ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 87

สรุปบท ตอนที่ 87 เจอเพื่อนเก่าอีก: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอน ตอนที่ 87 เจอเพื่อนเก่าอีก จาก ชายาเกิดใหม่ของข้า – ความลับ ความรัก และการเปลี่ยนแปลง

ตอนที่ 87 เจอเพื่อนเก่าอีก คือตอนที่เปี่ยมด้วยอารมณ์และสาระในนิยายโรแมนซ์ ชายาเกิดใหม่ของข้า ที่เขียนโดย ลิ่วเยว่ เรื่องราวดำเนินสู่จุดสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยใจตัวละคร การตัดสินใจที่ส่งผลต่ออนาคต หรือความลับที่ซ่อนมานาน เรียกได้ว่าเป็นตอนที่นักอ่านรอคอย

ตอนที่ 87 เจอเพื่อนเก่าอีก

งานเลี้ยงช่วงค่ำ ณ เรือนเซียงซือ อ๋องเก้าสั่งให้คนเตรียมของว่างไว้จำนวนมาก ทั้งยังเตรียมเหล้าเซาเตาจื่อไว้ด้วย แต่เพราะชูเซี่ยกับพระชายาเจิ้นหน่วนเข้าร่วมด้วย ดังนั้นจึงอุ่นเหล้าน้ำข้าวหมากไว้ด้วย

อ๋องเก้ารินเหล้าให้ชูเซี่ย พูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “แน่นอนว่าเหล้าข้าวหมากเทียบกับเหม้าที่ข้าหมักเองไม่ได้ แต่ดื่มได้ง่ายกว่ามาก ดื่มเยอะ ๆ สิ”

หลี่เฉินเย่นเลื่อนสายตาขึ้น เขามองชูเซี่ยและอ๋องเก้า แววตามีความประหลาดใจ

ชูเซี่ยชำเลืองมองหลี่เฉินเย่น จากนั้นก็อธิบาย “ข้าับอ๋องเก้ารู้จักกันตอนที่อยู่เยว่โจว”

หลี่เฉินเย่นไม่ค่อยพอใจสักเท่าไร “ข้าไม่เห็นจะเคยได้ยินเจ้าพูดมาก่อนเลย”

ชูเซี่ยยกแล้วสุราขึ้น พลางมองสีดำในแก้วที่อุ่นนิด ๆ กลิ่นหอมของสุราลอยเข้าจมูก กลิ่นหอมหวานวนเวียนอยู่ที่ปลายจมูก นางดื่มไปหนึ่งอึก จากนั้นก็วางแก้วสุราแล้วพูดกับหลี่เฉินเย่น “ไม่ใช่เรื่องสำคัญ ข้าก็เลยไม่พูด”

หลี่เฉินเย่นเข้าใจแล้ว นางคิดนางกับอ๋องเก้าเป็นสหายเก่ากัน ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ อ๋องเก้าไม่มีน้ำหนักในใจนางแม้แต่นิด เขาดีใจที่ได้ยินนางพูดแบบนี้ เพราะอ๋องเก้ามีรูปร่างหล่อเหลาสง่างาม นิสัยรักอิสระ ได้รับความชื่นชอบจากผู้หญิงมากที่สุด

อ๋องเก้ายิ้มอย่างหงุดหงิด “ชูเซี่ย เจ้าพูดเช่นนี้ไม่กลัวว่าจะทำร้ายจิตใจอันเปราะบางของข้าบ้างหรือ”

หลี่อวิ๋นกังกับชายาของเขาพลันตะลึงไปชั่วครู่ เงยหน้ามองชูเซี่ยอย่างพร้อมเพียง พระชายาเอ่ยถามอย่างเสียงหลง “เจ้าชื่อชูเซี่ยหรือ เจ้าไม่ได้ชื่อเวินหน่วนหรือ”

ชูเซี่ยหน้าแข็งทื่อ จากนั้นก็ยิ้มแหย “ชูเซี่ยคือชื่อสมัยเด็กของข้า ต่อมาอาจารย์ก็บอกว่าชื่อข้าฟังแล้วคล้ายกับคำว่าโรคติดต่อร้ายแรง ไม่เป็นมงคล ก็เลยช่วยเปลี่ยนชื่อข้าเป็นเวินหน่วน แต่ถึงแม้เขาจะช่วยเปลี่ยนชื่อข้า แต่ข้ามักจะใช้ชื่อชูเซี่ยบ่อย ๆ ท่านอ๋องเก้าได้ยินอาจารย์ข้าเรียกข้าว่าชูเซี่ย ก็เลยเรียกชูเซี่ยตาม”

พระชายาสีหน้าดูห่อเหี่ยวสิ้นหวัง “บังเอิญขนาดนี้เลยหรือ” นางมองหลี่เฉินเย่น ในใจเหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาทันที จากนั้นก็มองชูเซี่ยด้วยความสงสารนิด ๆ

ซ่งอิว๋นกังกุมมือนางไว้แล้วกล่าวอย่างสุขุม “เรื่องบางเรื่องก็ไม่มีสิ่งใดทดแทนกันได้ มีเพียงคนโง่เท่านั้นที่จะหาสิ่งของมาทดแทน อีกอย่าง ไก่ฟ้าก็มิอาจเปลี่ยนเป็นนกเฟิงหวง (หมายถึง นกฟีนิกซ์) ได้เช่นกัน”

ชูเซี่ยมองทั้งสองอย่างสงสัย นางเข้าใจในความหมายของพระชายาแล้ว แต่ซ่งอวิ็นกังพูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร นางคิดว่าตัวนางในอดีตเป็นคนที่ชอบออกหน้าช่วยเหลือผู้ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมหรือเป็นคนด้อยค่าอย่างตัวนางในปัจจุบันกัน

หลี่เฉินเย่นได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ข่มอารมณ์ไว้ไม่ให้ระเบิดออก

อ๋องเก้าเปลี่ยนหัวข้อ ใช้น้ำเสียงชื่นชมพูดกับหลี่เฉินเย่น “เฉินเย่น ได้ข่าวว่าสามปีมานี้เจ้าได้ความดีความชอบทางการทหารอยู่บ่อยครั้งจนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นแม่ทัพอินทรีบิน ต้องขอบคุณการสั่งสอนในกาลก่อนของพี่เจ้า หากไม่ได้การฝึกฝนชี้แนะอย่างเข้มงวดจากพี่เจ้า เจ้าคงไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างวันนี้แน่”

สีหน้าของหลี่อวิ๋นกังเปลี่ยนไป เขาพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ความดีความชอบของข้าที่ไหนกัน เสด็จอาพูดไปแบบนั้น คนจริงจังเขาจะโกรธเอาได้” เดิมทีตำแหน่งแม่ทัพอินทรีบินควรจะเป็นของหลี่อวิ๋นกัง เขาถือสาเรื่องนี้มาตลอด เขาไม่ขอราชบัลลังก์ คนที่มีผลงานเกรียงไกรในสนามรบมาตลอดมีเป้าหมายและสิ่งที่แสวงหาเป็นของตัวเอง ชื่อแม่ทัพอินทรีบิน คือเป้าหมายและความฝันของเขา

แต่ทว่า เขาติดตามออกรบกับแม่ทัพจูมาตั้งแต่อายุสิบหก จนถึงปีนี้ก็เป็นเวลาสิบปีแล้ว สู้รบมานับครั้งไม่ถ้วน ปกป้องแคว้น พิทักษ์รักษาความปลอดภัยของแผ่นดินมาตลอด แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ใด

แต่ในทางตรงกันข้าม หลี่เฉินเย่นรบชนะไปไม่กี่ครั้งก็ถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพอินทรีบิน แล้วจะไม่ให้เขาชิงชังได้อย่างไร จะว่าไป พอพูดถึงเรื่องในอดีตแล้ว ตอนนั้นหากไม่ใช่เพราะเขาสติเลอะเลือน จนถึงขั้นเกือบจะฆ่าชูเซี่ยที่เป็นแม่บุญทำของอันหราน ตอนนี้ก็ยังเจอผู้หญิงที่ชื่อชูเซี่ยอีกคน และคิดว่าสามารถเข้ามาแทนที่ชูเซี่ยตัวจริงได้ ดูเหมือนสิ่งที่เขาเรียกว่าความรู้สึกลึกซึ้งจะเป็นเพียงอุบายที่ทำให้เห็นว่ามันสำเร็จแล้ว

พอมองชูเซี่ยอีกครั้ง ท่าทางที่เหมือนหญิงใจง่าย ด้านหนึ่งก็ยื้อยุดไม่ชัดเจนกับเสด็จพ่อ อีกด้านหนึ่งก็ทำตัวมีเลศนัยกับหลี่เฉินเย่น ตอนนี้ยังเหมือนจะมีมิตรภาพเก่า ๆ กับอ๋องเก้าอีก ผู้หญิงเช่นนี้ที่ชื่อชูเซี่ยเหมือนกัน นับได้ว่าเป็นการดูถูกแม่บุญธรรมของอันหราน

หลี่เฉินเย่นได้ยินแล้วพลันลุกขึ้นยืน จากนั้นก็คำนับอ๋องเก้าพลางกล่าวว่า “ในเมื่อพูดคุยไม่ถูกคอกัน โปรดอย่าได้ถือสาที่หลานต้องขอตัวลากลับ”

หลี่อวิ๋นกังก็ลุกขึ้นเช่นกันแล้วเอ่ยพูดกับอ๋องเก้า “ต่อให้เหล้าจะรสเลิศเพียงใด แต่กลับไร้คนรู้ใจก็ทำให้เหล้ารสเลิศเฝื่อนอยู่ดี หลานก็ขอตัวเช่นกัน”

อ๋งเก้าลุกขึ้นยืนทันที “ไอหยา พวกเจ้าพี่น้องทำอันใดกัน ไว้หน้าอาหน่อยได้หรือไม่ จะว่าไปมันก็ไม่ใช่เรื่องอาฆาตแค้นใหญ่หลวงอะไร แค่เรื่องเข้าใจผิดกันเองนี่”

หลี่อวิ๋นกังจูงพระชายาเจิ้งหน่วนพลางพูด “ไม่ล่ะ เราไปกันเถอะ!”

พูดจบก็เดินออกไปทันที

หลี่เฉินเย่นก็ลากจูงชูเซี่ยเช้นกัน “เราไปกันเถอะ”

มือของเวินอีกผละออกเบา ๆ “ท่านไปก่อนเถอะ เขามีเรื่องจะถามท่านอ๋องเก้าสักหน่อย”

หลี่เฉินเย่นมุ่นคิ้ว “จะถามอะไรหรือ ข้ารอเจ้าได้”

ทว่า ชูเซี่ยกลับส่ายหน้า “เป็นเรื่องที่เยว่โจวน่ะ ท่านกลับไปก่อน ข้ายังต้องกลับไปปรนนิบัติไทเฮาที่ตำหนักฉิ่นอีก”

หลี่เฉินเย่นเห็นว่านางยืนกรานจะพูดกับอ๋องเก้าก็นึกโกรธขึ้นมาแล้วกล่าวเสียงเรียบ “ตามใจเจ้าแล้วกัน!” พูดจบก็สะบัดเสื้อแล้วเดินจากไป

ชูเซี่ยนั่งกลับลงไปอีกครั้ง พลางมองอ๋องเก้าอย่างจริงจัง “ท่านพอใจหรือยัง”

อ๋องเก้ายักไหล่ “แต่ไหนแต่ไรมาความรู้สึกแบบพี่น้องของพวกเขาก็ไม่ได้มีมากพออยู่แล้ว แค่ยุแหย่ไปไม่กี่คำก็ทนไม่ไหวแบบนี้ ต่อไปก็ถูกขุนนางใกล้ตัวยุแยงอีก ถ้าไม่ตีกันนั่นถึงจะแปลก”

“พวกท่านเป็นอาหลานกัน เกี่ยวข้องทางสายเลือดกันนะ”

อ๋องเก้หุบยิ้มพลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นเย็นชาทันที "ข้ากับฮ่องเต้ก็เป็นพี่น้องกันเช่นกัน"

"การที่เขาขอโทษท่านก็ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเขาพี่น้อง เหตุใดต้องยุแยงความสัมพันธ์ของพวกเขาด้วย ตัวท่านไม่ถูกกับพี่น้อง แล้วจำต้องให้พวกเขาเดินตามรอยท่านด้วยหรือ" ชูเซี่ยพูดด้วยความโมโห "ก่อนหน้านี้ที่อยู่เยว่โจว ข้าคิดว่าท่านไม่ชอบขัดแย้งกับคนอื่นมาตลอด แต่ตอนนี้คิดดูแล้ว ท่านไม่คนไม่ชอบขัดแย้งกับผู้อื่น ท่านก็แค่พวกแอบซ่อน มิเช่นนั้นท่านคงไม่ให้คนสนิทแฝงตัวอยู่ในเมืองหลวงมากมายขนาดนี้"

ไทเฮาดูสับสนวุ่นวาย "ข้าได้ยินคนเรียกข้าว่าเหล่าฝอเย่ (ใช้เรียกบุคคลสูงอายุที่เคารพมาก)"

ใจของชูเซี่ยสั่นนิด ๆ เหล่าฝอเย่ คือคำที่ตอนนางใช้เรียกพระนางตอนเข้าวังช่วงแรก ๆ ตอนนั้นนางเกือบจะถูกลงโทษเพราะคำเรียกนี้ด้วยซ้ำ

นางแกล้งถามทั้งที่รู่อยู่แก่ใจ "ไทเฮาเห็นฝอเย่ (พระพุทธเจ้า) หรือเพคะ ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเรื่องดี เพราะชี้ชัดแล้วว่าพระนางมีพระพุทธเจ้าคุ้มครองอยู่นะเพคะ"

ไทเฮาถอนหายใจยาวเฮือก "หวังว่าจะเป็นเรื่องดีนะ!"

ชูเซี่ยประคองพระนางนอนลง "หลับให้สบายนะเพคะ"

อยู่ ๆ ไทเฮาก็ดึงมือนางไว้ "เจ้าน่ะ เจ้าไปที่ห้องพระเอาลูกประคำมาให้ข้าหน่อย"

ชูเซี่ยตอบกลับว่า "เพคะ อย่าทรงคิดมากเลยเพคะ ทรงพักผ่อนเถอะ" พูดจบนางก็นั่งตรงหัวแท่นพระบรรทมนวดพระเศียรให้ไทเฮา

ลมหายใจของไทเฮาค่อย ๆ สม่ำเสมอ พระนางก็พลันลืมพระเนตรอีกครั้งแล้วตรัสถาม "เจ้าชื่ออะไรหรือ"

ชูเซี่ยตอบกลับ "หม่อมฉันชื่อเวินหน่วนเพคะ"

ไทเฮาถอนหายใจยาว "เวินหน่วน เป็นชื่อที่ดีมาก"

ชูเซี่ยยิ้มอย่างขมขื่น เวินหน่วน ความจริงแล้วเป็นชืาอที่ดี แต่ทว่านั่นไม่ใช่ชื่อของนาง

ในที่สุดไทเฮาก็บรรทมหลับ ชูเซี่ยนั่งบนตั่งตัวยาว รู้สึกล้าทั้งกายใจ นางเอนกายพักผ่อนบนตั่งสักพัก รู้สึกว่าสภาพจิตใจเหนื่อยล้าขึ้นมา เปลือกตาก็หนักขึ้นเรื่อย ๆ สุดท้ายก็หลับไป

ไม่รู้ว่าหลับไปนานเท่าใด จวบจนกระทั่งแสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจากทางหน้าต่างสาดส่องตาแยวนาง นางลืมตาขึ้น พอเปิดหน้าต่างกแสงอาทิตย์อันงดงามที่ข้างนอก เป็นความอบอุ่นในช่วงเดือนสาม นางตะลึงไปชั่วครู่ ฝนหยุดแล้วหรือ

ไทเฮายังคงบรรทมลึกอยู่ ข้างนอกตรงระเบียงยาวก็ไม่มีนางกำนัลเดินไปมา นางยืดตัวบิดขี้เกียจ คิดจะออกไปเดินขยับกายข้างนอกสักพัก

อยู่ ๆ ก็มีเสียงผู้หญิงดังขึ้นจากด้านหลังนาง "ชูเซี่ย!"

นางรู้สึกว่าอากาศพลันเย็นเยือกลง นางหันกลับไปมองทันที จากนั้นก็มองเห็นร่างหญิงสาวสวมชุดสีเหลืองยืนอยู่ ใบหน้าเศร้าโศก หน้านั้น นางคุ้นเคยเป็นอย่างดี

เป็นหลิวหยิงหลง!

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า