ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 60

ตอนที่ 60 เจอเพื่อนเก่า

เมื่อล้างหน้าเสร็จแล้วหญิงสาวกระพริบตาปริบๆ นางรู้สึกเคืองตาเล็กน้อยจึงปรือตามองมาทางจางจื่อเซียว “ช่วยข้าดูหน่อย ได้หรือไม่ว่ามีขนตาหลุดเข้าไปในตาหรือเปล่า”

จางจื่อเซียวเดินมาใกล้ๆนางก่อนจะใช้นิ้วถ่างตาของนาง “อย่าขยับ มีขนตาติดอยู่จริงๆ เดี๋ยวข้าเป่าออกให้”

“ขอบคุณมาก!” ชูเซี่ยนั่งสมาธิอยู่ตรงหน้าเขา ปล่อยให้จางจื่อเซียวเชยคางนางขึ้นพร้อมเป่าลมเบาๆออกมาหลายครั้ง

นอกประตูมีเสียงฝีเท้าดังขึ้นจากนั้นก็รีบร้อนวิ่งออกไป

ชูเซี่ยลุกขึ้นมาก่อนจะตะโกนขึ้นมา “ท่านหมอจูเก๋อ!”

จูเก๋อหมิงหยุดวิ่งยืนทื่ออยู่กับที่ก่อนที่จะค่อยๆหันกลับมามองชูเซี่ยอย่างอับอาย “ขออภัย ข้าไม่ทราบว่าเจ้าอยู่กับสหาย ข้าเห็นว่าประตูไม่ได้ปิดไว้ นึกว่าอาจจะเกิดอะไรขึ้นจึงถือวิสาสะเข้ามาดู”

ชูเซี่ยพยักหน้า “ท่านมารับข้าใช่หรือไม่ รอสักเดี๋ยวเถิด อีกเดี๋ยวข้าก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ” นางรู้ดีว่าเมื่อครู่จูเก๋อหมิงคงเห็น

ภาพแนบชิดระหว่างนางกับจางจื่อเซียวเข้าแล้ว ทว่านางก็ไม่ได้ไขข้อข้องใจหรืออธิบายอะไร ปล่อยให้เขาเข้าใจผิดเช่นนี้ต่อไป

จูเก๋อหมิงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ท่านหมอหนุ่มปรายตามองไปที่จางจื่อเซียว ลอบสำรวจใบหน้าอีกฝ่ายก่อนพยักหน้าเบาๆให้อีกฝ่าย จางจื่อเซียวก็พยักหน้าทักทายอีกฝ่ายเช่นกัน ท่านหมอหนุ่มหันกลับหาชูเซี่ยก่อนเอ่ยขึ้น “ไม่เป็นไร ข้าจะไปรอเจ้าที่รถม้าก็แล้วกัน ไม่ต้องรีบก็ได้”

“เจ้าค่ะ ข้าเปลี่ยนรองเท้าก็ออกได้แล้วเจ้าค่ะ” ชูเซี่ยเอ่ย

จูเก๋อหมิงพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปแต่ก็ไม่วายเหลือบมองจางจื่อเซียวอีกครั้ง

จางจื่อเซียวมองตามหลังของท่านหมอไปก่อนหันมากล่าวกับชูเซี่ย “เขาคงเข้าใจผิดคิดว่าพวกข้าคงมีความสัมพันธ์กัน ทำไมเมื่อครู่เจ้าจึงไม่อธิบายไปเล่า”

“อธิบายไปทำไมกัน ข้าก็ไม่ได้คิดอะไร หรือว่าเจ้าคิด” ชูเซี่ยนั่งเปลี่ยนรองเท้าอยู่บนเก้าอี้เตี้ย ขาของนางมีรอยแผลเป็นมากมายเพราะชอบไม่ระวังวิ่งชนนั่นชนนี่ แต่นางก็ไม่รู้สึกเจ็บอะไรนางจึงไม่สนใจแผลของตนเองสักเท่าไหร่ เพราะเมื่อเวลาผ่านไปพวกมันก็จะหายไปเองแล้วหลงเหลือไว้เพียงรอยแผลเป็นเท่านั้น

“ข้าคิดว่าเจ้าจงใจเสียมากกว่า เจ้ารู้ว่าเขาเข้ามาเลยตั้งใจจะให้เขาเห็นใช่หรือไม่ แต่ข้าไม่เข้าใจว่าเจ้าทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร” จางจื่อเซียวหน้าตูม

ชูเซี่ยเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “คิดมากเกินไปแล้ว ชื่อชูเซี่ย ข้าเคยพูดให้หลี่เฉินเย่นฟังแค่คนเดียว อีกอย่างหลี่เฉินเย่นก็คงไม่จำใส่ใจด้วยซ้ำ คนที่เขาจำไม่ลืมคือหลิวหยิงหลงต่างหากเล่าไม่ใช่ชูเซี่ย ตั้งแต่เริ่มแรกคนที่เป็นพระชายานิงอันก็คือหลิวหยิงหลงผู้เดียวเท่านั้น”

“เจ้าเองก็รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่หรือ เจ้าเคยเล่าให้ข้าฟังว่าหลี่เฉินเย่นเรียกเจ้าว่าชูเซี่ยไม่ใช่หรือ เขาย่อมรู้ตั้งแต่แรกแล้วว่าเจ้าไม่ใช่หลิวหยิงหลง อีกอย่างความสัมพันธ์ของท่านอ๋องกับจูเก๋อหมิงก็ไม่เลว เขาจะต้องเล่าเรื่องพวกนี้ให้จูเก๋อหมิงฟังแน่นอน เจ้ากลัวว่าจูเก๋อหมิงจะสงสัยในตัวเจ้าจึงใช้ข้าเป็นเครื่องมือที่ทำให้เขาเลิกสงสัยในตัวเจ้าเสียมากกว่า” จางจื่อเซียววิเคราะห์ออกมาได้อย่างแม่นยำ

ชูเซี่ยส่ายหน้า “ไม่ใช่จริงๆ หากข้ากลัวว่าเขาจะสงสัยก็คงไม่บอกเขาว่าตัวเองชื่อชูเซี่ยในวันที่สัมภาษณ์งานหรอก” ตอนที่ชูเซี่ยกลับมาที่เมืองหลวงนั้น นางเข้าใจว่าเขาและหลี่เฉินเย่นคงไม่เคยสงสัยเรื่องตัวตนของนาง ทว่าครึ่งเดือนมานี้จูเก๋อหมิงเอาแต่คอยสังเกตและสืบเรื่องของนางมาโดยตลอด นางรู้ดีว่าจูเก๋อหมิงทราบเรื่องของนางไม่น้อย การที่จูเก๋อหมิงทราบนั่นก็แสดงว่าหลี่เฉินเย่นก็ทราบเรื่องนี้เช่นเดียวกัน นางในตอนนั้นยังแสดงงิ้วไม่เก่งจึงอาจจะเผยพิรุธไปพอสมควรพวกเขาจึงระแคะระคายขึ้นมา ดังนั้นเมื่อครู่ที่จูเก๋อหมิงเข้ามาทางหน้าบ้านนางก็ได้ยินฝีเท้าของเขาตั้งแต่ต้นแล้ว นางจึงแกล้งบอกว่ามีอะไรติดอยู่ที่ตาเพื่อสร้างฉากความแนบชิดนั่นขึ้นมาให้จูเก๋อหมิงเห็น เขาจะได้เลิกสงสัยในตัวนางเสียที

นางรู้สึกละอายใจเล็กน้อยที่หลอกใช้จางจื่อเซียวมาช่วยแสดงละครฉากนี้กับนาง

หญิงสาวรีบร้อนออกไปข้างนอกทันทีเพื่อตัดโอกาสที่ชายหนุ่มจะแอบถามคำถามอะไรนางอีก

บนรถม้า ชูเซี่ยนั่งคิดทบทวนคำพูดของจางจื่อเซียวเมื่อครู่ จิตใจของนางสับสนยุ่งเหยิงไปหมด นางต้องระวังตัวทุกฝีก้าวเพื่อไม่ให้ความลับเรื่องตัวตนของนางเปิดเผย นางไม่รู้ว่าพวกเขารู้เรื่องของนางมากน้อยเพียงใด ยิ่งไม่รู้ว่าพวกเขารู้ตัวตนที่แท้จริงของนางเมื่อใด ว่ากันตามจริงแล้วหากหลี่เฉินเย่นรู้ตั้งแต่แรกว่านางไม่ใช่หลิวหยิงหลงทั้งยังจงใจช่วยนางปกปิดความลับต่อไป จนกระทั่งเมื่อนางตายไป คนที่เขาเจ็บปวดและเสียใจคือนางที่เป็นชูเซี่ย ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงนางคงเจ็บปวด ลำบากใจ เสียใจและสุขใจมากเป็นแน่

จูเก๋อหมิงเห็นว่านางจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวก็เอ่ยถาม “ผู้ชายเมื่อครู่ เป็นสามีเจ้าหรือ” เมื่อถามออกไปเขาก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าตนเองถามอะไรโง่ๆออกไป ทั้งๆที่การแต่งกายของนางก็มีเพียงหญิงสาวที่ยังไม่ออกเรือนเท่านั้นที่แต่งกายเช่นนี้

ชูเซี่ยลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยตอบ “ข้ายังไม่ได้ออกเรือนเจ้าค่ะ”

จูเก๋อหมิงเห็นว่าเมื่อสักครู่นางมีท่าทีลังเลก็คิดไปว่านางคงลอบอยู่กินกับบุรุษจึงไม่คิดจะถามออกไปให้มากความ ท่านหมอหนุ่มพยักหน้าเบาๆราวกับว่าตนเองได้รับคำตอบที่ชัดเจนแล้ว

ชูเซี่ยรู้สึกกระวนกระวายร้อนรนจนแทบนั่งไม่ติด นางเลิกผ้าม่านขึ้นมองรถม้าที่วิ่งไปถามเส้นทางที่ตนเองคุ้นเคย หูก็เงี่ยฟังเสียงฝีเท้าม้าที่ควบไปตามทาง หัวใจของนางก็รู้สึกเหงาหงอยขึ้นมา

นางปิดม่านลงเหมือนเดิมก่อนจะหันหน้าไปถามจูเก๋อหมิง “จริงสิเจ้าคะ พระชายานิงอันที่เสียไปเป็นคนเช่นไรหรือ”

จูเก๋อหมิงมองนางนิ่งๆ “เหตุใดจึงถามเช่นนี้ เจ้าสนใจหรือ”

ชูเซี่ยยิ้มแหย “เล็กน้อยเจ้าค่ะ ข้าแค่อยากรู้ว่านางเป็นสตรีแบบใดกันแน่ ถึงขั้นทำให้ท่านอ๋องฝังใจเพียงนี้ ขนาดนางเสียไปหลายปีก็ยังคงจำนางได้ไม่ลืมเลือน”

จูเก๋อหมิงมองใบหน้านางอย่างสงสัยก่อนจะแปรเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติ เขาเอ่ยตอบอย่างรวบรัด “นางเป็นสตรีที่เพียบพร้อมมากคนหนึ่ง”

ชูเซี่ยเห็นว่าเขาไม่เต็มใจจะตอบก็ไม่คิดจะถามอีก นางเพียงแค่ ‘อ่อ’ ออกไปจากนั้นก็เงียบ

เป็นเวลานานจูเก๋อหมิงก็หันมามองนางอีกครั้งก่อนจะเอ่ยขึ้น “เจ้ากับนางเหมือนกันมาก!”

ร่างทั้งร่างของชูเซี่ยแข็งค้าง นางเงยหน้ามองเขาอย่างตื่นตะลึง ดวงตากลมเบิกกว้าง ทำให้จูเก๋อหมิงรู้สึกตัวว่าตนเองเผลอพูดอะไรออกไปก่อนจะค่อยๆเอ่ยขยายความ “ข้าแค่จะบอกว่า นางก็มีความรู้ด้านการฝังเข็มเช่นกัน”

จิตใจชูเซี่ยไม่อยู่กับเนื้อกับตัว “ใต้หล้ากว้างใหญ่ ผู้ที่รู้วิชาฝังเข็มก็มีไม่น้อย” หากเมื่อครู่นางดูไม่ผิด ยามที่จูเก๋อหมิงเอ่ยถึงนาง ดวงตาคมของท่านหมอหนุ่มมีประกายแห่งความรักใคร่อยู่ในนั้น

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า