ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 71

ตอนที่ 71 ตำราพิชัยสงครามซุนวู

เดิมทีชูเซี่ยคิดว่าราชวงศ์นี้จะรักใคร่ปรองดองกันมากเสียอีก อย่างน้อยผู้ที่มีสิทธิ์ในอำนาจที่จะสานต่อตำแหน่งกษัตริย์ก็ไม่ได้ให้ความสนใจในตำแหน่งบัลลังค์เลยแม้คนเดียว ในท้ายที่สุดแล้วผู้ที่มีสิทธิ์ในตำแหน่งบัลลังก์ก็มีเพียงแค่พระโอรสสองพระองค์ของฮ่องเต้เท่านั้น องค์ชายสามยังอายุน้อย ความสามารถก็ทั่วไป อีกทั้งยังเป็นเพียงโอรสที่เกิดมาจากมารดาที่มีชาติกำเนิดต้อยต่ำ อย่างไรเสียก็ไม่มีทางรับตำแหน่งรัชทายาทได้ เช่นนั้นในสายพระเนตรของฮ่องเต้ผู้มีสิทธิ์ในบัลลังก์ก็มีเพียงหลี่เฉินเย่นและหลี่หยุนกางสองคนเท่านั้น หลี่เฉินเย่นเป็นบุตรชายที่เกิดจากฮองเฮาถือเป็นบุตรชายที่สืบทอดอำนาจโดยตรง ส่วนหลี่หยุนกางก็เป็นบุตรชายที่เกิดจากหรงเฟยมีศักดิ์เป็นบุตรชายคนโตของราชวงศ์ ดังนั้นผู้คนต่างก็ให้ความสนใจกับตำแหน่งรัชทายาทอย่างยิ่งว่าท้ายที่สุดแล้วจะ มอบตำแหน่งให้แก่ผู้เป็นบุตรชายคนต่อหรือผู้ที่สืบทอดอำนาจสายตรงกันแน่

“เสด็จพี่ของท่านอยากเป็นฮ่องเต้หรือเจ้าคะ” ยามที่ชูเซี่ยเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมานางก็อดที่จะตื่นตระหนกไม่ได้ นางไม่ต้องการให้หลี่เฉินเย่นเข้าไปอยู่ในวังวนแห่งการแย่งชิงบัลลังก์เลยแม้แต่น้อย เส้นทางเช่นนั้นหากเดินพลาดแม้แต่ก้าวเดียวก็ไม่อาจรักษาชีวิตของตนเองได้แน่

หลี่เฉินเย่นถอนหายใจออกมาเสียงดัง “ในยามนี้เขาอาจไม่มีความคิดเช่นนี้หรอก ความอิจฉาริษยามักจะกัดกินจิตใจของมนุษย์อย่างพวกข้าๆเสมอ หากเป็นเมื่อหลายก่อนข้าได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรัชทายาท เสด็จพี่ย่อมไม่เอ่ยคำคัดค้านอย่างแน่นอน แต่ทว่าในยามนี้เขาและข้าเกิดความระหองระแหงกัน เสด็จพี่ทนไม่ได้ที่จะเห็นข้าได้ดิบได้ดี นอกเหนือจากนั้นปีนี้เสด็จพ่อเพิ่งจะมีพระชนมายุเพียงสี่สิบสามปีเท่านั้น ยังหนุ่มยังแน่นและมีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์ ต่อให้เขาอยากได้ตำแหน่งฮ่องเต้ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นในเร็ววันอย่างแน่นอน”

คนสมัยก่อนแต่งงานเร็วทั้งยังให้กำเนิดบุตรเร็ว ยามที่ฝ่าบาทมีพระชนมายุสิบหกก็ได้ให้กำเนิดหลี่หยุนกางแล้ว ปีนี้หลี่หยุนกางเพิ่งมีอายุครบยี่สิบเจ็ดปี หลี่เฉินเย่นก็มีอายุน้อยกว่าหลี่หยุนกางเพียงหนึ่งปีเท่านั้น ปีนี้หลี่เฉินเย่นอายุยี่สิบหก อายุของทั้งคู่ไล่เลี่ยกันมากทีเดียว

อายุสี่สิบสาม ที่จริงไม่ใช่อายุที่มากเลยแม้แต่นิดเดียว

ชูเซี่ยลอบถอนหายใจ “จะให้ดีที่สุดคือท่านต้องไปทูลต่อเสด็จพ่อว่าท่านไม่ต้องการตำแหน่งรัชทายาทอะไรนั่น มิฉะนั้นไม่ช้าหรือเร็วพวกท่านสองพี่น้องก็จะต้องแก่งแย่งชิงบัลลังก์กันแน่”

หลี่เฉินเย่นหันมามองที่นางนิ่ง ดวงตาของเขามีประกายความตกใจแฝงอยู่เล็กน้อย “ความหมายของเจ้าก็คือเจ้าไม่ปรารถนาให้ข้าเป็นฮ่องเต้งั้นหรือ”

ชูเซี่ยมองใบหน้าเขาอย่างแตกตื่น “ท่านคิดจะเป็นฮ่องเต้หรือ”

หลี่เฉินเย่นนิ่งไปเล็กน้อย ดวงตาคมฉายประกายล้ำลึกก่อนจะกล่าวอย่างช้าๆ “คิดหรือไม่คิดก็อยู่ก็อยู่นอกเหนือความสามารถของข้า เพียงแค่เกิดมาในราชวงศ์ชีวิตก็ถูกกำหนดอนาคตไว้แล้ว ต่อให้ข้าไม่อยากได้บัลลังก์ ทว่าเหล่าท่านลุงย่อมทำทุกวิถีทางเพื่อสนับสนุนข้าให้ได้บัลลังก์แน่ นี่เป็นโชคชะตาของข้า เป็นโชคชะตาที่ข้าไม่อาจหลีกเลี่ยงได้”

ชูเซี่ยรู้สึกผิดหวัง ในหัวของนางสับสนยุ่งเหยิงพยายามคิดหาวิธีต่างๆมากมายไปหมดแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่อาจหาทางออกได้

แต่จากที่นางสังเกตท่าทีและความคิดของเขา เขา ท้ายที่สุดเขาจะต้องลงแก่งแย่งชิงบัลลังก์กับพี่ชายของตนอย่างแน่นอน

ก็ดีแล้ว ถ้าในภายภาคหน้าที่นางไม่อาจอยู่เคียงข้างเขาได้ อย่างน้อยในวังก็ยังมีพะรสนมจากสามพระตำหนักหกหมู่

เรือนคอยอยู่เคียงข้างเขา ชีวิตเขาแต่ละวันจะต้องผ่านไปอย่างมีความสุขแน่

“เจ้าไม่มีความสุขหรือ” หลังจากที่หลี่เฉินเย่นเห็นสีหน้าของนางก็เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง

ชูเซี่ยฝืนยิ้มแย้มออกมา “ไม่หรอกเจ้าค่ะ การที่ท่านมีอุดมคติย่อมเป็นเรื่องดี”

เขาเอื้อมมือมากอบกุมมือของนางไว้ จากนั้นก็ดึงร่างบอบบางของนางเข้ามาโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของตน เสียงทุ้มของชายหนุ่มที่โอบกอดนางไว้เอ่ยคำมั่นสัญญาหนักแน่น “หากข้าเป็นผู้ที่ได้ครองบัลลังก์ เจ้าจะเป็นฮองเฮาที่อยู่เคียงข้างข้า”

ชูเซี่ยอิงแอบแนบแผงอกของเขา หูของนางได้ยินเสียงเต้นของหัวใจของเขาที่หนักแน่นและสม่ำเสมอแต่ทว่าในใจของเธอกลับร้อนรนและไม่อาจสงบได้เลย

ฝนยังคงตกกระหน่ำลงมาเรื่อยๆติดกันหลายวันหลายคืนไม่ยอมหยุดทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน ทั้งยังมีปัญหาดินโคลนถล่มฝังหมู่บ้านเล็กๆแทบชานเมืองเกือบทั้งหมู่บ้าน ทำลายบ้านเรือนจำนวนมาก ชาวบ้านบาดเจ็บและล้มตายจำนวนมาก

เช้าวันนี้ยามที่ฮ่องเต้ตื่นบรรทมขึ้นมาก็เกิดอาหารปวดพระเศียรอย่างรุนแรงจนไม่อาจออกว่าราชการได้ หมอหลวงที่ถูกเรียกตัวมาวินิจฉัยโรคและทำการรักษาก็ทำได้เพียงแค่รักษาอาการเจ็บปวดเบื้องต้นให้แก่พระองค์เท่านั้น แต่ยังไม่ถึงหนึ่งชั่วยามอาการปวดหัวของฝ่าบาทก็กำเริบขึ้นมาอีกจนพระองค์ถึงกับบันดาลโทสะออกมา

บรรดาหมอหลวงในวังต่างหมดหนทางไม่อาจรักษาได้ ในที่สุดจึงต้องเชิญท่านหมอจูเก๋อเข้าวัง

จูเก๋อหมิงที่จัดเทียบยาเอ่ยทูลต่อฝ่าบาท “เนื่องจากฝ่าบาท หนักพระทัยและวิตกกังวลมาตลอดระยะเวลาหลายวัน ทำให้ตับของพระองค์ร้อนขึ้นอีกทั้งยังต้องละอองฝนมาอีกด้วย เป็นเหตุให้จุดชี่และเลือดในกายแปรปรวน ยาที่กระหม่อมจัดให้แก่พระองค์นั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกินติดกันสิบวันจึงจะเห็นผลพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ กริ้วอย่างยิ่ง “ถ้าเช่นนั้นแล้วเจ้าหมายความว่าภายในสิบวันนี้พวกข้ายังต้องทุกข์ทนอาการเจ็บปวดเจียนตายแบบนี้ไปตลอดงั้นหรือ”

จูเก๋อหมิงรู้สึกละอายใจอย่างยิ่ง “สิบวันนี้ ยาที่กระหม่อมจัดให้แก่พระองค์สามารถบรรเทาความปวดของพระองค์ได้ แต่ทว่าก็ไม่สามารถขจัดความปวดได้หมด หากว่าอาการปวดของพระองค์กำเริบขึ้นมาก็สามารถใช้วิธีแช่ศีรษะลงในน้ำเย็นได้พะย่ะค่ะ”

โรคลมตะกังเป็นโรคที่รักษาให้หายยาก เนื่องจากเกิดมาได้จากหลายสาเหตุและปัจจัยมากมายที่ทำให้เกิดอาการกำเริบขึ้นมา ความเจ็บปวดก็ไม่เท่ากัน ไม่มีวิธีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง ทำได้เพียงแค่ค่อยๆทำการรักษาและปรับการไหลเวียนของเลือดที่ไปเลี้ยงสมองเท่านั้น

ฮ่องเต้ กริ้วอย่างยิ่ง อาการปวดที่รุมล้อมทำให้พระองค์ปวดจนพระพักตร์บิดเบี้ยว “มีวิธีบรรเทาอาการปวดอย่างอื่นหรือไม่”

จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “ไม่มีวิธีอื่นอีกแล้วพะย่ะค่ะฝ่าบาท ยามที่โรคลมตะกังกำเริบขึ้นมา อาการเจ็บปวดจะรุมเร้าอย่างต่อเนื่อง มีเฉพาะน้ำเย็นเท่านั้นที่พอจะสามารถระงับอาการปวดได้ น้ำเย็นทำให้หลอดเลือดหดตัวและบรรเทาอาการปวดพะย่ะค่ะ”

พระพักตร์ขององค์ฮ่องเต้ซีดเผือด พระพักตร์หล่อเหลายังคงบิดเบี้ยวเล็กน้อยเพราะความเจ็บปวด พระองค์โบกพระหัตถ์พลางเอ่ยรับสั่งจูเก๋อหมิง “เจ้าออกไปผงเบญจศิลามาให้พวกข้าสักหน่อย เพราะหากยังเป็นอย่างเช่นตอนนี้ตลอดสิบวันพวกข้าต้องไม่เป็นอันกินอันนอนแน่”

จูเก๋อร้อนรนรีบคุกเข่าลงเบื้องหน้าเบื้องพระพักตร์ “ฝ่าบาท ผงเบญจศิลเป็นยาพิษทำร้ายทั้งร่างกายและจิตใจผู้ที่กินเข้าไป โปรดอย่าได้ใช้ยาชนิดนี้ในการบรรเทาอาการปวดเป็นอันขาดนะพะย่ะค่ะ”

“เหลวไหล ผงเบญจศิลเป็นยาที่นักบวชเล่นแร่แปรธาตุเป็นผู้คิดค้นขึ้น เหตุใดจะนำมาใช้ไม่ได้ นอกจากนี้ต่อให้มันมีพิษจริง พวกข้ากินไปแค่เล็กน้อยคงไม่ทำให้ตายหรอก รีบไปเดี๋ยวนี้ แต่ถึงต่อให้ส่งผลเสียกับร่างกายของพวกข้า แต่ด้วยความปวดในเวลานี้แล้วก็คงไม่มีทางแย่ไปกว่านี้อีกแล้วล่ะ” ฮ่องเต้พยายามระงับโทสะอย่างยากเย็นจนเส้นเลือดบริเวณขมับปูดขึ้นมา

จูเก๋อหมิงเงยหน้าขึ้นเอ่ยทูล “ฝ่าบาท ไม่ทราบว่าพระองค์ยังจับท่านหมอชูที่รักษาอาการบาดเจ็บให้ท่านอ๋องได้หรือไม่พะย่ะค่ะ นางเชี่ยวชาญในการรักษาโดยการฝังเข็มอย่างยิ่ง อีกทั้งนางยังฝังเข็มเพื่อยับยั้งอาการปวดได้อีกด้วย ถ้าอย่างนั้นลองเชิญนางเข้าวังมารักษาให้พระองค์ดีหรือไม่พะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ขมวดคิ้ว “เจ้าไม่ใช่กล่าวว่าลักษณะนิสัยของนางไม่ดีหรือ”

จูเก๋อหมิงทูลอย่างอ้อมค้อม “ทูลฝ่าบาท หากนางสามารถรักษาพระองค์ให้หายได้จริงก็เพียงแค่ พระราชทานรางวัลให้ก็พอแล้วพะย่ะค่ะ ให้นางมารักษาพระองค์อย่างไรเสียก็ย่อมดีกว่าใช้ผงเบญจศิลาอยู่แล้ว”

ฮ่องเต้ ระดำริอยู่ครู่หนึ่งก็ตรัสขึ้น “เสี่ยวเต๋อจื่อ จงรีบไปโรงหมอกังหยูเชิญท่านหมอชูเข้าวังมาเดี๋ยวนี้”

จูเก๋อหมิงรีบเอ่ยทูลอีกครั้ง “ทูลฝ่าบาท ในยามนี้ท่านหมอชูพำนักอยู่ที่จวนอ๋องหนิงอานพะย่ะค่ะ หากจะมีบัญชาให้ รับท่านหมอชูเข้าวังจำต้องไปจวนหนิงอานจึงจะถูก!”

ฮ่องเต้นิ่งไป “นางพำนักอยู่ที่จวนอ๋องงั้นหรือ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า