ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 61

ตอนที่ 61 ต่างกันนิดๆ

กลุ่มทหารองครักษ์แบ่งขนาบข้างอยู่สองฝั่งนอกประตูห้องนอน ในมือของแต่ละคนถือดาบดาวไว้ในมือ บนหลังคาก็มีพลทหารกองธนูประจำที่ ทุกฝ่ายต่างเตรียมตัวพร้อมรับมืออย่างเคร่งครัดด้วยเกรงว่านักฆ่าจะย้อนกลับมา

เสี่ยวจี๋ผลักประตูห้องให้เปิดออกพลางหันมามองใบหน้าของชูเซี่ยที่ยืนอกสั่นขวัญแขวนอยู่ด้านหน้า ในใจก็รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยว่าหญิงสาวผู้นี้อายุยังน้อยแต่กลับได้เป็นถึงท่านหมอ

จูเก๋อหมิงและบรรดาหมอหลวงยืนล้อมอยู่รอบๆเตียง เสี่ยวซานจื่อก็อยู่ด้วยเช่นกัน ทั้งยังมีคนจัดยาอยู่ใกล้ๆอีกสองคน ซึ่งทั้งสองคนมีหน้าที่เป็นคนจัดยาประจำตัวของหมอหลวงที่อยู่ประจำการในจวนอ๋องแห่งนี้ ในมือของคนจัดยาคนหนึ่งมีอ่างทองแดงอยู่ในมือ น้ำในอ่างที่เคยใสตอนนี้ถูกย้อมไปด้วยสีแดงของเลือด

ชูเซี่ยไม่เคยเป็นโรคกลัวเลือดมาก่อนทว่าในยามนี้ยามที่เห็นเลือดมากมายในอ่างนางก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมา

บนพื้นมีเลือดอยู่กองหนึ่ง ในนั้นมีเศษผ้าของเขาปะปนอยู่ด้วยฝีมือของหมอหลวงที่จำเป็นต้องตัดเสื้อผ้าออกมาบางส่วนเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บเบื้องต้น สีของเลือดและสีของยาผสมปนเปกันไปหมด สีเหลืองสีแดงยากจะแยก แต่ทว่าสีแดงก่ำของเลือดกอปรกับแสงแดดจ้าในช่วงเที่ยงทำให้มันยิ่งเด่นชัดเสียจนชูเซี่ยรู้สึกว่าสีของมันทิ่มแทงสายตาของนางเสียเหลือเกิน

ชูเซี่ยพยายามระงับสติอารมณ์ของตนเองก่อนจะวิ่งไปเบื้องหน้า “อาการเป็นอย่างไรบ้าง” นางสำรวจใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเป็นอันดับแรก ดวงตาปิดสนิท ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือดคงเพราะเกิดจากการที่เจ้าตัวเสียเลือดมากเกินไป ดวงตากลมโตก้มลงมาสำรวจแผงอกเปล่าเปลือย เพียงแค่เห็นเท่านั้น ราวกับสายฟ้าฟาดลงมากลางใจของนาง ร่างบอบบางยืนนิ่งค้างอยู่กับที่ แข้งขาของนางเริ่มอ่อนจนแทบจะตัวไว้ไม่ไหว ริมฝีปากอิ่มสั่นระริก น้ำตาเอ่อคลอก่อนจะค่อยๆไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง

ร่างทั้งร่างแทบจะย้อมไปด้วยสีเลือด รอยดาบที่อยู่บนร่างของเขาลึกมาก จนถึงตอนนี้เลือดก็ยังไม่มีทีท่าว่าหยุดไหล หน้าอกหนึ่งดาบ ช่วงท้องหนึ่งดาบ และบั้นเอวอีกหนึ่งดาบ ยังไม่รวมถึงรอยแผลเป็นที่เกิดจากการต่อสู้ที่เริ่มกลายเป็นแผลเป็นไปแล้วอีกนับไม่ถ้วน เพียงแค่เห็นแผลพวกนี้หัวใจของนางก็รู้สึกเสียใจและหวาดกลัวเหลือเกิน

ที่แท้แล้วสามปีมานี้เขาใช้ชีวิตผ่านมาแบบไหนกันแน่นะ

จูเก๋อหมิงหันหน้ากลับมาเอ่ยเสียงเครียด “อาการไม่สู้ดีนัก เลือดไหลไม่ยอมหยุด!”

ชูเซี่ยหายใจเข้าลึกๆ นางวางกล่องยาในมือลงก่อนจะหยิบห่อเข็มของตนเองออกมา “ถอยออกไปให้หมด ข้าจัดการเอง!”

เมื่อหมอหลวงเห็นว่าผู้พูดเป็นเพียงแม่นางน้อยนางหนึ่ง ทั้งยังขวัญกล้าถึงเพียงนี้ก็รู้สึกโมโหขึ้นมา “เจ้าเป็นผู้ใดกัน ท่านอ๋องเป็นถึงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งจะปล่อยให้เด็กสาวไม่มีที่มาที่ไปอย่างเจ้ามารักษาท่านอ๋องได้อย่างไร”

หมอหลวงท่านนี้เมื่อก่อนดำรงเป็นถึงแพทย์ประจำกองทหารรักษาการณ์กองทัพขึ้นตรงกับจวนอ๋องหนิงอานโดยตรง ครั้งหนึ่งเขาก็เคยรักษาอาการให้ชูเซี่ยในร่างของหลิวหยิงหลงเช่นกัน ท่านหมอคนนี้ไม่ใช่ผู้มีจิตใจชั่วร้ายอะไร แต่เพราะยามนี้ทุกนาทีขึ้นอยู่กับชีวิต สถานการณ์จึงกดดันให้เขาเผลอพูดจาไม่รักษาน้ำใจเช่นนี้ออกมา

ชูเซี่ยรู้ดีว่าพวกเขาที่ดำรงตำแหน่งเป็นถึงหมอหลวงย่อมต้องลำบากใจไม่น้อย หากว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เป็นนาย พวกเขาย่อมต้องถูกตัดสินโทษหนักเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเช่นนั้นจะให้พวกเขาปล่อยให้ชูเซี่ยซึ่งเป็นหมอไร้ชื่อเสียงเช่นนี้มารักษาได้อย่างไร

จูเก๋อหมิงหันมาเพ่งมองชูเซี่ย “เจ้ามีวิธีหรือ”

ชูเซี่ยเอ่ยตอบ “ข้าสามารถฝังเข็มที่จุดชีพจรเพื่อห้ามเลือด สามารถยืดเวลาออกไปได้ พวกท่านก็เตรียมยากันบาดทะยักและผงซำฉิกนำสองตัวยานี้มาต้มรวมกัน ต้องเร็วหน่อย ชักช้าจะไม่ทันการณ์”

จูเก๋อหมิงหันไปสั่งการกับหมอหลวงทันที “ได้ ทำตามที่นางบอก หากเกิดอะไรขึ้นข้าจะรับผิดชอบเอง”

หมอหลวงมองจูเก๋อหมิงอย่างประหลาดใจ เดิมทีเขาไม่ต้องการให้ชูเซี่ยมารักษาอาการ

บาดเจ็บของหลี่เฉินเย่นเลย แต่ทว่ายามที่เขาเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจของจูเก๋อหมิงก็เข้าใจว่าอีกฝ่ายคงมีความสามารถมากพอที่จะทำให้หมอเทวดาเชื่อใจในตัวนางได้

ชูเซี่ยฝังเข็มลงจุดชีพจรอย่างรวดเร็ว สามปีมานี้ นางฝึกฝนวิชาเข็มทองจนชำนาญ การลงเข็มแต่ละครั้งของนางรวดเร็วแทบมองไม่เห็นเงา แม้แต่จูเก๋อหมิงละหมอหลวงก็มองไม่ออกว่านางฝังเข็มลงไปตรงจุดใดของร่างกายบ้าง แต่เวลาแค่ชั่วครู่เท่านั้นบาดแผลที่เคยมีเลือดไหลออกมา

อย่างต่อเนื่องกลับค่อยๆไหลน้อยลงเรื่อยๆ หรือจะกล่าวให้ถูกคือหยุดไหลในที่สุด

หมอหลวงมองชูเซี่ยด้วยสายตาทึ่งๆ ดวงตาเบิกกว้างก่อนจะอ้าปากถาม “ไม่ทราบว่าแม่นางท่านนี้คือ”

ชูเซี่ยปรายตามองจูเก๋อหมิงแวบหนึ่งก่อนเอ่ย “ข้าแซ่ชู!”

“ท่านหมอชูฝีมือการฝังเข็มของท่านช่างสูงส่งยิ่งนัก ทำให้ข้ารู้สึกเปิดหูเปิดตาอย่างยิ่ง!”

หมอหลวงเอ่ยชื่นชมนางจากใจจริง

จูเก๋อหมิงมองมาที่นางด้วยแววตาเรียบเฉย ไม่ได้กล่าวอะไรออกมา เขานึกว่านางจะยอมเชื่อฟังคำที่เขาเอ่ยไปก่อนหน้านี้ว่านางไม่ควรบอกชื่อจริงของนางออกมา แต่สุดท้ายนางก็เอ่ยชื่อแซ่จริงๆของนางออกมาอย่างไม่คิดปิดบัง

แต่ก็เอาเถิด ถ้าหากว่าเฉินเย่นฟื้นขึ้นมา จะบอกเขาก็คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะเดิมทีเขาก็ตั้งใจจะบอกความจริงให้สหายรักของเขาฟังอยู่แล้ว

นี่คือความคิดของหลี่เฉินเย่นในยามนี้ ท่านหมอหนุ่มรีบออกเทียบยาส่งให้คนจัดยาอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ฝ่ายนั้นรีบต้มยาโดยเร็วที่สุด

หลังจากห้ามเลือดแล้ว ท่านหมอหลวงก็รีบล้างแผลให้สะอาดก่อนเป็นอันดับแรก แม้ว่าเลือดจะหยุดไหลแล้วแต่ร่างกายของท่านอ๋องก็เสียเลือดไปไม่ใช่น้อย ยามนี้ท่านอ๋องจะสามารถฟื้นขึ้นมาได้หรือไม่ก็จำเป็นต้องอาศัยโชคเข้ามาช่วยแล้ว

ทันทีที่ชูเซี่ยเปิดประตูห้องเตรียมจะเดินออกมาจากห้องนอนก็มีร่างของหญิงสาวผู้หนึ่งเซถลามาข้างหน้า ชูเซี่ยเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าหญิงสาวผู้นี้คือหลิวมี่เหอนั่นเอง

ไม่ได้พบหน้านางมาสามปี สีหน้าของหญิงสาวดูไม่ค่อยจะดีนัก แม้ว่าจะถูกประทินโฉมไว้อย่างดีแต่ก็ยังเห็นใบหน้าเหลืองซีดเซียวได้อยู่ ดวงตาทั้งสองก็ดูเลื่อนลอย เรือนร่างดูเปราะบางราวกับจะพริ้วไปตามลมได้อย่างไรอย่างนั้น ด้านหลังของนางมีสาวใช้อยู่สองคน คงจะเป็นสาวใช้ข้างกายของนางที่ตามมายังเรือนหรูอี้ด้วยกัน

หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองชูเซี่ยอย่างงุนงง ครั้นจะเอ่ยปากถามก็เหลือบไปเห็นกล่องยาในมือนางเสียก่อนก็รู้ได้ในทันทีว่านางคงจะเป็นท่านหมอเช่นกัน มือผอมแห้งรีบรั้งร่างของชูเซี่ยไว้ก่อนถามอย่างร้อนรน “ท่านอ๋องเป็นอย่างไรบ้าง”

ชูเซี่ยมองสบสายตา นางพยายามจะข่มอาการเศร้าและน้อยใจที่ตีตื้นขึ้นมาในอกของตนเอง “ไม่ค่อยดีนัก โหร่วเฟยเข้าไปดูอาการท่านอ๋องหน่อยเถิด”

หลิวมี่เหอร้องไห้ออกอย่างห้ามไม่อยู่ รีบร้อนวิ่งเข้าไปข้างในห้องแทบจะทันที

ชูเซี่ยหันหลังกลับไปมองด้วยความลำบากใจ แต่ดวงตากลมโตกลับประสานเข้ากับดวงตาอบอุ่นของจูเก๋อหมิงที่ดูเหมือนจะมองมาที่นางอยู่ก่อนแล้ว ดวงตาของท่านหมอหนุ่มมองที่นางนิ่งๆ ชูเซี่ยรู้สึกหวาดระแวงขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ “ทำไมหรือเจ้าคะ” นางคงคาดไม่ถึงว่าเมื่อครู่ยามที่นางเอ่ยเรียกอีกฝ่ายว่าโหร่วเฟยนั้นอยู่ในสายตาของจูเก๋อหมิงด้วย นางไม่เคยพบหน้าหลิวมี่เหอมาก่อนแล้วเหตุใดจึงรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นโหร่วเฟยกัน

จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะน้อยๆ “ไม่มี แค่รู้สึกว่าทักษะการฝังเข็มของเจ้าช่างเลิศล้ำเหนือผู้ใดจริงๆ ดูท่าว่าฉ่ายเวินคงจะมีโอกาสรอดแล้ว”

“ดูเหมือนว่าท่านจะห่วงใยในตัวหญิงสาวที่ชื่อฉ่ายเวินเหลือเกินนะเจ้าคะ หรือว่านางเป็นคนรักของท่านหรือเจ้าคะ” ชูเซี่ยเอ่ย

จูเก๋อหมิงเห็นว่านางเข้าใจผิดก็ไม่คิดจะอธิบายแก้ต่างอะไร “นับว่าสนิทสนมกันดี ข้าเป็นหนึ่งในคนหลายๆคนที่อยากเห็นนางฟื้นขึ้นมา”

ชูเซี่ยส่งเสียง ‘อืม’ ออกมา จากนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก ราวกับว่าเขาจะชอบพอกับใครก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับนาง

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า