ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 51

ตอนที่ 51 ลองยาเอง

ตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาชูเซี่ยไม่ได้หลับแม้แต่น้อย เนื่องด้วยนางพบตำราเล่มหนึ่งที่ชื่อว่าคัมภีร์ร้อยพิษ ตำราเล่มนี้มีจำนวนหน้าไม่น้อย อาจเป็นเพราะเนื้อหาในตำราดูไม่ค่อยจะเกี่ยวข้องกับการรักษาทางการแพทย์เท่าใดนักทำให้จูเก๋อหมิงไม่ได้ศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับมันมากนัก เพราะตอนที่นางเลือกตำรามาอ่านเขายังแนะนำให้นางเอาตำราเล่มนี้ออกเสียด้วยซ้ำ

แต่ชูเซี่ยก็ไม่ได้นำมันออก ทั้งนางยังนั่งศึกษามันทั้งคืนเสียด้วย แม้ว่าตำราเล่มนี้จะมีจำนวนหน้าไม่ใช่น้อยทว่านางกลับไม่ได้สนใจจำนวนหน้า หญิงสาวทำเพียงอ่านเนื้อหาไม่ได้สนใจจำนวนหน้ากระดาษ แต่เนื่องด้วยตำราเล่มนี้ไม่ใช่ตำราที่ใช้วิธีการพิมพ์แบบในยุคของนางแต่เป็นการเขียนมือทำให้ในทุกครั้งที่นางเปลี่ยนหน้ากระดาษจึงมีเนื้อหาบางส่วนที่ขาดตอนไม่เชื่อมโยงกัน มีบางส่วนที่นางสงสัยและไม่ว่าจะทำเช่นไรก็ไม่อาจเข้าใจได้ ทว่านางก็ทำเช่นที่จูเก๋อหมิงเคยทำ นั่นคือการอ่านข้ามไปเสียก่อน

เมื่ออ่านไปสักพักเสียงไก่ขันก็ดังบอกเวลารุ่งสาง ชูเซี่ยก็ค้นพบความลับบางอย่างที่อยู่ในตำราเล่มนี้จนไม่อาจอยู่เฉยได้จนต้องกระโดดลุกขึ้นมาจากเตียง หญิงสาวหอบตำราไว้ในอ้อมแขนก่อนจะวิ่งออกจากเรือนไปโดยมีเป้าหมายคือที่อยู่อาศัยของจูเก๋อหมิง เมื่อมาถึงที่หมายเหล่าบ่าวรับใช้ก็ไม่อาจห้ามนางอยู่เพราะนางดื้อแพ่งที่จะฝ่าเข้าไป ในขณะนั้นเองจูเก๋อหมิงที่กำลังผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเขาเห็นนางบุกเข้ามาก็รีบร้อนวิ่งเข้าไปหลบอยู่หลังฉากกั้นทันที “อ๊ะ ท่านอย่าเพิ่งเดินเข้ามานะ”

ชูเซี่ยนางไม่สนใจเดินเข้าไปหลังฉากกั้นก่อนจะลากตัวชายหนุ่มออกมาจากนั้นก็กางตำราไว้บนโต๊ะ นางกดร่างสูงของเขาให้นั่งลงก่อนจะเอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “ท่านลองนำหน้าที่หนึ่งร้อยสี่สิบเจ็ด สองร้อยห้าสิบแปด และสามร้อยห้าสิบเก้ามาอ่านรวมกันดูเถิด จากนั้นก็นำหน้าสิบสี่มารวมกับหน้าเจ็ด จากนั้นก็กลับไปอ่านหน้าสองและกลับไปอ่านหน้าห้าอีกครั้งดู”

จูเก๋อหมิงจัดแจงเสื้อผ้าที่ถูกนางดึงกระชกให้เรียบร้อย แต่ไหนแต่ไรมาสุภาพชนเช่นเขาก็อ่อนโยนเรียบร้อยราวกับหยก

เนื้อเนื้อดี ไฉนเลยจะเคยพบเจอเรื่องที่เสียมารยาทเช่นนี้ แต่ทว่าเมื่อฟังคำพูดของนางเขาก็เลือกที่จะมองข้ามเรื่องมารยาทไปเสียก่อน ชายหนุ่มก้มหน้าอ่านตำราตามที่นางเอ่ยมาก่อนจะตื่นตระหนก “สวรรค์ ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้เองหรือนี่”

ทั้งสองรีบร้อนเดินไปนั่งที่ตั่งยาวมุมห้องก่อนจะศึกษาตำราอย่างละเอียด จูเก๋อหมิงตื่นเต้นอย่างยิ่ง “สวรรค์ ในโลกนี้มีพิษเช่นนี้อยู่ด้วยจริงๆน่ะหรือ ทั้งวิธีการแก้พิษก็ช่างน่าอายยิ่ง” วิธีการรักษาโดยใช้อุจจาระของคนมาทำเป็นตัวยาทำให้เขาทั้งตระหนกและประหลาดใจในคราวเดียว

ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “ตำราแพทย์โอสถของหลี่สือเจินก็มีการกล่าวถึงการใช้อุจจาระคนทำตัวยา มีอะไรน่าแปลกกัน”

“ตำราแพทย์โอสถคืออะไรหรือ คือตำราประเภทเช่นใดกัน” จูเก๋อหมิงเป็นผู้ร่ำเรียนวิชาการแพทย์จึงให้ความสนใจอย่างยิ่ง

ชูเซี่ยตะลึงงัน “ท่านไม่รู้จักตำราแพทย์โอสถหรือ” ในช่วงเวลาเช่นนี้ยังไม่มีการกล่าวถึงอีกงั้นหรือ ตกลงยุคนี้คือยุคสมัยใดกันแน่นะ นางนึกมาตลอดว่าราชวงศ์นี้อาจจะอยู่ห่างจากแผ่นดินใหญ่แต่เมื่อลองนึกดูให้ดีแล้วยามนี้เมืองหลวงที่นางอาศัยอยู่ก็เป็นภาคกลางไม่ได้ห่างไกลจากแผ่นดินใหญ่เช่นที่นางคิดไว้ ถ้าเช่นนั้นตกลงว่านี่เป็นยุคสมัยใดกันแน่นะ จะมีตำราเล่มใดกล่าวถึงยุคสมัยที่นางอยู่นี้บ้างหรือไม่นะ

“ข้าไม่ทราบ ไม่เคยได้ยินมาก่อน” จูเก๋อหมิงรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย ฟังจากที่นางกล่าวมาแสดงว่าผู้ที่ร่ำเรียนวิชาการแพทย์ต่างก็รู้จักตำราเล่มนั้นแต่เขากลับไม่เคยศึกษามันมาก่อน นั่นทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเสียชื่อหมอเทวดาของตนเหลือเกิน

ชูเซี่ยกลบเกลื่อน “หากไม่เคยผ่านตามาก่อนก็ช่างเถิด ไว้วันหลังข้าจะหาให้ท่านก็แล้วกัน” แน่นอนว่ายุคสมัยนี้ไม่มีทางจะมีตำราเล่มนี้อยู่ได้อยู่แล้ว แม้ว่านางจะเป็นคนความจำเป็นเลิศเพียงไหนแต่นางก็ไม่มีความสามารถมากพอที่จะเขียนมันออกมาได้

“ดี เจ้าก็รีบหาให้ข้าโดยเร็วด้วยเถิด” จูเก๋อหมิงร้อนใจอย่างมาก

ทั้งสองก้มหน้าก้มตาศึกษาตำราอีกครั้ง ในทุกครั้งที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพบเห็นจุดที่น่าสงสัยหรือประหลาดใจตรงไหนก็จะส่งเสียงประหลาดใจออกมา ชูเซี่ยคิดในใจ ‘ตำราเล่มนี้หากตกอยู่ในมือของคนชั่วคงสามารถคร่าชีวิตคนได้อย่างง่ายดายนัก’

ทั้งคู่ต่างตกอยู่ในภวังค์ของตนทำให้ไม่มีผู้ใดรับรู้ถึงการมาถึงของหลี่เฉินเย่น

ล้อรถเข็นของเขายามนี้ถูกหุ้มด้วยหนังอย่างดีจึงไม่ได้ส่งเสียงกุกกักทั้งยังส่งเสียงเบามาก ยามที่ล้อเคลื่อนที่ก็เพียงส่ง

เสียงออกมาแผ่วเบาเท่านั้น

น้ำเสียงเย็นชาของเขาที่ดังอยู่ด้านหลังของทั้งสองคนช่างเย็นยะเยือก “พวกเจ้าทำอะไรกันอยู่”

ในยามนี้จูเก๋อหมิงอยู่ในสภาพไม่เรียบร้อยทั้งมือของชูเซี่ยยังวางอยู่บนไหล่ของหมอหนุ่ม ศีรษะของทั้งสองอยู่ใกล้ชิดกันอย่างยิ่ง เมื่อได้ยินเสียงทั้งคู่ต่างก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกันพร้อมทำหน้าตาแตกตื่น

จูเก๋อหมิงเพิ่งจะได้รับรู้ว่าตัวเองแต่งกายไม่เรียบร้อยก็รีบร้อนจัดแจงเสื้อผ้าของตนให้เข้าที่เข้าทางพลางเอ่ยแก้ตัวไปด้วย “เจ้าอย่าได้เข้าใจผิดไป พวกข้าเพียงแค่อ่านตำราก็เท่านั้น”

“อ่านตำรางั้นหรือ” หลี่เฉินเย่นปรายตามองมาที่ชูเซี่ยด้วยสายตาเย็นเยียบ “ช่วงเวลาเช้าตรู่เช่นนี้ พวกเจ้ากลับแต่งกายไม่เรียบร้อยทั้งยังนั่งอยู่บนตั่งด้วยกันเพียงแค่อ่านตำรางั้นหรือ พวกเจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือไม่เล่า”

ชูเซี่ยผุดลุกขึ้นมาก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงไร้เยื่อใย “ไม่จำเป็นต้องอธิบายให้เขาฟังมากมายหรอก เขาไม่ได้เป็นอะไรกับพวกข้าเสียหน่อย ต่อให้พวกข้าจะทำเรื่องเช่นเดียวกันกับที่เขาทำกับโหร่วเฟยเมื่อคืนก็เป็นเรื่องของพวกข้าสองคน หาใช่เรื่องที่พวกข้าต้องอธิบายให้เขาเข้าใจไม่”

นางเจาะจงพูดคำว่าพวกข้าออกมาหลายคำทั้งยังเอ่ยถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน จูเก๋อหมิงอดกลั้นหายใจไม่ได้เพราะยามนี้เขาถูกนางใช้เป็นเครื่องมือเพื่อแก้แค้นท่านอ๋องเสียแล้ว การทะเลาะของสองสามีภรรยาคู่นี้เหตุใดจึงต้องลากเขามาเกี่ยวข้องด้วยเล่า ทั้งนางยังเจาจงพูดราวกับว่าเมื่อคืนเขาและนางทำอะไรกันอีกด้วย เห็นได้ชัดว่านางต้องการให้เขามีปัญหากับหลี่เฉินเย่น

เดิมทีหลี่เฉินเย่นมีโทสะอยู่มากทว่าเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ออกมาจากปากของนางทั้งยังเห็นใบหน้าตกอกตกใจของจูเก๋อหมิงในใจของเขาก็รับรู้และเข้าใจเรื่องราวอยู่บ้างแล้ว ชายหนุ่มสบตากับจูเก๋อหมิงเพื่อสื่อสารกันทางสายตา เขาเห็นจูเก๋อหมิงมองตอบทั้งยังส่ายหน้าปฎิเสธไม่ยินยอมที่จะร่วมมือแสดงงิ้วกับเขาเด็ดขาด แต่ทว่าท่านอ๋องเช่นเขามีหรือจะสนใจ หลี่เฉินเย่นงัดฝีมือการแสดงออกมาอย่างเต็มที่ ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย็น “ไม่เกี่ยวอันใดกับข้างั้นหรือ เจ้าอย่าได้ลืมไปว่าตนเองเป็นพระชายาของข้าแต่กลับกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้ต่อหน้าต่อตาของข้า ข้าคงต้องนำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลเสด็จพ่อให้พระองค์ลงโทษพวกเจ้าเสียแล้ว”

จูเก๋อหมิงเบิกตากว้าง “ข้ากับพระชายาบริสุทธิ์ใจต่อกัน ถ้าหากเจ้านำเรื่องนี้ไปกราบทูลต่อฝ่าบาทแล้วชีวิตน้อยๆของข้าเล่า!” เขาพูดเช่นนี้เพื่อให้ชูเซี่ยรู้สึกสงสารตนเพื่อที่นางจะได้เป็นผู้เปิดปากสารภาพความจริงออกมาเสียเอง

ชูเซี่ยมองพวกเขาทั้งคู่ที่ทำราวกับว่านางเป็นหญิงสาวโง่งมก็ไม่ปาน เมื่อเป็นเช่นนี้นางก็ควรร่วมแสดงงิ้วกับพวกเขาด้วยใช่หรือไม่ ต่อให้พวกเขาแสดงงิ้วก็สมควรแสดงให้มันสมจริงกว่านี้ไม่ได้หรือไงกันนะ หากเขานำเรื่องนี้ขึ้นกราบทูลต่อฝ่าบาทจริงๆก็ไม่เท่ากับว่าเขาประกาศให้ทุกคนรู้ว่าเขาถูกสวมเขาไม่ใช่หรือไงกันเล่า อีกทั้งเขาและจูเก๋อหมิงต่างก็เป็นสหายสนิทมานานหลายปีจะไม่มีความเชื่อใจในตัวอีกฝ่ายเลยหรืออย่างไร

นางเป็นฝ่ายรั้งหลี่เฉินเย่นไว้ “ไม่จำเป็นหรอก พรุ่งนี้ข้าจะเข้าวังไปทูลขออภัยโทษจากเสด็จพ่อและเสด็จแม่เอง ว่าเป็นเพราะข้าเองที่เป็นฝ่ายให้ท่าจูเก๋อหมิงก่อน!” เมื่อเอ่ยจบนางก็นำกงหนังสือจากชั้นวางเดินออกไป ในเมื่อเขาชอบเล่นสนุกเช่นนี้นางก็จะเล่นเป็นเพื่อนเขาหน่อยก็แล้วกัน

หลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงลอบสบตากัน จูเก๋อหมิงเกรงว่านางจะเข้าวังจริงๆก็รีบร้อนเข้ามาห้ามนาง “พระชายาพะย่ะค่ะ พวกหม่อมฉันแค่ล้อท่านเล่นเท่านั้น”

ชูเซี่ยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมามอง “ข้าไม่เล่นกับพวกท่านด้วยหรอกนะ”

หลี่เฉินเย่นรีบร้อนขยับรถเข็น ก่อนจะกล่าวอย่างมีโทสะ “ยังจะยืนดูอะไรอีกเล่า รีบตามไปสิ นางในยามนี้เป็นสตรีที่พูดจริงทำจริงอยู่แล้ว”

จูเก๋อหมิงรีบมาเข็นรถเข็นก่อนจะเร่งฝีเท้าตามไป

ชูเซี่ยวิ่งมาตลอดทางจนถึงเรือนหรูอี้ของตน หลังจากวิ่งมาสักพักจิตใจของนางก็เริ่มสงบลงบ้างแล้ว คำพูดที่นางเอ่ย

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า