของนางด้วย
“ฝ่าบาท คำว่าจิ้งเจินสองคำนี้ แน่นอนว่าไม่ได้แสดงให้เห็นถึงความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์มีต่อพระชายา ตอนนั้นพระองค์กับพระชายานิงอันร่วมทุกข์มาด้วยกัน ฉะนั้น สองคำนี้จึงเหมือนเป็นการทำแบบขายผ้าเอาหน้ารอดไปที…”
เมื่อไม่นานมานี้เฉินหยวนชิ่งได้รับอิทธิพลมาจากจางเซียนฮุยกับเหลียงกุยไม่น้อย แน่นอนว่าตอนนี้ในเขามีอำนาจในราชสำนักอยู่พอสมควร เมื่อได้เห็นท่าทีที่ชัดเจนของเขา แน่นอนว่าสมุนพรรคพวกของเขาจึงก้าวขึ้นมาพูดสนับสนุนคล้อยตาม ส่วนหลี่เฉินเย่นกลับไม่ได้เอ่ยคำพูดใด เพียงแค่มองขุนนางที่เดิมทีควรจะจงรักภักดีกับเขาแสดงท่าทีภักดีต่อเฉินหยวนชิ่งอย่างนิ่งสงบ
“ฝ่าบาท เรื่องแต่งตั้งพระชายาเฉินอวี่จู๋ เดิมทีควรจะให้ผู้ตายได้พักผ่อนอย่างสงบและปลอบใจแก่ผู้มีชีวิตอยู่ คำว่าจิ้งเจินสองคำนี้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าไม่อาจแสดงความรักอันลึกซึ้งที่พระองค์มีต่อพระชายาได้ ในเมื่อผู้เป็นพี่ชายของพระชายาไม่พึงพอใจในสองคำนี้ก็ให้เสนาบดีเจ้ากรมพิธีการคิดพระสมัญญานามขึ้นใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”
“ฝ่าบาท ในตอนนั้นพระองค์ถูกใส่ร้ายอย่างไม่เป็นธรรม พระชายานิงอันก็วิ่งรอกไปหลายทาง ความรักอันลึกซึ้งเช่นนี้ พวกกระหม่อมมิกล้าลืมเลือน การที่พระองค์มีพระประสงค์จะแต่งตั้งฮองเฮาเป็นที่น่ายินดีอย่างยิ่ง เพียงแต่พระสมัญญานามนั้นค่อนข้างไร้ซึ่ความรู้สึกจนเกินไปทำให้ผู้คนที่เห็นได้ยินรู้สึกผิดหวัง”
“...”
เมื่อเห็นว่าสุดท้ายแล้วหลี่เฉินเย่นไม่เอ่ยปาก คนที่อยู่ฝ่ายเฉินหยวนชิ่งก็ค่อนข้างว้าวุ่น แต่ก็ยังแสดงทีท่าว่าตนเองไม่ชอบใจกับพระสมัญญานามนี้กันเซ็งแซ่
อัครมหาเสนาบดีเซียวที่มองอย่างยิ่งเฉยอยู่ข้าง ๆ มาโดยตลอดเห็นว่าสุดท้ายแล้วเฉินหยวนชิ่งไม่ได้ดิ้นรนอีกต่อไปก็ค่อย ๆ ยืนขึ้นแล้วพูดออกมา “พระชายานิงอันเป็นภรรยาของฝ่าบาท ฝ่าบาททรงตัดสินพระทัยจะตั้งพระสมัญญานามอะไรก็เป็นเรื่องในครอบครัวของฝ่าบาท พวกเราเป็นขุนนาง เพียงแค่ช่วยทำนุบำรุงบ้านเมือง็พอแล้ว เรื่องของครอบครัวก็ให้ฝ่าบาททรงปวดพระเศียรคนเดียวเถิด”
“อัครมหาเสนาบดีเซียวพูดเช่นนี้นับว่าผิดแล้ว ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้ของพวกเรา เรื่องครอบครัวของฝ่าบาทก็เป็นเรื่องของบ้านเมือง หากฝ่าบาทปูนบำเน็จไม่ชัดแจ้งก็จะทำให้เหล่าขุนนางตีใจออกห่าง” เมื่อเห็นว่าสุดท้ายมีคนแสดงท่าทีออกมา คนที่เข้าข้างเฉินหยวนชิ่งก็รีบแย้งทันที
พูดเพียงคนเดียวก็ยังไม่พอ ขุนนางอีกคนก็ยืนขึ้นมาแล้วพูดกับอัครมหาเสนาบดีเซียว “ในเมื่ออัครมหาเสนาบดีเซียวพูดถึงเรื่องครอบครัว ถ้าเช่นนั้นท่านแม่ทัพเฉินก็คือพี่ชายของพระชายานิงอันคนก่อน เขามีสิทธิ์และคุณสมบัติในการเลือกพระสมัญญานามนี้ พระสมัญญานามนี้ของฝ่าบาทไม่เป็นธรรม หรือว่าจะไม่สนใจในสิ่งที่ท่านแม่ทัพเฉินพูดอย่างนั้นหรือ”
“ข้าเป็นอัครมหาเสนาบดีมาสามรัชศก มีหรือจะไม่รู้ว่าเมื่อใดที่คำพูดของฝ่าบาทต้องมีขุนนางมามีส่วนในการตัดสิน” อัครมหาเสนาบดีเซียวได้ยินคำพูดของพวกขุนนางเฒ่าแล้วก็อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บแนมเบา ๆ
เดิมทีเฉินหยวนชิ่งยังคิดจะให้คนของตนเองพูดโจมตีในราชสำนักเพื่อเขา แต่ก็ไม่คิดว่าอัครมหาเสนาบดีเซียวคนนี้จะทำให้พวกเขาถึงกับเถียงไม่ออก
เฉินหยวนชิ่งมองหลี่เฉินเย่นที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยท่าทีเฉยเมย ความผิดหวังจากก้นบึ้งในใจก็ท่วมท้น
เขาพูดกับน้องสาวที่ตายไปแล้วของตนเองในใจ ดูสิ นี่ก็คือชายที่เจ้ารักจนแม้แต่ชีวิตก็ยอมทิ้งได้ลง จนถึงตอนนี้แม้แต่พระสมัญญานามที่น่าฟังก็ยังไม่ยอมมอบให้เจ้า
หลี่เฉินเย่น ข้าจะให้ท่านชดใช้กับความใจดำของตัวท่านเอง สิ่งที่ข้าทำไปทั้งหมดล้วนเป็นเพราะท่านบีบบังคับ
“ฝ่าบาท ตอนที่น้องสาวกระหม่อมยังมีชีวิตอยู่นางเคยบอกกับกระหม่อมว่าหากนางตายต่อหน้าฝ่าบาท นางหวังว่าฝ่าบาทจะพระราชทานสมัญญานามเหวียนมู่ให้นางพ่ะย่ะค่ะ”
เฉินหยวนชิ่งกำลังพูดอ้างว่าเป็นคำที่มาจากปากของเฉินอวี่จู๋ แต่พอคำพูดของเขาโพล่งออกมา ทุกคนในราชสำนักก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
เหวียนมู่ คือพระสมัญญานามที่ฮ่องเต้พระองค์แรกของราชวงศ์พระราชทานให้แก่ฮองเฮาพระองค์แรก มีความหมายคือที่รักเพียงหนึ่งเดียว ฉะนั้น หลายปีที่ผ่านมาผู้คนจึงล้วนร้องเพลงสรรเสริญความรักอันลึกซึ้งที่องค์ฮ่องเต่พระองค์แรกมีต่อองค์ฮองเฮาพระองค์แรกของราชวงศ์
เหวียนมู่ ก็คือการที่ฮ่องเต้ยอมรับว่าฮองเฮาคือผู้ที่เป็นหนึ่งเดียวในใจเขา
ไม่ว่าหญิงคนใดก็เฝ้าหวังว่าจะได้เป็นหนึ่งเดียวในใขของชายผู้เป็นที่รัก ดังนั้ การที่พูดว่าเฉินอวี่จู๋ผู้อ่อนแอผู้นั้นพูดคำพูดเช่นนี้ออกมาจึงทำให้คนเชื่อ
เพียงแต่ พระสมัญญานามเหวียนมู่นี้ เกรงว่าฮ่องเต้ไม่มีทางพระราชทานให้ง่าย ๆ
แต่ใครจะรู้เล่าว่าเจ้านายของพรรมังกรเหินที่อยู่ในตำหนักฉ่ายเวยในตอนนี้คือคนรักหนึ่งเดียวในใจของฮ่องเต้
หลังจากที่เฉินหยวนชิ่งพูดจบก็มองหลี่เฉินเย่นอย่างค่อนข้างภาคภูมิใจ แม้แต่เฉินอวี่จู๋เขาก็ยกออกมาอ้างได้ เขาไม่เชื่อว่าหลี่เฉินเย่นจะไม่ไว้แม้แต่หน้าเขา
ใครจะรู้เล่าว่าคนตายนั้นยิ่งใหญ่ หากหลี่เฉินเย่นยังคงปฏิเสธนับว่าเป็นคนที่มีจิตใจเย็นชา
ฉะนั้น ขอเพียงแต่หลี่เฉินเย่นชั่งน้ำหนักดูส่วนได้ส่วนเสีย น้องสาวของนางก็จะเป็นฮองเฮาเหวียนมู่ของหลี่เฉินเย่น
คนรุ่นหลังก็จะกล่าวขานว่าน้องสาวของเขาต่างหากเป็นรักแท้ของหลี่เฉินเย่น เขาแค่อยากได้สิ่งนี้ จะแย่งชิงเอาของของชูเซี่ยมาให้น้องสาวของตนเองทีละนิด
“ฝ่าบาท นี่เป็นความปรารถนาสุดท้ายของน้องสาว พระองค์โปรดเห็นแก่ความรักอันลึกซึ้งของนางที่มีต่อฝ่าบาทด้วย โปรดเห็นแก่นางที่ตายอย่างไม่เป็นธรรมในยามที่ยังงดงามเยาว์วัย ช่วยให้นางสมปรารถนาด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ” เฉินหยวนชิ่งเห็นว่าหลี่เฉินเย่นยังไม่แสดงท่าทีใดจึงเอ่ยปากพลางคุกเข่าลงกับพื้น
แต่เมื่อเขาพูดจบแล้วมองไปทางหลี่เฉินเย่น ใบหน้าของเขาล้วนเต็มไปด้วยความเย้ยหยันมุ่งมันที่จะเอาชนะ
หลี่เฉินเย่น ท่านยืนอยู่เหนือผู้อื่นแล้วจะทำอะไรได้ ข้าอยากได้อะไรท่านก็ต้องให้ นี่คือสิ่งที่ท่านติดค้างน้องสาวของข้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...