ชายาเกิดใหม่ของข้า นิยาย บท 95

สรุปบท ตอนที่ 95 เจอกันในสนามรบ: ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนที่ 95 เจอกันในสนามรบ – ตอนที่ต้องอ่านของ ชายาเกิดใหม่ของข้า

ตอนนี้ของ ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่ ถือเป็นช่วงเวลาสำคัญของนิยายโรแมนซ์ทั้งเรื่อง ด้วยบทสนทนาทรงพลัง ความสัมพันธ์ของตัวละครที่พัฒนา และเหตุการณ์ที่เปลี่ยนโทนเรื่องอย่างสิ้นเชิง ตอนที่ 95 เจอกันในสนามรบ จะทำให้คุณอยากอ่านต่อทันที

ตอนที่ 95 เจอกันในสนามรบ

หลี่เฉินเย่นกุมมือของนางที่โอบด้านหลังเขาไว้ น้ำเสียงของชายหนุ่มช่างเย็นชาเหลือเกิน “ชูเซี่ย วันนี้เสด็จพ่อทรงมีราชโองการให้เสด็จพี่มอบกองกำลังทหารคืนมาทั้งหมดและส่งต่อมาให้แก่เปิ่นหวาง!”

ชูเซี่ยฝังใบหน้าเล็กๆไว้กับแผ่นหลังของเขาก่อนจะเอ่ยเสียงอู้อี้ “เขาต้องการให้พวกท่านสองพี่น้องเข่นฆ่ากันหรือเจ้าคะ”

ชายหนุ่มค่อยๆหันกลับมาหานาง ชูเซี่ยจึงเงยหน้ามองเขาและก็เห็นว่าใบหน้าหล่อเหลามีรอยช้ำ หญิงสาวจึงเอ่ยถามอย่างตื่นตระหนก “เกิดอะไรขึ้น”

“วันนี้เสด็จพี่ทำร้ายเปิ่นหวาง”

“ท่านโต้ตอบหรือไม่” หัวใจของชูเซี่ยหล่นวูบขณะที่นางเอ่ยถาม

หลี่เฉินเย่นส่ายหน้า “ไม่ เพราะเปิ่นหวางรู้แจ้งดีอยู่แก่ใจว่านี่เป็นแผนการณ์ของเสด็จพ่อที่ต้องการให้เราสองพี่น้องเข่นฆ่ากัน เสด็จพี่หลายปีมานี้ได้รับความเคารพนับหน้าถือตาจากปวงประชามากมายทำให้เสด็จพ่ออิจฉา ดังนั้นพระองค์จึงจงใจหันมาสนับสนุนเปิ่นหวางให้เชิดหน้าชูตาขึ้นมา และในที่สุดพวกเราสองพี่น้องก็ต้องแก่งแย่งกันเพื่อหาผู้ชนะในสงครามสายเลือดนี้เพียงหนึ่งเดียวแลจากนั้นเขาก็จะตัดอำนาจผู้ชนะเสีย เสด็จพ่อเป็นคนเช่นนี้ พระองค์กำลังใช้แผนนกกระยางสู้กับหอยกาบ นั่นก็คือสองฝ่ายที่ต่อสู้กันต่างก็ไม่ได้รับผลประโยชน์ใดใดทั้งสิ้น แต่ผู้ได้รับผลประโชยน์กลับเป็นชาวประมงเช่นพระองค์อย่างไรเล่า!”

“เสด็จพี่ของท่านก็ไม่ใช่คนโง่เขลา เขาย่อมดูออกแน่ว่าเสด็จพ่อของท่านกำลังวางแผนการณ์เช่นนี้ออกมา!”

หลี่เฉินเย่นยิ้มอย่างขมขื่น “เสด็จพี่เป็นนักรบมาแต่กำเนิด จะให้เขาขี่ม้าสู้ลบในสนามนับหมื่นลี้ก็ไร้ข้อบกพร่องใดๆ ทั้งชีวิตเขามีแต่สนามรบ เจ้าคิดว่าการที่จู่ๆเขาต้องมาถูกริบรอนอำนาจนั้นเขาจะทนได้หรือ การสูญเสียที่มากเกินไปอาจจะทำให้เขาครองสติไม่อยู่อีกแล้วก็เป็นได้ การขาดสตินั้นอาจจะทำให้ความคิดความอ่านของเขาบกพร่องก็เป็นได้”

ชูเซี่ยเงียบ!

หลี่เฉินเย่นเอื้อมมือที่สั่นสะท้านไปจับใบหน้าของชูเซี่ยไว้ หัวใจของชายหนุ่มเหนื่อยล้าเหลือเกิน “ชูเซี่ย พวกเราหนีกันดีหรือไม่ หนีไปจากที่แห่งนี้ หนีไปในที่ที่ไม่มีใครามารถหาเราพบ ใช้ชีวิตอยู่อย่างสงบสุขไร้ผู้คนดีหรือไม่”

“หนี?” หัวใจที่เศร้าหมองของชูเซี่ยมีประกายแห่งความหวังขึ้นมา มีหรือที่นางจะไม่อยากใช้ชีวิตที่เหลืออยู่กับเขา แต่ในยามนี้เธอและเขาไม่อาจหลบหนีปัญหาไปได้จริงๆ

ความจริงในข้อนี้ทำให้หัวใจของนางรู้สึกเจ็บปวด ชูเซี่ยเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “หนีไม่ได้ หากพวกเราหนีไปแล้วจะทำให้ฮองเฮาและจวนอ๋องต้องโทษอาญาไปด้วยนะเจ้าคะ หากต้องให้พวกเขาสละชีวิตเพื่อพวกเรา พวกเราจะทนได้หรือเจ้าคะ”

หลี่เฉินเย่นโอบกอดนางไว้แน่น คางของเขาอิงอยู่บนศีรษะของนาง ดวงตาคมฉายแววลึกล้ำและเย็นชา

สินสอดทองหมั้นถูกส่งไปแล้ว การแต่งงานก็ถูกกำหนดขึ้นแล้ว

การใช้ให้เรากองทหารยอมรับในการเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องใช้เวลา เนื่องจากการแต่งงานของหลี่เฉินเย่นเป็นพิธีใหญ่โต ฮ่องเต้ทรงเมตตาจึงเก็บชะลอการมอบกองทัพให้แก่เขาไปก่อน รอจนเสร็จสิ้นงานแต่งดีแล้วจึงจะค่อยทำการมอบให้แก่เขาอีกครั้ง

ดังนั้นหากจะกล่าวให้ถูกก็คือกองทัพในมือของเจิ้นหยวนอ๋องถูกริบกลับมาแล้วแต่ก็หาได้ตกอยู่ในมือของหลี่เฉินเย่นเช่นกัน กลับกลายเป็นว่าในยามนี้กองทัพทหารทั้งหมดตกอยู่ในมือของฮ่องเต้ บัดนี้ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่มีสิทธิ์เข้าถึงกองทหารอีกแล้วนอกจากพระองค์

ดังนั้นข่าวลือที่ว่าหลี่เฉินเย่นได้ครอบครองอำนาจทหารของเจิ้นหยวนอ๋องจึงเป็นเพียงแค่ในนามเท่านั้น เขาไม่ได้ครอบครองมันจริงๆเสียหน่อย

วันเพ็ญเดือนสิบสอง วันที่สิบเก้า งานแต่งงานจะถูกจัดขึ้นในอีกไม่กี่วัน

หลายวันมานี้หลี่เฉินเย่นไม่ได้เข้าวังอีกเลย เขาไม่อยากไปเผชิญหน้ากับเสด็จพี่ของตนเอง เพราะในเวลานี้เขาไม่มีกระจิตกระใจอยากไปทะเลาะกับผู้ใดอีกแล้ว

แต่ทว่าไม่ว่าเขาจะซ่อนตัวสักเพียงใดปัญหาก็มาเยือนถึงหน้าประตูจวนอยู่ดี

ในเช้าวันนี้อากาศอึมครึ่มจนถึงช่วงบ่ายก็มีสายฝนโปรยปรายลงมา

เมื่อถึงช่วงยามโหย่ว เจิ้นหยวนอ๋องและกลุ่มองครักษ์ก็บุกมาถึงจวนอ๋องหนิงอาน

ประตูที่ปิดสนิทถูกเจิ้นหยวนอ๋องกระแทกเสียจนพังลงมาจากนั้นก็บุกเข้าไปถึงในจวนอ๋อง

เพราะงานมงคลที่กำลังมาถึงทำให้ยามนี้จวนอ๋องหนิงอานประดับประดาไปด้วยข้าวของสีแดงเต็มไปหมด ไม่ว่ามองไปทิศทางใดก็เจอตัวอักษรมงคล โคมไฟก็ถูกจุดจนสว่างจ้าอยู่ทั่วทั้งจวน

เจิ้นหยวนอ๋องยืนเด่นอยู่ที่ลานกว้างก่อนจะตวัดดาบจนโคมไฟสีแดงพังกระจัดกระจายไปหมด จากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยออกมาด้วยเสียงดังราวกับฟ้าผ่า “หลี่เฉินเย่น ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”

มีคนนำเรื่องไปแจ้งแก่หลี่เฉินเย่นแล้ว เมื่อเขาทราบเรื่องก็รีบวิ่งออกมาอย่างตื่นตระหนก ชายหนุ่มเห็นว่าเสด็จพี่พาองครักษ์มาด้วยกลุ่มหนึ่ง ยังไม่ทันที่เขาจะได้เอ่ยถามอะไร หมัดของเจิ้นหยวนอ๋องก็กระแทกเข้ามาเต็มหน้าของเขาจนหลี่เฉินเย่นมึนงงไปหมด ยังไม่ทันที่จะได้หยัดกายลุกขึ้น หลี่อวิ่นกังก็กระแทกหมัดใส่เขาอีกครั้ง

ชูเซี่ยเองเมื่อได้ข่าวก็รีบวิ่งออกมาเช่นกัน ยามที่เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้าหญิงสาวถึงกับพุ่งออกมาขวาง “เจิ้นหยวนอ๋อง ท่านทำเช่นนี้หมายความว่าอย่างไรกันเจ้าคะ”

องครักษ์ที่มากับเจิ้นหยวนอ๋องเข้ามาดึงร่างของชูเซี่ยออกไป ใบหน้าของพวกเขาทุกคนต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดและโกรธแค้น ชูเซี่ยนิ่งไป ตอนนี้นางไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม จะต้องมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นแน่

หมัดของเจิ้นหยวนอ๋องซัดลงมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้หลี่เฉินเย่นปัดออกไปได้ก่อนที่จะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธเคือง “แล้วท่านมาทำบ้าอะไรที่นี่กัน”

องครักษ์ที่เอ่ยถามหลี่เฉินเย่นเมื่อครู่เดินเข้ามารั้งร่างสูงของหลี่อวิ่นกังไว้ “ท่านอ๋องโปรอย่าวู่วาม อย่างไรเสียองค์ชายน้อยก้ยังอยู่ในกำมือของพวกเขา!”

เจิ้นหยวนอ๋องสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ดวงตาคมยังจับจ้องอยู่ที่หลี่เฉินเย่น จากนั้นก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนลงและจริงใจมากขึ้น “เจ้าอยากได้อะไรเปิ่นหวางจะมอบให้เจ้าทั้งหมด ยกเว้นอานเหยียนเพียงผู้เดียวเท่านั้น เด็กคนนั้นเป็นดั่งแก้วตาดวงใจและชีวิตของพี่สะไภ้เจ้า เจ้าพาตัวเขาไปเช่นนี้หรือเจ้าไม่อยากให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปแล้วหรือ นางไม่เคยทำเรื่องไม่ดีต่เจ้าไม่ใช่หรือ เจ้าอย่าได้ดึงนางมาอยู่ในวังวนแห่งการแก้แค้นของเราสองพี่น้องอีกเลย เจ้าส่งอานเหยียนคืนมาแล้วเปิ่นหวางจะถือเสียว่าเรื่องนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ทั้งยังขอสาบานว่าจะไม่นำเรื่องนี้กลับมาเป็นข้ออ้างในการแก้แค้นอีก!”

หลี่เฉินเย่นยังคงเอ่ยตอบเสียงนิ่งสงบ “เสด็จพี่ ท่านสมควรรู้ไว้ สิ่งที่ท่านใส่ใจไม่จำเป็นต้องเป็นสิ่งที่ข้าใส่ใจ สิ่งที่ท่านสูญเสียในวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าข้าจะมี แต่ต่อให้ข้ามีอยู่จริงก็ใช่ว่าจะเป็นสิ่งที่ข้าร้องขอ อานเหยียนเป็นหลานของข้า ต่อให้เราสองพี่น้องจะแค้นเคืองต่อกันเพียงใดข้าก็ไม่เคยคิดจะแตะต้องเขามาแต่ปลายเล็บ ไม่ว่าท่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วนแล้วแต่ท่าน เพราะอย่างไรเสียคำตอบของข้าก็มีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น!”

ดวงตาของเจิ้นหยวนอ๋องเป็นประกายกล้า ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความโกรธ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเย็นชา “ดี หลี่เฉินเย่น เช่นนั้นเจ้าก็จงจำไว้ว่าเป็นเจ้าที่ไม่เห็นแก่สายสัมพันธ์พี่น้องของเราก่อน หากอานเหยียนเป็นอะไรขึ้นมาเปิ่นหวางจะให้เจ้าและคนทั้งจวนอ๋องหนิงอานต้องชดใช้!”

จากนั้นชายหนุ่มก็หันกลับไปพยักหน้าให้เหล่าองครักษ์ “ขอรับ!”

ชูเซี่ยพยุงร่างของหลี่เฉินเย่นขึ้นมาจากนั้นก็ตรวจดูบาดแผลของเขาด้วยความเป็นห่วง โชคดีเหลือเกินที่เป็นแผลแค่ผิวหนังส่วนนอก แต่ทว่าหากแทงลึกไปมากกว่านี้นางก็ไม่อยากจะคิด

ชูเซี่ยหันมามองเขา “เหตุใดท่านจึงไม่หลบ หากว่าเขาแทงดาบเข้าไปลึกกว่านี้ชีวิตน้อยๆของเท่านก็ไม่เหลือแล้วนะ!”

หลี่เฉินเย่นค่อยๆยิ้มออกมา ใบหน้าหล่อเหลาเปร่งประกาย แม้แต่รอยยิ้มของเขาก็ดูสดใส “เปิ่นหวางกำลังเดิมพัน เดิมพันว่าเขาไม่กล้าลงมือ!”

ชูเซี่ยเอ่ยด้วยความฉงน “หากไม่ใช่ว่าเชียนซานมาห้ามไว้ ดาบของเขาก็แทงทะลุแล้ว”

หลี่เฉินเย่นส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ ฝ่ามือของเสด็จพี่พลิกขึ้นต่อให้เขาใช้แรงมากก็จริงแต่ก็ไม่ทำให้ร่างกายเปิ่นหวางเป็นแค่แผลถากๆเท่านั้น ไม่ได้ทำให้เกิดแผลลึกอะไร ชูเซี่ย ที่แท้แล้วเขาก็ยังเห็นว่าเปิ่นหวางเป็นน้องชายของเขาอยู่ ขนาดเขาเข้าใจว่าเปิ่นหวางเป็นผู้ลักพาตัวอานเหยียนมาก็ยังลงมือฆ่าเปิ่นหวางไม่ลงอยู่ดี”

ชูเซี่ยถอนหายใจออกมาหนักๆ “หากเป็นเช่นนั้นจริงเดส็จพ่อของท่านก็ช่างโหดร้ายเหลือเกิน”

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นเย็นลง ชายหนุ่มหันมามองชูเซี่ย “เจ้าก็คิดว่าเป็นเสด็จพ่อที่ลักพาตัวอานเหยียนเหมือนกันหรือ จุดประสงค์ของพระองค์ก็คือต้องการให้พวกเราสองพี่น้องเข่นฆ่ากันเองใช่หรือไม่”

แม้ชูเซี่ยจะไม่มีหลักฐานแต่ในใจลึกๆของนางบอกว่านี่เป็นฝีมือของฝ่าบาทแน่ มีสองข้อที่นางคิดว่าเป็นไปได้มากที่สุด หนึ่ง ทำให้หลี่อวิ่นกังคิดว่าเฉินเย่นเป็นผู้ลักพาตัวอานเยียน ทำให้สองคนต้องทะเลาะบาดหมางกัน และพระองค์ก็รู้จักใช้ประโยชน์จากมัน ทำให้หลี่อวิ่นกังเข้าใจว่าอานเหยียนตกอยู่ในมือของหลี่เฉินเย่นจนเขาไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือ ทั้งยังไม่กล้าสังหารหลี่เฉินเย่น ต่อมาก็ข้อสอง พระองค์ก็จะใช้อานเหยียนมาบงการหลี่อวิ่นกังใก้เชื่อฟังเขาและสังหารเฉินเย่นในที่สุด

ใบหน้าของหลี่เฉินเย่นหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก “ในโบราณกาลเคยได้ยินเพียงฮ่องเต้สังหารโอรสตนเอง แต่ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าจะมีฮ่องเต้ที่ใช้เล่ห์กลให้โอรสของตนต้องมาห้ำหั่นฆ่าฟันกันเองเช่นนี้”

ชูเซี่ยทำสีหน้าครุ่นคิด ดูท่าแล้วท่านราชครูจะมีอิทธิพลต่อฝ่าบาทมากพอสมควร หากนางคาดเดาไม่ผิดท่านราชครูต้องคิดหาหนทางสู่ความอมตะให้แก่ฮ่องเต้เป็นแน่ เพราะนางเคยได้ยินฝ่าบาทตรัสกับนางว่า ชีวิตของคนเรา อายุหนึ่งร้อยปีเป็นเพียงแค่การเริ่มต้นเท่านั้น เหตุใดพระองค์จึงมีความมั่นพระทัยถึงเพียงนั้นนอกเสียจากว่าพระองค์มั่นใจว่าตนเองจะต้องอยู่ได้ถึงร้อยปีไม่ใช่หรือ

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า