สรุปตอน ตอนที่ 96 เข้าใจกัน – จากเรื่อง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดย ลิ่วเยว่
ตอน ตอนที่ 96 เข้าใจกัน ของนิยายโรแมนซ์เรื่องดัง ชายาเกิดใหม่ของข้า โดยนักเขียน ลิ่วเยว่ เต็มไปด้วยจุดเปลี่ยนสำคัญในเรื่องราว ไม่ว่าจะเป็นการเปิดเผยปม ตัวละครตัดสินใจครั้งสำคัญ หรือฉากที่ชวนให้ลุ้นระทึก เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้อ่านที่ติดตามเนื้อหาอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 96 เข้าใจกัน
ฮ่องเต้ที่ทรงมั่นพระทัยว่าจะไม่แก่ไม่เจ็บและไม่ตายทั้งยังอายุยืนยาว เหตุใดพระทัยของฝ่าบาทจึงบิดเบี้ยวได้ถึงเพียงนี้ก็สุดแล้วแต่ผู้ใดจะล่วงรู้ได้
“ทหาร สั่งการลงไปให้ทหารทั้งหมดในจวนออกไปช่วยเจิ้นหยวนอ๋องตามหาองค์ชายน้อยอานเหยียน!”
“ส่งคนไปตรวจสอบว่ามีคนน่าสงสัยเข้ามาในเมืองหลวงระยะนี้ด้วยหรือไม่!”
“ระยะนี้จับตามองดูความเคลื่อนไหวในวังหลวงด้วย!”
“รีบไปเชิญแม่ทัพเฉินมาพบเปิ่นหวางเดี๋ยวนี้”
“...”
“...”
เพราะหลี่เฉินเย่นอ้าปากสั่งการทีเดียวสิบกว่าข้อทำให้เหล่าองครักษ์ข้างกายยืนนิ่งฟังจนจบเสียก่อนแล้วค่อยแยกย้ายกันไปปฎิบัติหน้าที่
เพียงไม่นานแม่ทัพเฉินก็ถูกพาตัวเข้ามาในจวน แม่ทัพวัยกลางคนวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนกจากนั้นก็โค้งกายคำนับ
“ท่านอ๋อง ข้าได้ยินเรื่องทั้งหมดมาบ้างแล้ว ท่านไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”
หลี่เฉินเย่นเอ่ยปากถามขึ้นทันที “เป็นเรื่องจริงหรือไม่ที่เจ้าไปที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนมา” เขาก็เคยคิดเช่นกันว่านิสัยมุทะลุของแม่ทัพเฉินอาจจะรู้สึกไม่พอใจที่เสด็จพี่ลงไม้ลงมือกับเขาจึงแอบไปลักพาตัวอานเหยียนมาเพื่อแก้แค้น
“เป็นเช่นนั้นขอรับ แต่ทว่าข้าไม่ได้เป็นผู้ลักพาตัวองค์ชายน้อยนะขอรับ คนอย่างข้าไม่มีวันทำเรื่องตำช้าเช่นนี้แน่”
หลี่เฉินเย่นค่อยเบาใจลง “ถ้าเช่นนั้นเจ้าไปทำอะไรที่จวนอ๋องเจิ้นหยวน แม่นมของจวนอ๋องเห็นว่าเจ้าด้อมๆมองๆอยู่นอกจวน พฤติกรรมน่าสงสัย”
แม่ทัพเฉินขมวดคิ้ว “เมื่อเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาก็เป็นเรื่องที่แปลกประหลาดยิ่งนัก เช้าวันนี้ระหว่างที่ข้าเดินทางออกจากค่ายทหารเพื่อกลับเรือนของตน ระหว่างที่ข้าผ่านประตูทิศใต้เข้ามาในซอย จู่ๆก็มีชายชุดดำสองคนซุ่มโจมตีข้า พวกเราปะทะกันอยู่หลายกระบวนท่าสุดท้ายพวกมันสองคนก็วิ่งหนีไป เมื่อข้าวิ่งไล่ตามก้เห็นว่าพวกมันหายเข้าไปในจวนอ๋องเจิ้นหยวน ตอนนั้นข้าตั้งใจจะเข้าไปถามในจวนอ๋องให้รู้เรื่อง แต่ทว่าเพราะเรื่องราวที่ท่านอ๋องสองคนบาดหมางกันอยู่ทำให้ข้าไม่กล้าทำอะไรวู่วาม ดังนั้นยังไม่ทันที่ข้าจะสืบหาความจริงก็ยอมล่าถอยออกมาแต่โดยดีขอรับ”
หลี่เฉินเย่นขมวดคิ้ว “หมายความว่ามีคนตั้งใจหลอกล่อให้เจ้าไปที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนงั้นหรือ”
“ข้าน้อยก็คิดเช่นที่ท่านอ๋องกล่าวมา ตอนที่ข้าสู้กับชายชุดดำทั้งสอง วรยุทธ์ของพวกเขาไม่ธรรมดาเลยขอรับ หากสู้กันต่อไปอาจเป็นข้าที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้ก็เป็นได้แต่ทว่าพวกมันกลับเลือกที่จะหนี เห็นได้ชัดว่าตั้งใจจะหลอกล่อข้าไปที่จวน” แม่ทัพเฉินก้มหน้าอย่างสำนึกผิด “เป็นเพราะข้าประมาทเลินเล่อเองทำให้เป็นไปตามแผนการณ์ของคนพวกนั้น”
หลี่เฉินเย่นทำสีหน้าครุ่นคิดก่อนจะหันมาถามชูเซี่ยอีกครั้ง “เจ้ามั่นใจมากน้อยเพียงใดว่าผู้ที่ลักพาตัวอานเหยียนไปคือเสด็จพ่อ”
ชูเซี่ยเลิกคิ้ว “มีความเป็นไปได้เพียงครึ่งเดียวเท่านั้น!” อีกครึ่งที่เหลือก็เป็นไปได้ว่าจะเป็นฝีมือของอ๋องเก้าที่สั่งคนให้ลักพาตัวอานเหยียนเพื่อให้สามคนพ่อลูกห้ำหั่นกันเอง ความเป็นไปได้ข้อนี้ก็สูงแต่ทว่าสำหรับนางแล้วดูอย่างไรอ๋องเก้าก็ไม่น่าจะเป็นผู้ที่สามารถลงมือกับเด็กสามขวบได้ลงคอ เป้าหมายของเขาคือฮ่องเต้ สำหรับหลานทั้งสองแล้วเขาก็ยังเป็นเสด็จลุงที่ใจกว้างและเป็นธรรม
แต่ในยามนี้จะให้นางบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับอ๋องเก้าเลยนางก็ไม่อาจพูดได้เต็มปากนัก เพราะนางเองก็รู้สึกได้ว่าอ๋องเก้าในยามนี้ไม่เหมือนอ๋องเก้าที่นางเคยรู้จักเมื่อครั้งอยู่ที่มณฑลกว้างตุ้งอีกแล้ว
หลี่เฉินเย่นจึงเอ่ยถามอีก “แล้วอีกครึ่งหนึ่งเล่า?”
ชูเซี่ยถอนหายใจก่อนจะเอ่ยอย่างลังเล “อ๋องเก้าเจ้าค่ะ!”
หลี่เฉินเย่นอึ้ง ดวงตาเป็นประกาย “เจ้ารู้เรื่องอะไรมาใช่หรือไม่”
“ข้าเพียงไม่อยากแยกเขาออกจากผู้ต้องสงสัยก็เท่านั้น แน่นอนว่าเขาเองก็มีโอกาสที่จะเป็นผู้ส่งคนไปลักพาตัวอานเหยียนมาได้เช่นกัน แต่ทว่าตอนนี้ไม่ว่าผู้ที่ลักพาตัวอานเหยียนไปจะเป็นฮ่องเต้หรืออ๋องเก้า พวกเราก็ล้วนวางใจได้ครึ่งหนึ่ง เพราะพวกเขาทั้งสองไม่มีวันทำอันตรายต่ออานเหยียนแน่ แต่หากว่าผู้ที่ลงมือเป็นศัตรูของจวนอ๋องเจิ้นหยวนแล้วล่ะก็ เรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะเจ้าค่ะ”
นอกห้องมีเงาของคนคนหนึ่ง คนผู้นั้นก็คือจูเก๋อหมิง
ชายหนุ่มก้าวเข้ามาในห้อง “เมื่อครู่ข้าได้ยินข่าวว่า สามวันก่อนที่จวนอ๋องเจิ้นหยวนได้ไล่คนผู้หนึ่งออกจากจวน คนคนนั้นเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของพระสนม เขาถูกโบยห้าสิบครั้งจากนั้นก็ถูกไล่ออกจากจวนไป”
หลี่เฉินเย่นรีบออกคำสั่ง “แม่ทัพเฉิน รีบส่งคนไปตรวจสอบเรื่องนี้!”
จูเก๋อหมิงรั้งไว้ “ไม่จำเป็นแล้ว ข้าตรวจสอบเรียบร้อยแล้ว คนคนนั้นหายไปอย่างไร้ร่อง อีกทั้งเพื่อนบ้านของบ่าวผู้นั้นก็บอกเพียงว่าเขาออกจากเมืองหลวงไปแล้ว!”
“ถูกโบยไปห้าสิบครั้ง อย่างน้อยต้องใช้เวลกว่าครึ่งเดือนจึงจะลงจากเตียงได้!”
จูเก๋อหมิงพยักหน้า “ในใต้หล้านี้ขอเพียงมีเงินก็สามารถใช้ผีโม่แป้งได้ ตราบใดที่ยังมีเงินไม่ว่าปัญหาใดก็ล้วนแก้ไขได้ ก่อนที่บ่าวผู้นั้นจะถูกขับออกจากจวนเขายังประกาศกร้าวว่าจะต้องให้พวกเขาทั้งหมดในจวนใช้ชีวิตอย่างไม่สงบสุข”
แม่ทัพเฉินผุดลุกขึ้น “เห็นได้ชัดว่าเป็นเจ้าบ่าวผู้นี้แน่ เขาเคยเป็นบ่าวรับใช้ในจวนย่อมต้องหาจังหวะลงมือได้แน่ ข้าจะไปตามหาตัวมันผู้นี้จับกลับมาให้ได้”
“ก็ดี เจ้ารีบไปตามหาเขาเดี๋ยวนี้” หลี่เฉินเย่นสั่ง
แม่ทัพเฉินเมื่อได้รับคำสั่งก็ถอยกายออกไปทันที
หลี่เฉินเย่นเดินกลับมานั่งที่เก้าอี้กลางห้อง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ชายหนุ่มหันมามองที่จูเก๋อหมิงที จากนั้นก็หันกลับมามองชูเซี่ยอีกที “เปิ่นหวางอยากไปให้พ้นจากสถานที่บ้าๆแบบนี้สักที เปิ่นหวางเบื่อหน่ายกับการแก่งแย่งชิงดีใช้กลอุบายแบบนี้เต็มทนแล้ว”
จูเก๋อหมิงเอ่ยขึ้น “หมากกระดานนี้เริ่มเล่นแล้ว ทั้งเจ้าและหลี่อวิ่นกังต่างก็เป็นหมากในกระดานของเขา หนีไปไหนไม่รอดหรอก ยอมก้มหน้ายอมรับมันเสียเถิด เราไม่จำเป็นต้องชนะอย่างสวยงามหรอก แต่ทว่าอย่าพ่ายแพ้อย่างหมดรูปก็พอ” ในท้ายที่สุด แต่หากวันใดที่พระองค์ตั้งใจจะสังหารบุตรพระองค์ก็ย่อมสามารถทำได้อย่างง่ายดายราวกับฆ่ามดปลวก
ทั้งสามนิ่งเงียบตกอยู่ภวังค์ความคิดของตนเอง
จนเวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วยามก็ยังไม่มีองครักษ์คนใด
หลี่เฉินเย่นอดรนทนไมไหว ท้ายที่สุดก็ออกไปตามหาคนด้วยตัวเอง
ชูเซี่ยนอนไม่หลับ นางเดินไปเดินมาอยู่ที่ลานกว้าง ในค่ำคืนนี้หนาวเย็นยิ่งนัก แสงจันทร์ส่องแสงสว่างกระจ่างตา หลังจากที่หิมะโปรยปรายเมื่อช่วงยามโหย่วที่ผ่านมา ยามนี้อากาศก็ดียิ่ง
หลี่เฉินเย่นใช้มือทั้งสองกอบกุมใบหน้าของนางไว้ เพราะไม่ได้นอนมาทั้งคืนทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า ใบหน้าหล่อเหล่าฉายแววเจ็บปวดและกังวลขณะมองมาที่ใบหน้าของชูเซี่ย
“ข้าไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ เพียงแต่เมื่อกี้มีภาพผุดขึ้นมาในหัว จากนั้นก็เจ็บหน้ากขึ้นมาก็เท่านั้น เฉินเย่น เมื่อครู่ข้าได้ยินเสียงร้องไห้ของอานเหยียน”
หลี่เฉินเย่นชะงัก “ได้ยินที่ไหน”
“เมื่อครู่ที่ข้าเจ็บหน้าอกขึ้นมาเจ้าค่ะ ข้าเห็นภาพอานเหยียนนอนอยู่บนเตียงและเขากำลังร้องไห้เสียงดัง”
หลี่เฉินเย่นมองใบหน้าของนาง “นั่นอาจเป็นเพราะเจ้าเป็นห่วงอานเหยียนจนเกินไปน่ะสิ อย่างไรเสียเขาก็เป็นบุตรบุญธรรมของเจ้า สายสัมพันธ์แม่ลูกก็คงทำให้เจ้าเกิดภาพลวงตาขึ้นมาก็เป็นได้ นี่เป็นเรื่องปกติ อีกทั้งเชียนซานก็กล่าวกับข้าว่าเจ้าไม่ได้นอนเลยทั้งคืนเพราะเจ้ามัวแต่คิดมาก!”
ภาพลวงตา? ชูเซี่ยนิ่งเงียบไป นางไม่ได้เถียงเขา เพราะบางทีมันก็อาจเป็นภาพลวงตาจริงๆ
จู่ๆนางก็คิดถึงเหตุการณ์เมื่อสามปีก่อนตอนที่นางยังอยู่ในร่างของหลิวหยิงหลง ตอนที่หลี่เฉินเย่นนอนบาดเจ็บไม่ได้สติอยู่ในถ้ำ ในหัวของนางก็มีภาพเช่นนี้ผุดขึ้นมาในสมองเช่นกัน ในท้ายที่สุดหลี่เฉินเย่นก็อยู่ในถ้ำจริงๆ เมื่อคิดถึงตรงนี้มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่ภาพลวงตาแต่เป็นความสามารถพิเศษของนาง
นับตั้งแต่ที่นางกินยาวิเษของท่านอาจารย์เข้าไป พลังวิญญาณในร่างของนางก็เพิ่มพูนมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่นนางสามารถใช้พลังจิตเคลื่อนย้ายสิ่งของเล็กๆน้อยได้ ทั้งยังสามารถเหาะได้ แต่สำหรับภาพที่เห็นในหัวนี้นางไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามันเป็นจริงหรือเป็นเพียงแค่นางคิดมากไปเอง
นางหลับตาลง พยายามนึกถึงภาพขงอานเหยียนเมื่อครู่อีกครั้ง แต่ทว่าในหัวกลับเต็มไปด้วยความว่างเปล่า มองอะไรไม่เห็นอีก
ในเวลานั้นเองที่ความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกของนางค่อยหายไปแทนที่ด้วยความเหนื่อยอ่อน “หรือว่าอาจเป็นข้าที่คิดมากไปจริงๆเจ้าค่ะ!”
“ถ้าเช่นนั้นเรากลับไปพักผ่อนกันก่อนเถิด!” เขาพยุงร่างของนางไว้ก่อนเอ่ยถามเสียงอ่อนโยน “เดินไหวหรือไม่”
ชูเซี่ยเกาะเขาไว้ “ไหวเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นอะไร!”
เมื่อทั้งสองกลับเข้ามาที่เรือนชูเซี่ยก้มหน้าก้มตาเดินตลอดทางเพราะนางไม่อยากมองของใช้หรือสิ่งประดับงานมงคลแม้แต่น้อย สีแดงของมันช่างบาดตาบาดใจนางเหลือเกิน
หัวใจของนางมีความรู้สึกขมขื่นอย่างยิ่งยวด แม้แต่น้ำตาของนางก็ราวกลับจะสามารถไหล่ออกมาได้ทุกเมื่อ นางต้องใช้ความพยายามมากเหลือเกินที่จะสะกดกลั้นน้ำตาและความเจ็บปวดขมขื่นของตนไว้ได้
เพราะมีเขาคอยอยู่ข้างกายกอปรกับร่างกายที่เหนื่อยล้าทำให้ไม่นานนางก็หลับไหลเข้าสู่ห้วงฝันในที่สุด
ในความฝันของนาง นางฝันเห็นตัวเองยืนอยู่ท่ามกลางความมืด ในความมืดมีเสียงของเด็กน้อยก้องดัง เป็นเสียงร้องของอานเหยียนที่ส่งเสียงสะอึกสะอื้น “ท่านแม่อยู่ไหน ท่านแม่อยู่ที่ไหน” อานเหยียนร้องไห้และกรีดร้อง แต่จู่ก็มีมือเอื้อมมาอุ้มอานเหยียนขึ้นจากนั้นก็ตะคอกใส่อานเหยียนเสียงดัง แต่เมื่อเด็กน้อยยังคงร้องไห้ไม่หยุดมือของคนผู้นั้นก็ตีลงที่ก้นน้อยๆนั่นอย่างแรง อานเหยียนร้องไห้จนใบหน้าน้อยนั้นแดงก่ำไปหมด น้ำตาไหลรินลงมาไม่ขาดสาย ร้องจนดวงตาแดงช้ำ
“อานเหยียน!” ชูเซี่ยร้องออกมาจากนั้นก็สะดุ้งตื่นจากความฝันทันที
หลี่เฉินเย่นกอดนางไว้ “เจ้าฝันร้ายหรือ”
ชูเซี่ยเอ่ยกับเขาด้วยเสียงแตกตื่น “ข้าฝันเห็นอานเหยียน อานเหยียนร้องไห้น่าสงสารยิ่งนัก เฉินเย่น เจ้าคิดว่าเป็นเสด็จพ่อของเจ้าที่ลักพาตัวเขาไปหรือไม่”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาเกิดใหม่ของข้า
ฉากนี้คือ..เจ็บหัวใจ😭😭😭...