ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 72

ตอนที่ 72 รักๆใคร่ๆ

หลังจากฝังเข็มลงไปแล้ว ชูเซี่ยก็ยังคงค่อยๆนวดตรงขมับให้พระองค์ต่อไปอีกสักพักทั้งยังให้เสี่ยวเต๋อจื่อนำน้ำชามาถวายฮ่องเต้ เสี่ยวเต๋อจื่อค่อยๆพยุงพระวรกายของฝ่าบาทขึ้นมาช้าๆก่อนเอ่ยถาม “ฝ่าบาทรู้สึกอย่างไรบ้างพะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ เอื้อมพระหัตถ์ไปสัมผัสพระนลาฎก่อนจะปิดพระเนตรลงเพื่อสำรวจอาการเจ็บปวดและกดเบาๆอีกครั้ง จากนั้นก็เปิดพระเนตรและตรัสอย่างดีพระทัย “ดูเหมือนว่าพวกข้าจะไม่เจ็บแล้วล่ะ!”

ชูเซี่ยยิ้มออกมาในที่สุด “เช่นนั้นก็ดีแล้วเพคะ แต่ทว่าพระองค์เป็นโรคลมตะกังนี้มานานแล้ว หม่อมฉันจึงยังต้องฝังเข็มให้พระองค์อีกหลายวันทั้งยังต้องดื่มยาต้มควบคู่ไปด้วยจึงจะหายในที่สุดเพคะ”

“ได้ พวกข้าเชื่อฟังทุกคำที่ท่านหมอพูด” จากนั้นก็ร้องเรียกเสี่ยวเต๋อจื่อ “เสี่ยวเต๋อจื่อ มอบรางวัล”

เสี่ยวเต๋อจื่อที่เห็นว่าองค์เหนือหัวของตนอารมณ์ไม่ดีมาตลอดหลายวันมานี้ในที่สุดก็สามารถแย้มสรวลออกมาได้ก็ดีใจอย่างยิ่ง “ฝ่าบาทจะ ให้รางวัลก็เป็นเรื่องที่สมควรแล้วพะย่ะค่ะ แต่ทว่าหากให้รางวัลเป็นเงินทองก็คงไม่ถูกต้องนัก อย่างไรเสียนางก็เป็นถึงสตรีโฉมงาม”

เมื่อ ลองไตร่ตรองก็พบว่าคำพูดของเสี่ยวเต๋อจื่อมีเหตุผล “อืม ที่เจ้าพูดมาก็มีเหตุผล เมื่อวันก่อนเครื่องบรรณาการของเมืองอันหนานมีสร้อยข้อมือปะการังส่งมาด้วยไม่ใช่หรือ มอบให้ท่านหมอชูเป็นรางวัลก็แล้วกัน”

เสี่ยวเต๋อจื่อยิ้มรับทราบ “ฝ่าบาทช่างพระทัยกว้างยิ่งนัก วันก่อนกุ้ยเฟยเห็นสร้อยข้อมือปะการังนี้ก็ถูกพระทัยยิ่งนักทว่าฝ่าบาทก็ไม่ได้มอบให้ แต่มาวันนี้พระองค์กลับมองให้ท่านหมอชูแสดงว่าฝ่าบาทจะต้อง โปรดท่านหมอชูมากเป็นแน่”

ชูเซี่ยไม่อยากได้รางวัลอะไรทั้งนั้น แต่ก็ไม่อาจไม่รับได้จึงทำได้เพียงยิ้มแย้ม “หม่อมฉันขอบพระทัยเพคะ”

ฮ่องเต้ ดีพระทัยจากการหายปวดครั้งนี้ถึงขนาดรั้งชูเซี่ยให้อยู่ทานมื้อค่ำด้วยกันที่วัง แต่ทว่าชูเซี่ยไม่อาจทำเช่นนั้นได้ “พระองค์ พระทัยดีกับหม่อมฉันยิ่งนัก แต่ทว่าหม่อมฉันยังมีหน้าที่ที่ต้องกลับไปรักษาฉ่ายเวินอยู่เพคะ”

ฮ่องเต้ ผิดหวังเล็กน้อย “ข้ายังอยากฟังนิทานจากหมอชูอีกสักหน่อยแท้ๆ แต่ว่าผู้เป็นหมอมีหน้าที่และความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ผู้ป่วยย่อมสำคัญที่สุด อีกอย่างเจ้าก็มาที่นี่เกือบค่อนวันแล้วควรกลับได้แล้วจริงๆ

ชูเซี่ยขอบพระทัยจากนั้นก็ทูลลา

เมื่อออกมาจากห้องบรรทม หลี่เฉินเย่นและจูเก๋อหมิงก็รีบร้อนพุ่งเข้ามาหานาง หลี่เฉินเย่นถามขึ้น “เสด็จพ่อได้ทำให้เจ้าลำบากใจหรือไม่”

ชูเซี่ยส่ายหน้าถอนหายใจอย่างโล่งอก “ไม่มีเจ้าค่ะ ทั้งยังพระราชทานรางวัลให้ข้าอีกด้วย” นางชูสร้อยข้อมือปะการังสีแดงระยิบระยับให้ชายหนุ่มทั้งสองตรงหน้านางดู

หลี่เฉินเย่นเองก็ผ่อนลมหายใจอย่างโล่งอก “เช่นนั้นก็ดีแล้ว!”

จูเก๋อหมิงเอ่ยปากถามนาง “ฝ่าบาท ถามอะไรเจ้าอีกหรือไม่”

ชูเซี่ยเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย “วางใจเถิด พระองค์ไม่ได้ระแวงสงสัยอะไรข้าทั้งนั้น”

จูเก๋อหมิงส่ายศีรษะ “แต่ก็ไม่อาจวางใจได้ ครั้งนั้นเพียงแค่ฝ่าบาทพบเจ้าครั้งแรกก็เรียกข้ามาถามถึงเจ้าแล้ว แม้ว่าครั้งนั้นข้าจะโกหกจนรอดมาได้ แต่ทว่าฝ่าบาทเป็นผู้เฉลียวฉลาด เกรงว่าไม่นานจะต้องจับได้แน่ จากนี้ไปเจ้าก็ต้องระมัดระวังการพูดจาให้ดีอย่าได้ประมาทเป็นอันขาด”

ชูเซี่ยมองซ้ายมองขวาก่อนหันกลับมาเอ่ยเสียงเบา “พวกพวกข้ากลับไปค่อยคุยกันดีหรือไม่”

หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ย “ไปเถิด รถม้ารออยู่ที่ประตูฝั่งใต้”

ทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถม้า จูเก๋อหมิงก็เอ่ยขึ้นมาอีก “ยามนี้ฝ่าบาทมีปัญหาเรื่องฝนที่ตกลงมาอย่างหนักทำให้เกิดอุทกภัยและดินถล่ม ถ้าหากฝ่าบาททราบเรื่องที่เจ้าฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ล่ะก็ เริ่มแรกก็คงดีพระทัยมากเป็นแน่ แต่ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกคนใส่สีตีไข่จนเกิดเป็นเรื่องร้ายขึ้นแน่ๆ”

หลี่เฉินเย่นก็คิดเห็นเช่นนั้นเหมือนกัน “ยามนี้คนที่รู้เรื่องตัวตนของเจ้ามีไม่มากนัก นอกจากมามาและเสี่ยวจี๋ก็มีเพียงแค่พวกข้าสองคนเท่านั้น เรื่องนี้ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเก็บไว้ให้เป็นความลับ”

“ยังมีชายที่ชื่อว่าจูฟางหยวนอีกคนหนึ่ง ชูเซี่ย ที่แท้แล้วจูฟางหยวนผู้นั้นเป็นใครกันแน่” จูเก๋อหมิงเอ่ยถาม

ชูเซี่ยรีบเอ่ย “ไม่ต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ เขาคือสหายรักของข้าเอง ตีให้ตายเขาก็ไม่มีวันหักหลังข้าได้”

“ถ้าเจ้ามั่นใจเช่นนั้นก็ดี กลับจวนไปข้าจะรีบส่งมามาและเสี่ยวจี๋ออกจากจวนไปและเปลี่ยนคนรับใช้ใหม่มาให้เจ้า”

ชูเซี่ยร้อนใจ “อย่านะเจ้าคะ ข้าเชื่อใจพวกนาง ข้าเชื่อว่าหากพวกพวกข้าค่อยๆอธิบายถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้พวกนางย่อมไม่มีทางปล่อยให้ความลับรั่วไหลแน่เจ้าค่ะ”

หลี่เฉินเย่นส่ายหน้าไม่ยินยอม “ไม่ได้ ชูเซี่ย เรื่องนี้พวกข้าจะสะเพร่าไม่ได้เด็ดขาด นี่เกี่ยวพันกับความเป็นความตายของเจ้า ข้าจะไม่ยอมให้เกิดอันตรายขึ้นกับเจ้าแน่ แม้ว่าโอกาสที่จะเกิดมีน้อยเพียงใดก็ต้องกำจัดทิ้ง”

จูเก๋อหมิงก็เห็นด้วย “ไม่ผิด แม้ว่าพวกนางจะไม่ตั้งใจพูดออกไปแต่ทว่าก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่ามันจะไม่รั่วไหลออกไป เรื่องนี้พวกข้าไม่อาจล้อเล่นได้ หากมีคนล่วงรู้ความลับนี้เข้าและฝ่าบาท คาดโทษขึ้นมาเกรงว่าแม้แต่จวนอ๋องหนิงอานก็คงพังพินาศ”

ชูเซี่ยเอ่ยขึ้น “ท่านเป็นบุตรชายแท้ๆนะเจ้าคะ คงไม่กล้าอะไรหรอกเจ้าค่ะ”

จูเก๋อหมิงยิ้มเย็น “ลูกชายแท้ๆกับความสงบสุขของปวงประชา เจ้าคิดว่าพระองค์จะเลือกสิ่งใดเล่า”

ชูเซี่ยนิ่งไป พวกเขารู้จักฮ่องเต้ดีกว่านางมาก หากพวกเขาจะกังวลเรื่องนี้ก็แสดงว่ามันก็มีความเป็นไปได้มากพอสมควร

เมื่อกลับมาถึงจวนหลี่เฉินเย่นก็จัดการส่งมามาและเสี่ยวจี๋ออกนอกจวนไปทันที เสี่ยวจี๋และมามาร้องห่มร้องไห้ยกใหญ่ แต่แม้ว่าจะโศกเศร้าเพียงใดท้ายที่สุดทั้งคู่ก็ต้องยอมจากไปแต่โดยดี

หลี่เฉินเย่นมอบเงินก้อนหนึ่งให้แก่พวกนางเพื่อให้ออกไปใช้ชีวิตได้อย่างสุขสบายในภายภาคหน้า เรื่องของชูเซี่ยก็ถูกสั่งให้เก็บเป็นความลับห้ามเอ่ยออกมาแม้แต่ครึ่งคำ

เสี่ยวจี๋และมามาไม่มีทางเอ่ยความลับของนางออกมาอยู่แล้ว แต่ทว่าพวกนางก็กลัวว่าอาจจะมีสักวันที่พวกนางเผลอหลุดปากพูดออกมาเองจึงไม่คิดจะขอร้องอ้อนวอนท่านอ๋องอีก พวกนางยอมออกไปจากจวนอ๋องแต่โดยดี

อาการของฉ่ายเวินนับวันก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่สาวรับใช้ที่คอยดูแลปรนนิบัตฉ่ายเวินก็ยังสังเกตเห็นว่านิ้วของนางขยับเล็กน้อย

ชูเซี่ยก็รู้สึกได้เช่นกันว่ายามนี้สมองของฉ่ายเวินเริ่มทำงานแล้ว นางจึงค่อยๆคลายเข็มที่ตึงไว้ตามเส้นชีพจร

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า