ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 77

ตอนที่ 77 พ่อลูกคุยกัน

ชูเซี่ยค่อยๆลืมตาขึ้นมาในที่สุด หัวของนางยังมึนงงและเหนื่อยล้า นางจึงเลือกที่จะเอนกายนิ่งๆอยู่เช่นนั้นต่อไป ดวงตากลมโตจับจ้องไปที่ฮ่องเต้จากนั้นก็เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “หม่อมฉันยังไม่ตายหรือ?”

เมื่อเห็นว่านางฟื้นขึ้นมาแล้วก็คลายพระทัยลง แต่ทว่าคำพูดของนางกลับทำให้กริ้วขึ้นมา “เพิ่งฟื้นขึ้นมาก็เอ่ยคำพูดไม่เป็นมงคลเสียแล้ว เจ้าต้องไม่ตายแน่ ข้าไม่อนุญาติให้เจ้าตาย”

ชูเซี่ยเอื้อมมือมากุมหน้าผากไว้ หญิงสาวพยายามตั้งสติ นางเพิ่งตื่นมาได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไปดี

นางหันไปถามหมอหลวงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เหตุใดข้าจึงหมดสติไปได้” อาการปวดที่ขาหายไปแล้ว หัวใจของนางค่อยๆคลายความหวาดกลัวลงไป ดูท่าแล้วเวลานางคงยังพอเหลืออยู่บ้าง

ท่านหมอซั่งกวนเอ่ยตอบ “ท่านถูกพิษ”

ชูเซี่ยนิ่งอึ้ง “ถูกพิษ? เป็นไปได้อย่างไร”

หมอซั่งกวนขมวดคิ้วถามนาง “ท่านไม่รู้หรือ พิษชนิดนี้ไม่ใช่พิษที่ร้ายกาจ ท่านเองก็เป็นถึงหมอ เหตุใดจึงไม่รู้เล่า”

ชูเซี่ยส่ายศีรษะช้าๆ “ข้าไม่รู้จริงๆ”

ฮ่องเต้สีพระพักตร์มึนตึง “แล้วคนข้างกายของเจ้าเล่าเชื่อถือได้หรือไม่ บางทีอาจจะเป็นพวกนางที่เป็นคนวางยาเจ้าก็เป็นได้”

ตั้งแต่มามาและเสี่ยวจี๋ถูกส่งตัวออกจากจวนไป คนที่คอยดูแลปรนนิบัตินางก็เหลือเพียงเสี่ยวฉิงผู้เดียวเท่านั้น แต่ทว่าเสี่ยวฉิงก็พอจะระแคะระคายตัวตนที่แท้จริงของนางอยู่บ้างเพราะฉะนั้นเสี่ยวฉิงคงไม่วางยาพิษนางหรอก ในหัวของนางตีกันสับสนวุ่นวายไปหมด นางไม่เคยคิดระวังตัวคนรอบข้างของนางแม้แต่น้อย

ฝ่าบาททอดพระเนตรเห็นท่าทางลังเลของนางก็ถอนพระปัสสาสะออกมา “ผู้หญิงโง่ เจ้าคงไม่เคยสังเกตุเลยใช่หรือไม่ หากวันนี้เจ้าไม่ได้เข้าวังเจ้าคงไม่อาจรักษาชีวิตน้อยๆของตัวเองไว้ได้แล้ว”

มีหรือชูเซี่ยจะมีอารมณ์มาต่อล้อต่อเถียงกับฮ่องเต้ หญิงสาวเพียงแค่ฝืนยิ้มออกมา “แต่หม่อมฉันก็ยังยืนกรานคำเดิมนะเพคะ”

ฮ่องเต้ตรัสอย่างเหนื่อยหน่าย “ถ้าเจ้าจะห่วงเรื่องนี้ เจ้าลองคิดหาทางจับตัวการที่วางยาเจ้าออกมาไม่ดีกว่าหรือ แต่ช่างมันเถิด หลายวันนี้เจ้าก็อย่าเพิ่งกลับจวนอ๋องก่อนดีกว่า อยู่ที่วังนี่ พระราชวังกว้างใหญ่เจ้าอยากไปไหนก็ไปชอบอยู่ที่ไหนก็อยู่”

ชูเซี่ยเห็นว่าหมอหลวงทั้งสองยังอยู่อีกทั้งฮ่องเต้ยังตรัสกับนางด้วยวาจารักใครนั่นก็รู้สึกยุ่งยากขึ้นมา อยู่ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้จะให้นางบันดาลโทสะก็ไม่ควร ดังนั้นหญิงสาวจึงบอกว่านางรู้สึกเวียนหัวต้องการพักเสียหน่อยให้คนออกไปเป็นดีที่สุด

ฮ่องเต้รับสั่งให้หมอหลวงไปจัดยามาให้นางจากนั้นก็ไล่ออกไปให้หมดเหลือเพียงฮ่องเต้ที่ประทับอยู่ข้างกายนาง

ชูเซี่ยจึงทำได้เพียงพลิกกายเข้าด้านในจากนั้นก็พยายามฝืนหลับตาลง

ฮ่องเต้ก็ไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมารบกวนการนอนของนางแม้แต่น้อย ทำเพียงทอดพระเนตรมาที่นางนิ่งๆเท่านั้น จนในที่สุดชูเซี่ยก็ยอมแพ้หันกายกลับมาจ้องมองฮ่องเต้ จากนั้นก็เอ่ยอย่างหมดหนทาง “ฝ่าบาทตรัสว่าจะให้เวลาหม่อมฉันสามวันไม่ใช่หรือเพคะ”

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมาที่นางอย่างครุ่นคิด “ก่อนที่เจ้าจะหมดสติไป เจ้าบอกว่าเจ้าไม่อาจปล่อยวางเขาได้ เขาคนนั้นคือใคร”

ชูเซี่ยนิ่งไป “หม่อมฉันกล่าวเช่นนั้นหรือเพคะ” นางลองย้อนนึกกลับไปก็ดูเหมือนว่าจะเอ่ยออกไปเช่นนั้นจริงๆ ตอนนั้นนางนึกว่าตนเองจะตายเสียแล้วจึงอยากเอ่ยถ้อยคำออกมามากมาย โชคดีเหลือเกินที่นางไม่ได้เอ่ยออกไป มิฉะนั้นหากฮ่องเต้ทราบเรื่องของนางและหลี่เฉินเย่นก็ไม่รู้จะเกิดปัญหาอะไรตามมา

หญิงสาวเอ่ยทูลด้วยสีหน้าใสซื่อ “หม่อมฉันเลี้ยงสุนัขและลาอย่างละหนึ่งตัวเพคะ ลาตัวนั้นเป็นสัตว์เลี้ยงที่อาจารย์มอบให้หม่อมฉัน มันอยู่ข้างกายหม่อมฉันมานานเหลือเกิน”

ฮ่องเต้สรวลออกมา “ลา? เจ้าเลี้ยงลางั้นหรือ เอาอย่างนี้ หากว่าเจ้าคิดถึงมัน ข้าจะส่งคนไปรับมันเข้าวังดีหรือไม่”

ชูเซี่ยรีบร้อนเอ่ยห้ามทันที “ฝ่าบาทเพคะ ความจริงแล้วให้ข้าพักสักหน่อยก็สามารถออกจากวังได้แล้วล่ะเจ้าค่ะ นอกจากนี้คนที่วางยาทำร้ายข้าก็ยังหาตัวไม่พบ ข้ารู้สึกไม่สบายใจอย่างยิ่ง ข้าอยากกลับไปหาตัวผู้ลงมือด้วยตนเองเจ้าค่ะ ข้าอยากรู้เหลือเกินว่าเหตุใดจึงต้องลงมือวางยาข้าด้วย ข้าไปทำอะไรให้” นางเอ่ยออกมาด้วยความร้อนรนจนลืมใช้คำว่า ‘หม่อมฉัน’ ไปเสียสนิท เอ่ยคำพูดเช่นนี้เบื้องพระพักตร์ความจริงมีโทษมหันต์ แต่ทว่าโชคดีเหลือเกินที่ฮ่องเต้ไม่ได้ถือสาหาความนาง

ฮ่องเต้ไม่เห็นด้วย “จะให้ข้าส่งเจ้ากลับไปพบเจออันตรายอีกงั้นหรือ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเองก็ไม่รู้ว่าผู้ใดเป็นผู้วางยาเจ้า ศัตรูอยู่ในที่มืด เจ้าอยู่ในที่แจ้ง ”

ชูเซี่ยได้ยินดังนั้นก็รีบร้อนห้ามฮ่องเต้ไว้ “ฝ่าบาทอย่าได้เอ่ยเรื่องที่หม่อมฉันถูกวางยาพิษที่จวนอ๋องให้ท่านอ๋องรู้เลยนะเพคะ” แต่ฝ่าบาทมีหรือจะเชื่อนาง “เพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นในจวนอ๋องข้าจึงต้องสอบสวนอย่างถึงที่สุด ยังดีที่ยามนี้คนที่ถูกวางยาพิษเป็นเจ้า หากวันหน้ามันเกิดคิดร้ายต่อเฉินเย่นขึ้นมา เฉินเย่นเองก็คงไม่ทันได้ตั้งรับสถานการณ์เช่นนี้แล้วเกิดเหตุร้ายกับบุตรชายของข้าจะทำเช่นไรเล่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน เรื่องนี้เจ้าก็ยกให้เป็นหน้าที่ของข้าเถิด ข้าจะไม่มีวันปล่อยให้ใครมาทำร้ายเจ้าได้แน่” ชูเซี่ยทราบดีว่าฮ่องเต้ไม่ใช่ผู้ที่จะถูกนางหลอกได้โดยง่าย ความจริงแล้วนอกจากจะต้องการตามหาผู้ร้ายแล้วนางยังอยากกลับไปพักฟื้นที่จวนอ๋องมากกว่า ในวังหลวงแห่งนี้นางรู้สึกไม่คุ้นเคย นางอยู่แล้วอึดอัดใจยิ่งนัก

ฮ่องเต้ทอดพระเนตรนาง จากนั้นก็ถอนพระปัสสาสะ “ก็ได้ ข้าจะให้เวลาเจ้าไปคิดไตร่ตรองให้ถี่ถ้วนเสียก่อน คงต้องให้เวลาเจ้าเสียหน่อยจึงจะดี ตอนนี้เจ้าก็นอนพักฟื้นไปก่อน ข้าจะสั่งคนให้ไปเชิญเฉินเย่นเข้าวังมารับเจ้าก็แล้วกัน แต่ทว่าเจ้าต้องรับปากข้าเสียก่อนว่าจะไม่ทำให้ตัวเองต้องตกอยู่ในอันตราย มิฉะนั้นต่อให้ยังไม่ครบกำหนดข้าก็จะรับเจ้าเข้าวังอย่างไม่มีข้อแม้!”

หลี่เฉินเย่นเพิ่งเดินทางกลับมาจากค่ายทหาร ชายหนุ่มเพิ่งจะเดินผ่านประตูมาก็ได้ยินจากพ่อบ้านว่ากงกงจากวังหลวงมารออยู่นานแล้ว แต่ทว่าชายหนุ่มก็ไม่ได้สนใจ เขาเลือกจะถามถึงหญิงสาวในดวงใจของตนเองก่อนมากกว่า “หมอชูเข้านอนหรือยัง”

เมื่อพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ย “วันนี้หมอชูเดินทางเข้าวังไปรักษาอาการฝ่าบาทขอรับ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่กลับมาเลย! ท่านหมอชูมาหาท่านอ๋องเมื่อช่วงเช้าแต่ท่านกลับเดินทางไปค่ายทหารเสียก่อน เพราะเป็นรับสั่งจากฝ่าบาทท่านหมอชูจึงไม่อาจขัดรับสั่งได้นางจึงยอมเดินทางเข้าวังแต่โดยดี แต่เบื่อบ่ายกงกงกลับเดินทางมาที่จวนอ๋องดูท่าจะมีเรื่องเร่งด่วน ท่านอ๋องก็รีบไปดูหน่อยเถิดขอรับ”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเปลี่ยนสีทันที “เหตุใดจึงเข้าวัง พระอาการของเด็จพ่อดีขึ้นแล้วไม่ใช่หรือ แล้วนางยังจะเข้าวังทำไมอีก ไม่มีเรื่องแล้วยังจะหาเหาใส่หัวตนเองอีก”

ท่านพ่อบ้านได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยแก้ตัวให้ “เป็นรับสั่งของฝ่าบาทนะขอรับ ท่านหมอชูจะขัดขืนได้อย่างไรกันเล่า ท่านหมอชูจึงสั่งให้ข้ามารอพบท่านเพื่อไม่ให้จวนอ๋องเกิดความวุ่นวายขึ้นขอรับ”

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า