ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 388

ตอนที่ 388 แม่ลูกพบหน้า

วันนี้สีหน้าท่าทางของหลิวเยนดูสงบลงมาก กระทั่งกับหลี่ซี่นางก็ว่าง่ายและอ่อนโยนลงไม่ได้ผลักไสสามีของตนเองอย่างเคย นางปล่อยให้เขาโอบกอดร่างของนางไว้ในอ้อมแขนและระบายความในใจของตนเองออกมา

เพียงแค่บอกรักและน้ำตาของเขาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้หญิงสาวในอ้อมแขนเลิกแข็งขืนและต่อต้าน

นับตั้งแต่ที่เขาส่งลูกของนางไปให้ผู้อื่นหญิงสาวในอ้อมกอดของเขาก็ไม่หลงเหลือร่องรอยของความอ่อนหวานอย่างที่เคยเป็นอีกแล้ว หลี่ซี่ลูบแผ่นหลังของนางแผ่วเบา ในหัวของเขายังมีคำพูดอีกมากมายกล่าวอย่างไรก็ไม่หมดแต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูด

เพราะเขารู้ว่าตอนนี้อะไรๆก็ล้วนสายไปแล้ว ยามนี้ไม่ว่าเขาพูดอะไรออกไปนางก็ไม่อาจเข้าใจเขาได้อีกแล้ว

ต่อให้เขาจะแสดงท่าทางหรือพูดว่ารู้สึกผิดมากเพียงใดมันก็ไม่มีวันลบล้างความรู้สึกทรมานที่หลิวเยนได้รับแม้แต่เสี้ยวเดียว

“เยนเอ๋อ ได้โปรดเชื่อข้า ครั้งนี้ข้าจะพาเสี่ยวเป๋ากลับมาให้ได้ เจ้าเชื่อข้านะ” หลี่ซี่เอ่ยคำมั่นสัญญาต่อหญิงในอ้อมกอด

“เสี่ยวเป๋า เสี่ยวเป๋า เสี่ยวเป๋าของข้าถูกคนชั่วเอาตัวไปแล้ว เสี่ยวเป๋าของข้า”หลิวเยนที่สงบอยู่นานเมื่อได้ยินชื่อของลูกชายก็เริ่มโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง

หลี่ซี่รู้สึกปวดใจอย่างมาก เขาไม่มีวันลืมว่าวันที่เขานำลูกไปให้แก่ฉ่ายเวินวันนั้นหลิวเยนยังบอกเขาว่าให้เขาคิดชื่อลูกชายของตนเองเอาไว้ด้วย

แต่วันนั้นเขาไม่ได้พาเสี่ยวเปากลับมาดังนั้นจึงไม่เคยตั้งชื่อให้ลูกชายของตนเอง ต่อมาหลิวเยนก็เสียใจจนเสียสติ ปากของนางก็เอาแต่เรียกลูกของตนเองว่าเสี่ยวเป๋า

แม้หัวใจจะไม่ยินยอมแต่สุดท้ายหลี่ซี่ก็จำต้องจากไป สิ่งที่เขาไม่มีวันรู้ก็คือในทันทีที่เขาจากไปหญิงสาวที่ควรจะเสียสติก็มีสีหน้าที่สงบอย่างประหลาด นางค่อยๆลุกขึ้นจากขั้นบันไดหินและเดินกลับเข้าห้องนอนตนเองไปโดยที่คืนนั้นทั้งคืนนางก็ไม่ได้กลับออกมาอีกเลย

นับตั้งแต่หลิวเยนเสียสติหญิงสาวก็มักจะเก็บตัวเงียบๆอยู่คนเดียวภายในห้องจึงไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่าฮูหยินน้อยที่เสียสติจะหายตัวไป

“รีบส่งขาวไปหาคุณชาย แจ้งว่า...ฮูหยินน้อยล้มป่วยให้เขากลับมาดูอาการนางหน่อย” ฮูหยินชราที่เห็นสาวใช้ในจวนวุ่นวายกับการตามหาฮูหยินน้อยก็พยายามคิดหาหนทางอยู่นานสองนาน สุดท้ายนางก็สั่งให้บ่าวในจวนส่งจดหมายแจ้งแก่หลี่ซี่เป็นดีที่สุด

ผู้อื่นอาจจะดูไม่ออกแต่ในสายตาหญิงชราอย่างนาง นางดูออกว่าหลี่ซี่รักภรรยาของตนเองมากเพียงใด

ยามนี้หลี่ซี่เพิ่งจะออกไปจากจวนฮูหยินน้อยก็หายตัวไปทันที พวกเขาไม่รู้จะแก้ตัวกับคุณชายของพวกตนอย่างไรดี

ฮูหยินชรารู้ว่าหลี่ซี่เดินทางครั้งนี้เพราะหน้าที่ที่ฝ่าบาทมอบหมายให้ทำแต่เรื่องของหลิวเยนพวกเขาไม่อาจปิดบังหลี่ซี่ได้ เพราะหากว่าเขารู้เข้าภายหลังจะต้องไม่มีวันให้อภัยมารดาอย่างนางแน่

คล้อยหลังของบ่าวรับใช้ที่นางใช้ให้เร่งส่งจดหมายไปหญิงชราก็ร้องไห้ออกมาอย่างไม่อาจอดกลั้น เดิมทีทุกอย่างดำเนินไปด้วยดีแท้ๆ เดิมทีพวกเขายังเป็นครอบครัวที่อบอุ่นแท้ๆ แล้วเหตุใดจึงกลับกลายเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า

แต่นี่เป็นสิ่งที่หลี่ซี่ตัดสินใจเลือกเอง แม้ว่าต่อมาชายหนุ่มจะรู้ตัวและสำนึกผิดแล้วแต่ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้อยู่ดี สงสารก็แต่หญิงสาวอย่างหลิวเยนที่รักลูกของนางอย่างหมดหัวใจคนนั้น

“รีบตามหาเร็วเข้า นางเป็นเพียงหญิงสาวตัวคนเดียวทั้งยังสติเลอะเลือนคงยังไปไหนไม่ได้ไกล ต้องตามหานางให้ได้” ฮูหยินชราสั่งสาวใช้และบ่าวของตนให้รีบกระจายกันออกตามหาก่อนจะหันกลับมากล่าวกับสาวใช้ประจำตัวนาง “พวกเราไม่จวนตระกูลกัน บางทีนางอาจจะกลับบ้านก็เป็นได้”

หลิวเยนพอจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าการที่จู่ๆนางก็หนีออกมาจากตระกูลหลี่จะทำให้ทุกคนตื่นตระหนกกันมากเพียงใด ตัวนางเองก็ไม่อยากจะให้ฮูหยินชราเป็นห่วงนางแม้แต่น้อย แต่นางต้องออกมา เพื่อเสี่ยวเป๋าของนาง นางจำเป็นต้องหนีออกมาแค่คนเดียวไม่อาจให้ผู้อื่นรู้ได้

นางไม่ได้เสียสติ จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้นางอาจเกือบเสียสติไปเช่นกัน แต่ทันทีที่นางได้ยินข่าวของเสี่ยวเป่านางก็หาย

คนผู้นั้นบอกกับนางว่าขอเพียงหลี่ซี่ว่าง่ายเชื่อฟัง พวกเขาก็จะปล่อยเสี่ยวเป่ากลับมาหานาง

แม้ว่านางหลิวจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงบัลลังก์แต่นางก็เคยได้ยินหลี่ซี่กล่าวถึงเรื่องนี้อยู่บ้างและนางก็มั่นใจอย่างยิ่งว่าคนคนนั้นเป็นฝ่ายตรงข้ามกับฮ่องเต้อย่างแน่นอน

นางรู้จักหลี่ซี่ดีเกินไป นางรู้ดีว่าเขาจงรักภักดีต่อฝ่าบาทมากแค่ไหน หากให้เลือกข้างหลี่ซี่ย่อมเลือกอยู่ฝั่งของฮ่องเต้อย่างไม่สงสัย

ในวันนี้ที่ฝ่าบาททรงมีรับสั่งให้เขาเข้าเฝ้า ด้วยนิสัยของหลี่ซี่แล้วเขาจะต้องเล่าเรื่องที่หลี่อวิ่นลี่จับลูกชายเขาเป็นตัวประกันให้ฝ่าบาททรงทราบแน่และนางเชื่อว่าพวกเขาก็คงวางแผนการอะไรบางอย่างไว้แล้ว

นางรักหลี่ซี่มาก มากจนนางรู้จักเขาเหมือนกับที่รู้จักตนเองด้วยซ้ำ นางรู้ว่าครั้งนี้หลี่ซี่ไม่มีทางช่วยลูกชายของเขาและนางกลับมาได้

ความหวังสุดท้ายที่นางมีต่อหลี่ซี่ไม่เหลืออีกแล้ว ระหว่างครอบครัวและบ้านเมือง ผู้ชายคนนั้นเลือกบ้านเมืองอย่างไม่ลังเลทั้งยังละทิ้งนางและลูกอย่างไม่ใยดี

หัวใจของนางแทบแหลกสลาย นางนึกไม่ถึงว่าความรักที่นางเฝ้าทนุถนอมอย่างเต็มกำลังวันหนึ่งมันจะกลายเป็นดาบที่ย้อนกลับมาแทงนางได้อย่างสาหัสถึงเพียงนี้

เป้าหมายของนางก็คือหลางฟงติ่งโดยในครั้งนี้มีสาวใช้ในจวนหลี่ที่เคยส่งจดหมายแจ้งข่าวลูกชายของนางเป็นผู้นำทาง

หลิวเยนถึงกับตะลึงงันอย่างคาดไม่ถึงว่านางจะมีโอกาสได้พบกับหลี่อวิ่นลี่ที่เขาเล่าลือกัน

หลี่อวิ่นลี่อยู่ในชุดอาภรณ์สีแดงสดทั้งยังแต่งแต้มเครื่องประทินโฉมบนเปลือกตาเป็นสีม่วง เส้นผมสีดำยามที่ล้อมกรอบหน้าก็ถูกประดับไปด้วยเครื่องประดับหรูหราล้ำค่าแม้กระทั่งเล็บของเขาก็ถูกทาเป็นสีม่วงเช่นเดียวกัน

หลิวเยนยืนแข็งค้างทำอะไรไม่ถูก ข่าลือเกี่ยวกับหลี่อวิ่นลี่ที่นางได้ยินมาดูห่างไกลกับหลี่อวิ่นลี่ที่อยู่ตรงหน้านางมากเหลือเกิน นางได้แต่ก้มหน้าก้มตาไม่กล้ามองชายที่อยู่ตรงหน้านาง

หลี่อวิ่นลี่กระตุกยิ้มก่อนจะตวัดสายตากลับมามองหลิงเหยียน ดวงตาของหลี่อวิ่นลี่เย็นยะเยือกเสียจนทำให้ผู้ที่พบเห็นต่างก็สั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว

“ทำไมหรือ คิดไม่ถึงสินะว่าข้าจะยังเป็นชายรูปงามถึงเพียงนี้ ผิวพรรณพวกนี้อย่างไรก็ได้มาจากบิดามารดา ข้าเองก็เป็นเชื้อพระวงศ์ก็คงไม่ได้แตกต่างจากผู้ที่นั่งอยู่บัลลังก์ตอนนี้มากเท่าใดหรอก” เดิมทีคิดว่าหลังจากที่ได้หลี่อวิ่นลี่ได้ยินข่าวที่ไปสืบมาเข้าจะอารมณ์ไม่ดีแต่ดูเหมือนว่าเขาจะอารมณ์ดีมากเสียจนมีกระจิตกระใจเยินยอตนเองเสียด้วย

หลิวเยนยังคงไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาตอนนี้นางกำลังสับสนอย่างหนัก นางไม่เข้าว่าบุรุษผู้ทรงอำนาจในข่าวลือจะกลายมาเป็นคนที่พิลึกพิลั่นและหลงตัวเองเช่นนี้ไปได้อย่างไร

“ข้าไม่ได้กินคนเป็นอาหารเสียหน่อย เหตุใดจึงไม่กล้าเงยหน้ามองข้าเล่า” หลี่อวิ่นลี่ปรายตามองหลิวเยนเล็กน้อยก็จะหันกลับมาให้ความสนใจนิ้วมือของตนเองต่อ

“เกรงว่าหลี่ซี่คงนำเรื่องลูกของข้าและเขาทูลแก่ฝ่าบาทแล้วเจ้าค่ะ ข้า...”หลิวเยนกล่าวถึงตรงนี้ก็ไม่ก้ากล่าวต่อไปอีก เรื่องการทำงานของหลี่ซี่นางไม่สนใจ การที่นางมาถึงที่นี่ก็เป็นเพราะนางอยากพบลูกชายของนางเท่านั้นจากนั้นก็ค่อยหาวิธีช่วยลูกของตนออกไป

“เจ้าสามารถทำให้เขาเชื่อฟังข้า?” หลี่อวิ่นลี่กล่าวขึ้นโดยไม่มองไปทางหลิวเยนแม้แต่น้อยแต่คำพูดของเขาก็ทำให้นางถึงกับนิ่งงันไป

“หากคิดหาวิธีได้แล้วค่อยมาบอกข้าก็แล้วกัน ตอนนี้ข้ายุ่ง” หลี่อวิ่นลี่กล่าวจบก็ลุกขึ้นยืนและเดินจากไปทิ้งไว้เพียงหลิวเยนที่ได้แต่มองตามเบื้องหลังของอีกฝ่าย แต่จู่ๆนางก็พลันรวบรวมความกล้าตะโกนขึ้นมา “ให้ข้าได้พบลูกก่อนแล้วข้าจะหาวิธีให้เขาเชื่อฟังท่าน”

คำพูดของหลิวเยนทำให้หลี่อวิ่นลี่ชะงักก่อนจะหันกลับมามองนาง “ข้าจะให้คนนำเด็กมา หลังจากที่เจ้าได้พบเขาแล้วก็ทำตัวว่าง่ายด้วยเล่า ไม่เช่นนั้นเด็กคนนี้คงตายอนาถน่าดู”

หลิวเยนมองเห็นแววตาอำมหิตของหลี่อวิ่นลี่ก็หวาดกลัวจนต้องพยักหน้ารับอย่างจริงจัง

หลี่อวิ่นลี่พยักหน้าอย่างพอใจก่อนจะสั่งให้คนไปอุ้มตัวเด็กมาตามคำขอร้องของนาง ยามนี้เด็กน้อยของนางอายุสองปีแล้ว เสื้อผ้าที่เขาสวมใส่ก็ไม่พอดีตัวอีกทั้งใบหน้ายังเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบดินโคลน เด็กชายตัวน้อยใช้ดวงตาที่เหมือนผลองุ่นน้อยๆนั้นมองมาทางหลิวเยนด้วยแววตาที่เปล่งประกาย

หลิวเยนคุกเข่าลงกับพื้นจ้องมองลูกน้อยของนางพลางเอื้อมมือที่สั่นเทาของตนเองหมายจะลูบไล้แก้มกลมอมชมพูนั่น แต่ดูเหมือนเด็กน้อยจะหวาดกลัวคนแปลกหน้าอย่างนางจึงไม่ยอมให้เข้าใกล้ทั้งยังใช้สายตาหวาดกลัวมองที่นางอีกด้วย

“เด็กน้อย ข้าคือแม่ของเจ้าอย่างไรเล่า ข้า...”หลิวเยนอยากบอกเขาเหลือเกินว่านางเป็นแม่แท้ๆของเขาแต่นางก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรต่อไปเพราะในส่วนลึกของจิตใจนางบอกนางว่านางไม่มีคุณสมบัติใดที่เหมาะแก่การเป็นมารดาของเด็กคนนี้ได้เลยแม้แต่น้อย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า