ตอนที่ 316 ไม่เชื่อนาง
ชูเซี่ยไม่กล้าที่จะรั้งรอ อุ้มเด็กน้อยแล้วรีบวิ่งมุ่งเข้าไปที่ตำหนักฉ่ายเหว่ยอย่างรวดเร็ว หลิงกุ้ยท่ายเฟยก็แข็งทื่ออยู่ที่เดิม เป็นเวลานานกว่าที่จะเรียกสติกลับมาได้
เมื่อเห็นกุยเอ๋อกะอักเลือดออกมาอีกครั้ง ความหนักแน่นในใจของตนที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ก็สั่นคลอนเสียแล้ว
การไม่กล้าพนันแล้ว นางกลัวว่าตนเองจะแพ้พนัน
ตอนนี้นางเพิ่งเข้าใจ เดิมทีผู้ใดก็ล้วนสามารถเป็นนักพนัน แต่ว่าผู้ที่เป็นมารดากลับทำไม่ได้เช่นนั้น เพราะว่านางไม่มีทางที่จยอมรับความทุกข์ทรมาณของการสูญเสียบุตรไปได้
นางอยากที่จะบอกกับชูเซี่ยว่านางเสียใจภายหลังแล้ว แต่ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของชูเซี่ยแล้ว
เมื่อรอให้ถึงเวลาที่หลิงกุ้ยท่ายเฟยที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวได้กลับคืนมาได้สติพยายามรวบรวมความกล้าเดินเข้าไปในตำหนักของชูเซี่ย บุตรของนางก็ถูกชูเซี่ยจัดการรักษาเรียบร้อยไปเสียแล้ว เมื่อมองเห็นนางเดินเข้ามา ชูเซี่ยก็บอกเขาว่าพิษของบุตรนางได้ควบคุมเอาไว้ได้แล้ว
“การถูกพิษของบุตรท่านน่าจะเกี่ยวข้องกับสิ่งของที่ท่านใช้อยู่ภายในตำหนัก”
หลิงกุ้ยท่ายเฟยในหายทันที เมื่อได้ยินคำพูดยืนยันของชูเซี่ย
“เป็นไปไม่ได้ สิ่งของที่กุยเอ๋อใช้ล้วนให้คนตรวจสอบครั้งแล้วครั้งเล่าไปแล้ว ทำไมถึงได้....”
“เด็กน้อยยังคงได้รับพิษของโลหะหนัก เพียงก่อนหน้านี้เป็นตะกั่ว ครั้งนี้เป็นทองแดง หากปริมาณที่ใช้ในครั้งนี้สูงกว่าครั้งก่อนอย่างมาก อีกทั้งหากว่าเครื่องมือของข้าไม่ผิด คืนวานเด็กน้อยยังได้เคยสัมผัสกับพิษตัวนั้น ”
“เป็นไปไม่ได้ จะเป็นอย่างนั้นได้อย่างไร เมื่อวานกุยเอ๋อก็ดื่มน้ำเล็กน้อยเท่านั้น เขา.....” หลิงกุ้ยท่ายเฟยแทบที่จะไม่กล้าเชื่อในสิ่งที่ตนได้ยิน แต่นางพูดไม่ทันจบก็พลันนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานก่อนที่กุยเอ๋อจะป่วยหนัก ความจริงแล้วตนป้อนน้ำให้กับเขา เวลานั้นนางยังดีใจอย่างมาก คิดว่ากุยเอ๋อจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ
“พวกเขาจะเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร ทำไมถึงได้...กุยเอ๋อล้วนไม่ได้สติเลย พวกเขายังต้องการที่จะลงมืออีก พวกเขาต้องการจัดการให้กุยเอ๋อตายใช่หรือไม่ จิตใจของพวกเขาช่างเลวทรามอำมหิต พวกเขา....” หลิงกุ้ยท่ายเฟยพูดจาสับสนเสียแล้ว นางไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไรถึงจะแสดงความสิ้นหวังและโกรธเคืองออกมา นางจึงได้แต่เอ่ยถามซ้ำไปซ้ำมา พวกเขาทำไมถึงเป็นเช่นนี้
“พิษบนตัวของกุยเอ๋อข้าได้ควบคุมเอาไว้แล้ว แต่การแก้พิษท่านต้องให้เวลาข้า หากท่านอยากที่จะให้เด็กน้อยอาการดีขึ้น เรื่องภายในตำหนักของท่าน ก็ควรที่จะไม่ต้องให้ข้าสอดมือเข้าไปยุ่งกระมัง” ชูเซี่ยสอบถามเบาๆขึ้น หลิงกุ้ยท่ายเฟยรีบพยักหน้าทันที
ชูเซี่ยเอ่ยจบก็อยากที่จะไปทันที ภายในเวลาอันสั้นที่มีทั้งหมดนางรู้ว่าในร่างกายของกุยเอ๋อคือทองแดง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะหลังจากที่นางแยกจากจูเก๋อหมิงที่ลองทดสอบเลือดของเด็กน้อยแล้วพบว่าผิดปกติ
ตอนนี้พบปัญหาที่ยุ่งยากของชูเซี่ยแล้ว นางต้องพยายามแก้พิษให้ได้เร็วที่สุดอย่างแน่นอน
“นายท่านเจ้าคะ ท่านช่วยกุยเอ๋อแล้ว ก็ถือว่าท่านเป็นผู้มีบุญคุณกับเหลียงกวางเสียงแล้ว มีเรื่องราวใดของท่านรีบจัดการออกคำสั่งเถอะเจ้าคะ เพียงเป็นคำสั่งของท่าน พวกเราตายหมื่นครั้งก็ไม่ปฏิเสธเจ้าคะ”
“หลิงกุ้ยท่ายเฟย เรื่องราวในวันนี้ท่านสามารถไม่ต้องบอกกล่าวแก่เหลียงกวางเสียง ข้าช่วยกุยเอ๋อ ไม่ใช่เพราะว่าเขาเป็นบุตรของพวกท่าน”
“นี่....” หลิงกุ้ยท่ายเฟยตะลึงงันอีกครั้ง นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ชูเซี่ยพูดเช่นนี้ออกมา
การยอมรับของหลิงกุ้ยท่ายเฟยยังถือว่ามีความฉลาดหลักแหลม ความหมายในคำพูดของผู้อื่นนางยังสามารถคาดเดาได้กว่าแปดเก้าส่วนเลยทีเดียว แต่คำพูดนี้ของชูเซี่ย นางกลับคาดเดาเจตนาของนางไม่ออก ทั้งยังไม่รู้ว่าจะตอบโต้กลับไปเช่นไร
ชูเซี่ยไม่มีเวลาที่จะมาเล่นหนึ่งประโยคสองความหมายกับหลิงกุ้ยท่ายเฟย ในใจของนางคิดเช่นไรก็เอ่ยพูดต่อหลิงกุ้ยท่ายเฟยเช่นนั้น
แม้ว่าอยากที่จะเฝ้ารอให้บุตรชายฟื้นขึ้นมาอยู่ในตำหนักของชูเซี่ย แต่นางก็รู้ดีว่าเพื่อบุตรชายแล้วนางยังมีเรื่องสำคัญที่จะต้องทำ ดังนั้นหลังจากที่ชูเซี่ยแยกตัวออกไปนางก็กลับที่พักของตน หนึ่งชั่วยามจากนั้นคนในพรรคมังกรเหินต่างพากันพูดเหลี่แซ่ว่าหลิงกุ้ยท่ายเฟยประทานความตายให้กับสองนางข้าหลวง
เมื่อได้รับข่าวสารนี้ ชูเซี่ยที่กำลังเฝ้ากุยเอ๋ออยู่ที่หัวเตียง ก็มองดูเด็กน้อยที่กำลังอยู่ในอาการสลบหมดสติ ในใจของนางก็เกิดความสสารอย่างมาก
แม้กระทั่งนางก็มีการเหม่อลอยชั่วครู่ คิดว่าหากเพียงกุยเอ๋อเกิดขึ้นมาในครอบครัวที่ธรรมดา ตอนนี้จะต้องเป็นเด็กน้อยที่น่ารักอย่างแน่นอน
แต่ตอนนี้ไม่เพียงแต่ระบบประสาทผิดปกติ การได้รับพิษครั้งที่สองในตอนนี้ไม่รู้ว่าหลังจากที่รักษาให้หายดีแล้ว การทำงานของระบบต่าง ๆ บนร่างกายของเด็กน้อยนั้นจะถูกทำลายไปหรือไม่ก็มิอาจทราบได้
ชูเซี่ย จูเก๋อหมิงและหมอหลวงหลันได้ปรึกษาหารือกันอยู่นาน จนในที่สุดก็ตัดสินใจเกี่ยวกับแนวทางในการรักษาเยียวยาได้ อานเหยียนที่ฟังอยู่ด้านข้างของพวกเขาตลอดเวลานั้น เมื่อตอนที่ได้ฟังถึงการปรึกษาหารือในจุดที่สำคัญสายตาก็ล้วนปรากฏประกายที่สว่างไสวขึ้นมา
เมื่อส่งจูเก๋อหมิงและหมอหลวงหลันกลับไปแล้ว ชูเซี่ยก็เพิ่งพบว่าวันหนึ่งวันนี้ใกล้ที่จะสิ้นสุดลงแล้ว นางกำลังต้องการคิดที่จะอาบน้ำแล้วพักผ่อน กลับคิดไม่ถึงว่าเหลียงกวางเสียงรีบร้อนเข้ามาในตำหนักฉ่ายเหว่ย จนทำให้ผู้คนในตำหนักไม่สามารถเข้ามารายงานได้ทัน
ชูเซี่ยมองเหลียงกวางเสียงที่ร้อนรนเข้ามาภายในตำหนัก ไม่เอ่ยกล่าวสิ่งใดออกมา มีเพียงจ้องมองที่เขา
เหลียงกวางเสียงที่ถูกสายตาที่เย็นยะเยือกของชูเซี่ยจ้องมอง ใจที่กระวนกระวายก็เหมือนถูกแช่แข็งไปชั่วขณะ
เมื่อใจเย็นลงแล้ว เขาก็ก้มคารวะต่อชูเซี่ย “ข้าน้อยคารวะนายท่าน”
ชูเซี่ยหัวเราะออกมาเบาๆ กลับล้วนไม่เอ่ยอะไรออกมา ก็หมุนตัวกลับไปนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ไม่ห่างออกไปตัวนั้น
“กุยเอ๋อเขาเป็นอย่างไรบ้าง” เหลียงกวางเสียงมองออกถึงความกรุ่งโกรธภายในสายตาของชูเซี่ย แต่หลายวันที่ล้วนไม่ได้พบหน้าบุตรชาย คิดว่าหากฉ่ายเวินให้คนเรียกตัวออกไป เขาก็ไม่มีทางที่จะควบคุมอารมณืได้ ทั้งยังไม่มีทางที่จะนอบน้อมต่อชูเซี่ย
“ยังคงไม่ได้สติ” ชูเซี่ยบอกอย่างตรงไปตรงมา แต่เพียงนางเพิ่งพูดจบลง ในสายตาของเหลียงกวางเสียงก็ยิ่งดูสิ้นหวังมากยิ่งขึ้น
“เมื่อไหร่ที่เขาสามารถที่จะฟื้นขึ้นมาได้กันหรือ” คำพูดของเหลียงกวางเสียงได้ดูวางอำนาจและบีบบังคับไปแล้ว
“......” ชูเซี่ยไม่รู้ว่าต้องตอบเช่นไรแล้ว นางจึงเอาแต่มองเหลียงกวางเสียงอย่างสงบนิ่ง ไม่พูดอะไรออกมา
นางเข้าใจดีจากการอาศัยการรับรู้โดยสัญชาตญาณว่าแตกต่างกับการที่หลิงกุ้ยท่ายเฟยเชื่อมั่นในตนเอง ว่าเดิมทีแล้วเหลียงกวางหลิงไม่ได้เชื่อในตัวของนาง
“ข้าต้องการที่จะพาบุตรของข้าไป” เมื่อเหลียงกวางเสียงเห็นว่าชูเซี่ยไม่พูดอะไรเลย ก็ยิ่งมั่นใจในความคิดที่อยู่ในใจของตนมากขึ้น
“งั้นก็ดี” ชูเซี่ยไม่แม้แต่ห้ามปราม ในเมื่อนางสามารถที่จะแก้พิษให้กับกุยเอ๋อแล้ว แต่นางก็ไม่แน่ใจว่าหากตนเองไม่เห็นด้วย เหลียงกวางเสียงนั้นจะคิดมากเช่นไร
เหลียงกวางเสียงไม่คาดคิดว่าชูเซี่ยจะเห็นด้วยรวดเร็วเช่นนั้น คนของฉ่ายเวินบอกกับเขาอย่างชัดเจนเองว่าว่าชูเซี่ยชิงตัวนำบุตรชายของเขามาที่นี้เพื่อต้องการใช้ประโยชน์ แต่ตอนนี้....
“เขาอยู่ในห้องที่หนึ่งตรงนั้น เจ้าเข้าไปเถอะ” เมื่อเหลียงกวางเสียงกำลังอยู่ในอาการตกตะลึง ชูเซี่ยก็เอ่ยปากพูดขึ้นมาอีกครั้ง
เหลียงกวางเสียงมองยังชูเซี่ย คิดอยากที่จะพูดอยู่หลายครั้งแต่ก็ล้วนไม่พูดไม่มา เขาเดินเข้าไปในห้องที่ชูเซี่ยชี้ทาง อุ้มกุยเอ๋อที่นอนอยู่บนเตียงขึ้นโอบกอดไว้ในอ้อมแขนแล้วก็เดินออกมา
เห็นว่าชูเซี่ยยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ แต่ในมือมีหนังสือมาเพิ่มขึ้นมาหนึ่งเล่ม เขาเดินผ่านไป แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า “นายท่านข้าขอตัวไปก่อนแล้ว”
“ข้าไม่ส่งแล้วกัน” ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมาจากหนังสือแล้วพยักหน้า พูดจบแล้วก็ก้มลงอ่านหนังสือต่อไป ไม่ได้มีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงใด ๆ ทั้งสิ้น ท่าทางเช่นนี้ของชูเซี่ยทำให้เหลียงกวางเสียงเกิดข้อสงสัยในใจมากขึ้น แต่เห็นชูเซี่ยมีท่าทีเหมือนไม่อยากที่จะพูดมากความกับตนแล้ว สุดท้ายเขาก็ยังคงไม่พูดออะไรออกมา ก็อุ้มบุตรชายจากไป
ชูเซี่ยไม่ได้สนใจว่าเมื่อหลังจากที่เหลียงกวางเสียงเพิ่งจากไป ก็มีเงาร่างเล็กๆ หนึ่งที่ถอยหลังหายตัวไปจากภายในตำหนักฉ่ายเหว่ย
การมาของเหลียงกวางเสียงทำให้ชูเซี่ยประหลาดใจ นางรู้สึกซาบซึ้งเกี่ยวกับการเห็นความสำคัญของเขาที่มีต่อกุยเอ๋อ ทั้งกลับกลัวถึงการเลือกก่อนหน้านี้ของหลิงท่ายกุ้ยเฟย เขาพาบุตรชายไปที่ตำหนักนั้นของฉ่ายเวิน ฉ่ายเวินก็คงกลั่นแกล้งเด็กน้อยผู้น่าสงสารผู้นั้นเป็นแน่
แต่ชูเซี่ยคงคิดไม่ถึงว่าเหลียงกวางเสียงนั้นอาจจะพาตัวบุตรชายไปที่ตำหนักของหลิงท่ายกุ้ยเฟย และตามที่คนของพรรคมังกรเหินกลับมารายงานว่าหลิงท่ายกุ้ยเฟยและเหลียงกวางเสียงทะเลาะกัยอยู่เป็นเวลานาน แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเสียงอะไร
เมื่อตอนเช้าตรู่ของวันที่สองก็มีข่าวเข้ามาบอกว่ากุยเอ๋อได้สติแล้ว อาการก็ยังดีขึ้นเช่นกัน
ในใจของชูเซี่ยจึงรู้สึกดีใจกับกุยเอ๋อ แต่ก็กลับรู้สึกพ่ายแพ้อย่างมากเช่นกัน เมื่อวานคงจะเป็นตอนที่เหลียงกวางเสียงมาที่นี่ก็คงไปนำยาแก้พิษมาจากฉ่ายเวินที่นั้นแล้ว
นางอยากที่จะไปดูเด็กน้อยผู้นั้น ตรวจสอบดูว่ายาแก้พิษของนางเป็นเช่นไรแล้ว แต่คิดถึงสายตาที่ระมัดระวังของเหลียงกวางเสียงแล้ว ในที่สุดนางก็ยังอดกลั้นมันเอาไว้ได้ แต่ไม่รู้ตัวเลยว่าอานเหยียนที่เมื่อวานหายตัวไปได้กลับมาแล้ว เมื่อกลับมาแล้วก็มาคุกเข่าอยู่ที่ด้านหน้าของชูเซี่ย ประพฤติตัวดีขอร้องให้ชูเซี่ยลงโทษตนเอง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า