ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 318

ตอนที่ 318 กลัวความเสีย

เกี่ยวกับการตรวจสอบทางลับใช้เวลาไม่นานก็มีผลรายงานกลับมา จุดจบของเส้นทางลับนั้นแท้จริงแล้วคือตำหนักในของฉ่ายเวิน

แต่ไม่มีผู้ใดยืนยันได้ว่าในพระตำหนักหลันจื่อเคยมีนางข้าหลวงที่ชื่อว่าเสี่ยวเชี่ยน อีกอย่างฉ่ายเวินก็อยู่ในตำหนักโดยใช้เวลาไม่นาน ทั้งหมดนี้ไม่รู้ว่าจะใช้สิ่งใดในการอธิบายเหตุการณ์ที่ดกินขึ้นไปนี้ได้

“ข้าสอบถามคนที่สอดแนมอยู่ในตำหนักแล้ว ล้วนไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ” หลี่ฉางอันเห็นชูเซี่ยขมวดคิ้วอย่างมีข้อข้องใจ ก็เอ่ยต่อไป

ความจริงแล้วไม่ว่าจะเป็นหลี่ฉางอันหรือชูเซี่ยก็ล้วนรู้ดีว่าไม่มีสิ่งผิดปกติที่เป็นสิ่งผิดปกติที่ใหญ่หลวง

“ตรวจสอบต่อไปอีก ขอเพียงคนยังอยู่ในตำหนัก ก็ยังมีความหวัง” ชูเซี่ยไม่รู้ว่าประโยคเมื่อครู่นี้เป็นการปลอบใจหลี่ฉางอันหรือว่าปลอบใจตนเองกันแน่ พวกเข้าล้วนเข้าใจดี เวลาการหายตัวไปของเสี่ยวเชี่ยนนั้นยาวนานขึ้นแล้ว โอกาสที่พวกเขาจะยังพบว่าเสี่ยวเชี่ยนมีชีวิตอยู่ก็ยิ่งเลือนลางออกไป

“เชียนซาน เจ้าไปขอพบเหลียงกวางเสียง แล้วเอ่ยกับเขาว่าข้าอยากรู้ที่อยู่ของหญิงสาวทั้งสิบห้าคนนั้นอยู่ที่ใด” หลี่ฉางอันจากไปนานแล้ว ชูเซี่ยเพิ่งจะหันกลับมาพูดกับเชียนซาน

ในเมื่อก่อนหน้านี้นางเคยพูดไว้ว่าต้องการนำชีวิตของหญิงสาวทั้งสิบห้าคนมาแลกเปลี่ยนกับการที่ตนจะรักษาโรคให้กับกุยเอ๋อ นางล้วนไม่เคยคิดว่าจะต้องทำเช่นนี้จริงๆ แล้ว เดิมความเป็นหมอของนางมีเพื่อรักษาผู้ป่วยช่วยชีวิตคน ไม่ใช่เพื่อทำให้คนทำประโยชน์แก่นาง

แต่ตอนนี้สถานการณ์ได้ฉุกเฉินแล้ว นางไม่อาจที่จะทิ้งเส้นทางสุดท้ายนี้ของตนไปได้

ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว แต่ชูเซี่ยก็ยังหมดหวังไปแล้ว

เพราะคำตอบที่เหลียงกวางเสียงให้กับชูเซี่ยคือ สองวันก่อนฉ่ายเวินได้นำคนทั้งหมดกระจายออกไปแล้ว

“ท่านแม่ ท่านพูดว่ามีชีวิตอยู่ก็เหมือนไม่ได้มีชีวิตอยู่ ทำไมพวกเขาล้วนไปตามหาคน กลับไม่ให้พวกเราออกไปตามหาเพคะ”

ฝาแฝดที่กลับมาจากตำหนักของไท่เฮาเห็นบรรยากาศภายในของตำหนักฉ่ายเหว่ยผิดปกติ ก็พบสาเหตุอยู่ก่อนอย่างเงียบๆแล้ว ดังนั้นเมื่อมาพบชูเซี่ยล้วนมีสีหน้าที่อ่อนลง ท่าทีเหมือนกับถูกชูเซี่ยทอดทิ้ง

“ท่านแม่ เป็นเรื่องราวครั้งที่แล้วของพวกเราที่ทำสำเร็จไม่ค่อยดีใช่หรือไม่ขอรับ ท่านพูดอย่างชัดเจนว่าพวกเราไม่ได้ทำผิด” เห็นจิงโม่เปิดปากออกมา ฉองเหลาก็ไม่ยอมล้าหลัง เมื่อตอนพูดจาก็มีสีหน้าที่เต็มไปด้วยการไม่ได้รับความเป็นธรรม

“เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ใหญ่”

หลังจากที่ครั้งก่อนพวกเขาได้ช่วยเหลือเชียนซานในการไปหยั่งเชิงฉ่ายเวิน หลี่เฉินเย่นได้เคยพูดกับนางแล้ว พวกเขาก็ได้รู้จักบรรลุผลสำเร็จร่วมกันแล้ว พยายามที่จะให้พวกเด็กน้อยนี้รัยู้เรื่องราวของพวกเขาน้อยที่สุด ในเมื่อตัวของพวกเขามีความสามารถที่โดดเด่น แต่ในโลกของผู้ใหญ่กับเต็มไปด้วยสิ่งที่มืดดำและชั่วร้าย โดยเฉพาะฉ่ายเวินและหลี่อวิ๋นลี่ ล้วนไม่ใช่พวกที่มีจิตใจที่ดี

“แต่นี่เป็นเรื่องของเสด็จพ่อและท่านแม่” จิงโม่และฉองเหลาเอ่ยปากพูดเป็นเสียงเดียวกันขึ้น

เมื่อได้ยินเช่นนั้นในใจของชูเซี่ยก็อ่อนลง มองสีหน้าของพวกเขาที่เต็มไปด้วยท่าทางที่อ้อนวอน นางจึงยิ้มแล้วเอ่ยว่า “เช่นนั้นพวกเจ้าไปช่วยข้าตามหาเถอะ ดูว่าที่ใดในตำหนักนี้ขังพี่สาวที่งดงามทั้งสิบกว่าคนนั้นเอาไว้”

“พี่สาวที่งดงามเหล่านั้นเป็นพระมารดาใช่หรือไม่ขอรับ” เมื่อตอนที่จิงโม่เตรียมที่จะบีบมือของฉองเหลาเตรียมแยกจากไป ฉองเหลาก็พลันหันกลับมาเอ่ยขึ้น

“เป็นพระมารดาจริงๆหรือไม่” จิงโม่ก็พลันคิดขึ้นมาเช่นกัน จ้องมองว่าชูเซี่ยจะมองเห็น

ชูเซี่ยตะลึงงันอยู่บางส่วน กำลังคิดถึงพวกเขาผู้ใดที่บอกแก่พวกเขาเรื่องพระมารดาสิ่งที่สับสนวุ่นวายประเภทนี้กัน กลับไม่คิดว่าฉางเหลากุมท้องแล้วเอ่ยกับพี่สาวว่า “พี่สาวข้าปวดท้องเหลือเกิน ข้าต้องไปนอนบนเตียง ไม่สามารถไปตามหาคนได้แล้ว”

“น้องชายเจ้าวางใจเถอะ ข้าจะดูแลเจ้าเอง” จิงโม่เห็นท่าทางของฉางเหลาเช่นนั้น สายตาก็มีบางสิ่งแวบขึ้นมา ประคองฉางเหลาที่แกล้งปวดท้องเดินออกไปด้านนอก

ชูเซี่ยมองบุตรสาวและบุตรชายตรงหน้า ก็เอ่ยขึ้นอย่างจริงจังว่า “พวกเขาไม่ใช่พระมารดาของพวกเจ้า และก็ไม่สามารถเป็นพระมารดาของพวกเจ้าได้ ดังนั้นจงวางใจแล้วไปตามหาก็เพียงพอแล้ว”

“พี่สาวท้องข้าไม่เจ็บปวดแล้ว ไม่จำเป็นให้ท่านต้องดูแลแล้ว” ได้ยินเช่นนั้นความทุกข์ใจบนใบหน้าของฉางเหลาของหลันมองไม่เห็นแล้ว เอ่ยพูดกับจิงโม่อย่างเอาจริงเอาจัง

สีหน้าของจิงโม่ก็ไม่ปรากฏร่องรอยความกังวลที่มีก่อนกน้านี้แล้ว ยิ้มออกมาแล้วเอ่ยว่า “ข้าก็ไม่ได้คิดที่จะดูแลเจ้าหรอก ข้ายังอยากที่จะตามหาพี่สาวที่งดงามเหล่านั้น พบพวกนางแล้วก็จะให้พวกนางทำของอร่อยๆให้กับพวกเรา”

เกี่ยวกับความนับถือระหว่างพี่สาวน้องชายก่อนหน้านี้ก็พลันหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ทั้งสองคนก็ยังจับมือกันแยกจากไป

หลี่เฉินเย่นได้ยินเรื่องราวที่เหล่านางในพูดคุยกัน ตอนค่ำจึงมาพบกับชูเซี่ย ไม่พบคู่แฝดก็รีบเอ่ยถามว่าลูกของชูเซี่ยอยู่ที่ใด

ชูเซี่ยไม่รู้ว่าจะตอบเช่นไรในเวลานี้ ก่อนหน้านี้พวกเขาก็มีเรื่องที่สนใจคล้ายคลึงกัน

ท่าทีของชูเซี่ยทำให้ใจขอหลี่เฉินเย่นล้วนเป็นห่วงขึ้นมา เขาคิดถึงภาพของสองวันก่อนนั้นที่เด็กทั้งสองคนและฉ่ายเวินอยู่ด้วยกันขึ้นมาทันที แค่คิดก็ร่างกายเย็นเชียบชุ่มไปด้วยเหงื่อ

“เจ้าให้พวกเขาออกไปตามหาคนแล้วหรือ ชูเซี่ย เจ้าถือว่าคำพูดของข้าเป็นเพียงลมที่พัดผ่านหูไปใช่หรือไม่ พวกเขายังเป็นเด็กอยู่ ”

หลังจากพบกันอักครั้ง หลี่เฉินเย่นก็มองว่าชูเซี่ยเป็นสิ่งที่ล้ำค่าอยู่ตลอด ล้วนไม่เคยพูดจาเสียงดังกับนาง แต่วันนี้กลับมีอากัปกิริยาที่เสียมารยาทแผดเสียงกับชูเซี่ย

“เฉินเย่น เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เร่งด่วน ข้าคิดว่าการดำเนินการของเด็กน้อยจะสะดวกรวดเร็วกว่าผู้ใหญ่ ทั้งผู้ใดล้วนไม่คิดถึงว่าเด็กสองคนนั้นจะพบกับความลับอันใดเข้าใช่หรือไม่”

ชูเซี่ยก็รู้ว่าหลี่เฉินเย่นได้ร้อนรนแล้ว แต่นางไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว นางไม่สามารถที่จะทำไม่รู้ว่าตัวของหญิงสาวทั้งสิบห้าคนกำลังตกอยู่ในอันตราย แล้วกลับนิ่งเฉยไม่ช่วยเหลือ

“ทหาร ไปนำตัวแฝดทั้งสองคนกลับมาให้ข้าเดี๋ยวนี้” ในตอนที่ชูเซี่ยกำลังอธิบายหลี่เฉินเย่นก็สำนึกได้ถึงความร้อนรนของตนเองแล้ว โดยเฉพาะมองเห็นท่าทีที่ลำบากใจของชูเซี่ย เขาก็ไม่อยากที่จะโมโหใส่นางอีกครั้ง เขาจึงเพียงออกคำสั่งให้คนไปตามหา เขาหวังเพียงว่าตอนนี้คู่แฝดทั้งสองปลอดภัยไม่เกิดเรื่องใดขึ้น

ไม่นานจิงโม่และฉางเหลากูถูกคนนำกลับมา เมื่อพวกเขาเข้ามาในตำหนักก็รู้สึกถึงบรรยากาศที่ผิดแปลกไป ดังนั้นดวงตาของทั้งสองคนจึงมองไปยังชูเซี่ย ทั้งยังมองไปยัหลี่เฉินเย่น สุดท้ายก็ว่านอนสอนง่ายล้วนไม่พูดอะไรออกมา

มองเห็นเด็กน้อยทั้งสองคนล้วนปลอดภัยไม่บาดเจ็บ ใจที่สั่นไหวอยู่ขอหลี่เฉินเย่นก็วางใจลงในที่สุด เขามองเด็กน้อยทั้งสอง แล้วเอ่ยกับชูเซี่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ชูเซี่ย เรื่องราวภายนอกข้าจะเข้ามาจัดการเอง เจ้าดูแลเด็กน้อยพวกเราให้ดีก็พอแล้ว”

“หลี่ฉางอัน เจ้าจัดคนเฝ้าที่ตำหนักฉ่ายเหว่ยให้ดี นอกจากในตำหนักของไทเฮาแล้ว ที่ใดนายน้อยทั้งสองคนก็ล้วนไม่สามารถที่จะออกไปได้ ”

“เสด็จพ่อ ข้าไม่ยอมพี่สาวผู้นั้นที่มีหน้าที่ทำความสะอาดสวนอุทยานบอกกับข้าว่าพรุ่งนี้จะนำเค้กดอกบัวมามอบให้กับข้าขอรับ ”

“เสด็จพ่อข้าไม่ยอม พี่ฮวาเยียนในตำหนักของเสด็จย่าหรงพูดกับข้าว่าพรุ่งนี้จะทำตุ๋นเม็ดบัวให้ข้าเพคะ ”

“เสด็จพ่อ...” แฝดทั้งสองเอ่ยอ้อนวอนเป็นเสียงเดียวกัน ดวงตาทั้งสองคู่ก็กระพริบไปมา คล้ายกับดวงดาวบนท้องฟ้า

เมื่อพลันทั้งสองทำเช่นนั้น หลี่เฉินเย่นก็ล้วนต้องยอมใจอ่อนแล้ว แต่ในที่สุดเขาก็ยังคงบังคับความรู้สึกของตนเอาไว้

หลี่เฉินเย่นไม่กล้าอยู่ในตำหนักฉ่ายเหว่ยอีกต่อไป เพราะความละอายในใจได้มากมายนับไม่ถ้วนได้ แต่ไหนแต่ไรเขาไม่เคยคิดถึงเลยว่าตอนเองจะเป็นบิดาที่ล้มเหลวเช่นนี้ ตอนนี้เขาล้วนไม่มีวิธีที่จะกางมือออกมาปกป้องคุ้มครองภรรยาของตนได้

“ท่านแม่ ข้าไม่อยากอยู่ที่นี่ พวกเราอยากออกไป ข้าพบเส้นทางลับเส้นทางหนึ่งแล้ว ข้าอยากที่จะเข้าไปดู ท่านแม่ ท่านช่วยข้าด้วยนะเพคะ” จิงโม่และฉางเหลาทั้งสองคนเห็นหลี่เฉินเย่นจากไปแล้ว ก็เข้าใจดีว่ามีเพียงชูเซี่ยจะเห็นด้วยแล้ว พวกเขาเพิ่งมีโอกาสออกไป ดังนั้นจึงโอบกอดชูเซี่ยอยู่คนละข้าง

ชูเซี่ยรู้ถึงความกังวลขอหลี่เฉินเย่น ก่อนหน้าที่ให้คู่แฝดไปนางก็กังวลเช่นกัน ตอนนี้เด็กน้อยทั้งสองคนก็ใช้ไม้อ่อนหว่านล้อมไม่หยุด ซึ่งก็คือการจับจุดอ่อนเอาไว้ไม่ปล่อย

“ท่านแม่ ท่านกลัวเสด็จพ่อจริงอย่างที่ข้าคิด เขาพูดไม่ให้พวกเราไป ท่านก็ไม่กล้าพูดแล้ว สตรีที่เป็นเช่นท่านนี้ ช่างน่าผิดหวังเสียแล้ว”

“ท่านแม่ ท่านพ่อเคยพูดว่า เขารักท่านจากใจจริง ดังนั้นท่านปล่อยให้พวกเราไปเขาก็ไม่ด่าว่าท่านหรอก”

“ท่านแม่ ท่านพูดว่าข้าไม่ถือโอกาสที่อายุยังน้อยลงมือทำเรื่องราวเล็กๆน้อย ต่อไปอาจจะไม่สามารถหาลูกสะใภ้ได้”

“ท่านแม่ หากครั้งนี้ท่านไม่ให้ข้าฝึกฝน เติบโตขึ้นไปแล้วก็ไม่มีผู้ใดต้องการนะท่านแม่”

“……”

ชูเซี่ยรู้ดีถึงเจตนาของคู่แฝด ดังนั้นจึงเพียงแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ ปล่อยให้พวกเขาเอ่ยพูดท่านประโยคข้าประโยคไป ยิ่งพูดคำพูดก็ยิ่งออกนอกลู่นอกทาง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า