ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 387

ตอนที่ 387 ความในใจ

“เงื่อนไขเดียวของเราก็คือชีวิตของผู้บริสุทธิ์ เจ้าเพียงแค่นำทหารสามพันนายของแคว้นหนานจ้าวส่งพวกเขากลับแคว้นหนานจ้าวไปโดยที่ไม่มีประชาชนผู้บริสุทธิ์ต้องเดือดร้อนหรือล้มตายก็พอ นอกนั้นเราไม่คิดจะสนใจ” หลี่เฉินเย่นกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง นี่เป็นเพียงหน้าที่สำคัญที่เขามอบให้แก่หลี่ซี่เพียงแค่ข้อเดียวเท่านั้นหากว่าหลี่ซี่ยังไม่อาจทำได้สำเร็จนั่นก็ไม่ใช่ปัญหาของเขาแล้วล่ะ

“กระหม่อมเข้าใจพระประสงค์ของฝ่าบาทแล้วพะย่ะค่ะ กระหม่อมจะทำสุดกำลังความสามารถ ขอเพียงสามารถช่วยเหลือบุตรชายของกระหม่อมกลับมาได้ต่อแต่นี้ไปฝ่าบาทจะให้กระหม่อมบุกน้ำลุยไฟกระหม่อมก็ยินดี” หลี่ซี่คุกเข่าลงเบื้องพระพักตร์ หัวใจของเขาซาบซึ้งตื้นตันในพระเมตตาของฝ่าบาทในครั้งนี้ยิ่งนัก

“เอาล่ะ เจ้าก็กลับไปปลอบใจภรรยาของเจ้าหน่อยก็แล้วกัน กลับไปแสดงให้นางเห็นว่าเจ้าสำนึกผิดแล้ว” แม้ว่าจะพูดเรื่องที่สมควรพูดไปแล้วแต่ใจของหลี่เฉินเย่นก็ยังไม่อาจสงบได้อยู่ดี

“ถ้าอย่างไรฝ่าบาทก็ทรงส่งคนมาลอบสะกดรอยตามกระหม่อมก็ได้พะย่ะค่ะ หากว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกระหม่อมจะได้ส่งข่าวมาให้พระองค์ได้ในทันที” แม้จะดีใจที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยเขาแต่ก็ยังอดตื่นตระหนกไม่ได้ ยามนี้เขาลนลานจนไม่รู้จะทำเช่นไรดีแล้ว

“เราเชื่อใจความรู้สึกของเจ้าที่มีต่อนางหลิวและเชื่อใจว่าเจ้าอยากจะเป็นบิดาที่ดีคนหนึ่ง”

ความจริงแล้วหลี่เฉินเย่นก็ไม่เชื่อใจหลี่ซี่เท่าใดนัก ชายหนุ่มที่ถูกดึงดูดด้วยชื่อเสียงและเงินทองย่อมสามารถแปรเปลี่ยนฝั่งได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่ว่าความสำนักผิดที่หลี่ซี่แสดงออกมาเป็นความจริง ความรู้สึกที่เขามีต่อนางหลิวก็เป็นความจริง เขาก็จะลองเชื่อดูสักครั้งว่าชายผู้นี้คงไม่หลงเดินทางผิดอีกครั้ง

แม้จะไม่ได้พูดออกไปแต่หลี่ซี่ก็มั่นใจอย่างยิ่งมาที่ผ่านมาตัวเขาไม่เคยทำอะไรที่มีค่าพอให้ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยเลยสักครั้งแล้วเหตุใดพระองค์จึงเชื่อมั่นในตัวเขาถึงเพียงนี้กัน แต่นี้เป็นโอกาสที่เขาได้รับจากฮ่องเต้ดังนั้นเขาย่อมต้องทำมันอย่างสุดความสามารถและจงรักภักดีต่อพระองค์จนถึงที่สุด

“วันนี้ตอนเย็นจะเริ่มออกเดินทาง เจ้าจงนำกองทหารสามพันนายส่งไปให้ถึงแคว้นหนานจ้าว ทางที่ดีอย่าให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆในการเคลื่อนทัพครั้งนี้โดยเด็ดขาด โดยเฉพาะเมืองเก้อโจวที่เป็นสถานที่ที่เกิดปัญหาได้ง่าย หากว่าเกิดเรื่องฉุกเฉินขึ้นจริงๆก็จงไปติดต่อชูเซี่ย” หลี่เฉินเย่นโน้มกายลงไปกระซิบกับอีกฝ่ายเสียงเบา หากไม่ใช่ว่าเมืองเก้อโจวมีชูเซี่ยอยู่เขาก็คงไม่สั่งการเช่นนี้

หลี่เฉินเย่นกำลังสังหรณ์ใจว่าเรื่องราวปัญหาทั้งหมดที่เกิดขึ้นกำลังจะก่อตัวเป็นพายุครั้งใหญ่ที่เมืองเก้อโจวในเร็วๆนี้

“กระหม่อมรับทราบ เช่นนั้นกระหม่อมทูลลาพะย่ะค่ะ” หลี่วี่เป็นคนฉลาดเขาย่อมรู้ว่าหลี่เฉินเย่นหมดเรื่องพูดกับตนเองแล้ว

“มื้อเที่ยงก็มาทานกับเราสิ” แม้ว่าเรื่องที่สมควรกล่าวก็ได้กล่าวไปหมดแล้วแต่หลี่เฉินเย่นก็ยังไม่ลืมคำพูดของตนเองก่อนหน้าที่จะเข้ามาในห้องอักษร

“กระหม่อมอยากกลับไปอยู่เป็นเพื่อนนางหลิวก่อนพะย่ะค่ะ เพราะเกรงว่าหากกระหม่อมเดินทางในช่วงเย็นนางจะ...” หลี่ซี่กล่าวอย่างขมขื่น นับตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัยและเข้าอกเข้าใจความลำบากของเขา เขาก็ตั้งมั่นกับตนเองแล้วว่าการเดินทางในครั้งนี้ต่อให้เขาต้องตายก็จะไม่ทำให้ฝ่าบาทต้องผิดหวังในตัวเขาเป็นอันขาด

“ไม่มีสิ่งใดสำคัญไปกว่าชีวิตของตนเอง เจ้ารักษามันให้ดีแล้วกลับมาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับคนที่เจ้ารักและลูกของเจ้าก็พอ” หลี่เฉินเย่นไม่ชอบความรู้สึกขมขื่นเช่นนี้และเขาก็ไม่ได้หวังว่าหลี่ซี่จะทุ่มเทถึงขั้นยอมสละชีวิตตนเองในภารกิจนี้ด้วยเช่นกัน คำพูดที่ออกมาจากปากเขากลับยิ่งทำให้หัวใจของหลี่ซี่ปลื้มปีติยินดีและซาบซึ้งยิ่งกว่าเดิมหลายส่วน

“กลับไปเถิด” หลี่เฉินเย่นไม่คิดที่จะรั้งตัวของหลี่วี่ให้อยู่ต่อ หากว่าพวกเขารักใคร่กันอย่างลึกซึ้งจริงๆการพรากจากกันย่อมเป็นความทุข์ทรมาน ดังนั้นเขาจะให้หลี่ซี่และภรรยาได้ใช้เวลาอยู่ร่วมกันกินมื้อเที่ยงด้วยกันสักหน่อยก็แล้วกัน เพียงแค่คิดถึงนางหลิวที่เสียสติเพราะสูญเสียลูกก็ทำให้เขาอดสงสารเห็นใจนางไม่ได้

ชูเซี่ย ชูเซี่ย ในหัวของเขาพร่ำเรียกแต่ชื่อนางซ้ำแล้วซ้ำเล่า หากว่าเขาไม่ได้เป็นฮ่องเต้ สิ่งที่เขาอยากทำในทุกๆวันกับนางก็คงมีเพียงแค่การได้พร้อมหน้าพร้อมตากินอาหารกับนางในทุกๆมื้อของวันเท่านั้น เพียงเท่านั้นจริงๆ

แต่ในเมื่อเขาไม่อาจเก็บนางไว้ข้างกายได้สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำก็มีเพียงเฝ้าคิดถึง ห่วงหาและเป็นกังวลเรื่องของนางเท่านั้น

ด้านของหลี่ซี่ที่กำลังถูกหลี่เฉินเย่นนึกอิจฉาแท้จริงแล้วตัวเขาเองก็ไม่มีโอกาสได้กินอาหารกับฮูหยินของตนเองเลยสักมื้อเช่นกัน เพราะว่านางหลิวจะคุ้มคลั่งเสียสติทุกคลั่งที่เขาเข้าไปใกล้นาง ทันทีที่เห็นเขานางก็เอาแต่พุ่งเข้ามาวังจะฉีกร่างเขาออกเป็นเชิ้นๆเสียให้ได้

แต่แม้จะรู้เรื่องนี้อยู่แล้วหลี่ซี่ก็ยังเข้าไปหานางหลิวที่เรือนพักอยู่ดี

ถึงแม้ว่านางหลิวจะเสียสติไปแล้วแต่สาวใช้ในเรือนก็ไม่มีผู้ใดกล้าละเลยหน้าที่ของตน ภายในเรือนพักของนางหลิวได้รับการทำความสะอาดจนสะอาดสะอ้าน ยามนี้นางหลิวกำลังอยู่ที่บันไดหินข้างสระน้ำ สายตาของนางทอดมองไปยังปลาที่กำลังว่ายน้ำไปมาในสระอย่างสงบสุข

หากเพียงแค่เขาไม่ย่างกรายเข้าไปใกล้นางภาพตรงหน้าก็เป็นภาพที่งดงามและรื่นรมที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมา หลี่ซี่ไม่กล้าขยับเท้าเข้าใกล้ ชายหนุ่มมองไปที่นางจากที่ไกลๆด้วยสายตาที่โศกเศร้า

หากเพียงเขาไม่ละโมบไม่ขวนขวายหาชื่อเสียง ชีวิตของเขายามนี้จะสุขสมบูรณ์เพียงใดนะ แต่ตอนนี้...

หลี่ซี่ไม่กล้าเข้าไปรบกวนนาง เขาเอาแต่จ้องมองนางจากตรงนี้ จากที่ไกลๆ แต่นึกไม่ถึงว่าหญิงสาวในภาพฝันอันงดงามของเขากลับได้ยินเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของหลี่ซี่ ทันทีที่นางหันกลับมาพบเขาดวงตาก็ฉายแววเคียดแค้นก่อนที่น้ำตาจะไหลทะลักออกมาจากดวงตาอย่างไม่ขาดสาย

หลี่ซี่รีบถลาเข้าไปหานาง น้ำตาของนางเป็นเหมือนมีดที่ที่กรีดใจเขาจนเจ็บปวดไปหมด

“เยนเอ๋อ” หลี่ซี่เอ่ยปากเรียกหญิงสาวตรงหน้า หากเป็นเมื่อก่อนคำเรียกขานแสนหวานจากชายหนุ่มตรงหน้าคงทำให้นางหวานซึ้งแต่บัดนี้มันกลับกลายเป็นความขมขื่นไปเสียแล้ว

นางหลิวที่ได้ยินคำเรียกขานของอีกฝ่ายก็ตวัดสายตากลับมองด้วยความความขุ่นเคือง นอกจากความเกลียดชังที่ฉายชัดในดวงตาแล้วยังมีความเย็นชาห่างเหินเจือปนอยู่ในนั้นอีกด้วย ราวกับว่าหัวใจของนางที่เคยมอบให้เขามันได้สูญสลายไปหมดแล้ว หญิงสาวผลักไสเขาออกไปให้ไกลแต่สุดท้ายก็ถูกหลี่ซี่รวบร่างเข้าสู่อ้อมกอด

นางจ้องมองหลี่ซี่อย่างเดือดดาลก่อนจะกรีดร้องออกมา “เจ้ามันหัวขโมย ไสหัวไปนะ เป็นเจ้าที่ขโมยลูกของข้าไป ไสหัวไปให้พ้น!”

หากเป็นยามปกติหลี่ซี่ก็คงยอมล่าถอยแต่โดยดีเพราะความเจ็บปวดทรมานของนางมันทำให้เขาละอายใจและรู้สึกผิดต่อนางเหลือเกิน

แต่ว่าวันนี้เขาไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เขากลัวเหลือเกินว่าหากเขาไปจากนางในวันนี้เขาอาจจะไม่ได้พบกับนางอีกตลอดไป

หลี่ซี่จ้องมองท่าทางสับสนเกรี้ยวกราดของฮูหยินตนเองก็เอื้อมมือมานวดคลายปมที่หัวคิ้วของนางก่อนเอ่ยอย่างอ่อนโยนข้างหู “เยนเอ๋อ ข้าไม่ใช่หัวขโมย ข้าไม่ใช่คนชั่วร้าย ข้าคือหลี่ซี่ของเจ้า เป็นสามีของเจ้า เป็นบิดาของลูกเรา”

หลังจากที่หลี่ซี่กล่าวจบเขาก็ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้านาง เขาไม่กล้ามองสบสายตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของนาง หลี่ซี่ได้แต่โอบกอดร่างที่สั่นสะท้านด้วยแรงสะอื้นของนางไว้แน่น

หลี่วี่คิดว่าที่ตัวของนางสั่นสะท้านถึงเพียงนี้เป็นเพราะกำลังตกใจและตื่นกลัวแต่มีเพียงหลิวเยนเท่านั้นที่รู้ดีว่าตัวของนางสั่นเพราะนางกำลังเจ็บปวดและทุกข์ใจอย่างมาก

“ลูกของข้าไม่อยู่แล้ว สามีก็ไม่อยู่แล้ว ข้าไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ไม่เหลืออะไรเลย ข้า...”หลิวเยนที่อยู่ในอ้อมกอดร้องให้และกรีดร้อง ตัวนางในยามนี้เหมือนกับนกอินทรีย์ที่สูญเสียลูกนกของตนเอง เหมือนดอกไม้ที่ไร้ซึ่งกลีบดอก นางในตอนนี้ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว

“เยนเอ๋อ เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า ข้าผิดไปแล้ว ข้าทำผิดต่อเจ้าใหญ่หลวงเหลือเกิน แต่ตอนนี้ตัวข้าไร้ความสามารถที่จะย้อนกลับไปแก้ไขเรื่องราวต่างๆได้อีกแล้วแต่ข้าจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ลูกของเราได้อยู่ต่อไปเพราะข้ารู้ดีว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับเขาเจ้าก็ไม่อาจอยู่ต่อไปได้ ดังนั้นเจ้าวางใจเถิดถึงแม้ว่าต้องแลกด้วยชีวิตข้าก็จะต้องปกป้องลูกของเราให้ได้ เยนเอ๋อ ข้าอาจจะไม่เคยบอกให้เจ้าได้รู้ แต่ข้ารักเจ้านะเยนเอ๋อ”

ยามที่หลี่ซี่พูดถึงความในใจของตนเองเขาไม่แม้แต่จะพูดถึงเรื่องที่ยามนี้หลิวเยนเสียสติเลยสักคำเพราะสำหรับเขาแล้วหลิวเยนหาใช่หญิงสาวที่เสียสติไม่ สำหรับเขาไม่ว่าเมื่อใดนางก็ยังคงเป็นภรรยาของเขา ภรรยาที่เขารักสุดหัวใจ

“หากว่าครั้งนี้ข้าโชคดีรอดชีวิตกลับมาได้ ข้าจะดีต่อเจ้าให้มากกว่านี้แต่หากว่าข้าต้องละทิ้งชีวิตไว้ที่นั่นข้าก็จะให้คนส่งลูกของเรากลับมาให้เจ้า เมื่อถึงตอนนั้นข้าอยากให้เจ้าและลูกตามหาคนดีๆสักคนและแต่งกับเขา ใช้ชีวิตต่อไปให้ดี เจ้าเป็นสาวงามถึงเพียงนี้สวรรค์ไม่มีวันใจร้ายกับเจ้าแน่ดังนั้นจากนี้ไปข้าขอให้เจ้าพบแต่ความสุขในชีวิตนะ” หลังจากที่หลี่ซี่กล่าวจบเขาก็ค่อยๆปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาช้าๆ

เขาปรารถนาให้นางมีความสุขแต่เขาก็ยังอยากให้ความสุขในภายถาคหน้าของนางมีเขารวมอยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน

แต่เขาก็รู้ดีว่านับตั้งแต่ที่เขาเลือกเดินเส้นทางผิดเขาก็หมดโอกาสที่จะได้เดินร่วมทางกับนางอีกแล้ว เส้นทางรักที่เขาและนางจะได้เดินจูงมือกันไปจนแก่เฒ่า

ยามที่หลี่ซี่พูดออกไปเขาไม่ได้ก้มลงมองดูหญิงสาวในอ้อมกอดของตนเอง ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่มีโอกาสได้เห็นว่ายามนี้สีหน้าของหลิวเยนนางสงบและอ่อนโยนลงมากเพียงใด นางในตอนนี้แทบไม่เหลือเค้าของหญิงสาวที่สติฟั่นเฟือนที่ผ่านมาราวกับเป็นคนละคน

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า