ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต นิยาย บท 386

ตอนที่ 386 สิ้นหวัง

“จื่อเฟิง...” หลินซีนเยียนเปล่งเสียงสะอื้น สีหน้าและน้ำเสียงล้วนแฝงแววแห่งวิงวอน “จื่อเฟิง ความรู้สึกของข้าที่มีต่อท่าน ท่านไม่รู้สึกถึงจริงๆ เชียวหรือ ท่านคือผู้ที่มองข้าเดินออกมา ตอนที่อยู่ศาลาลับแห่งสวรรค์ ท่านต่างก็มองเห็นถึงความเสียสละที่เซียวฝานทำเพื่อพวกเราแล้วแท้ๆ ชั่วชีวิตนี้ข้าติดหนี้เขาอยู่ เขาอยู่ในกลางใจของข้า เป็นผู้มีพระคุณ เป็นญาติมิตร กลับมิใช่คนรักแต่อย่างใด คนที่ข้ารัก มีเพียงท่านเท่านั้น จื่อเฟิง...”

หลินซีนเยียนหลั่งน้ำตา นางไม่ยี่หระที่จะนำเอาความคิดในใจของตนเอ่ยออกมา มีการเข้าใจผิดกันมากมายเกินไปที่ประกอบสร้างขึ้นอันเนื่องมาจากสองคนที่รักกันแต่ถี่เหนียวไม่ยอมพูดคุยกัน ดังนั้นนางรักเขา นางอยากให้เขารู้

โม่จื่อเฟิงนิ่งขรึม เพลิงโทสะในดวงตาไร้ซึ่งการลดละแม้สักนิด เพียงแต่หนึ่งในนั้นกลับมีแววโศกเศร้าผุดขึ้นมาแวบหนึ่งก่อนหายไป เขาก้มหน้าลงเชื่องช้า เสมือนค่อนข้างไม่อาจฝืนไปมองใบหน้าแห่งความตรมใจของหลินซีนเยียน

“จื่อเฟิง ข้ารักท่าน ข้ารักท่าน ท่านจึงจะเป็นคนรักเพียงคนเดียวของข้า ท่านได้โปรด...เชื่อข้า ได้หรือไม่” หลินซีนเยียนพยุงเซียวฝานเอาไว้ มองทอดตรงไปทางโม่จื่อเฟิง ในช่วงเวลาเช่นนี้ นางแค่อยากอธิบายชัดแจ้งแก่โม่จื่อเฟิง ต่อให้เวทนาเสียหน่อย ขอเพียงแค่สามารถทำลายอุปสรรคกีดขวางของทั้งสองคนลงไปได้นางคิดว่าล้วนคุ้มค่านัก

แต่น่าเสียดาย โม่จื่อเฟิงยังคงไม่กล่าววาจา ทำเพียงนั่งเงียบขรึมอยู่บนเก้าอี้ล้อหมุน

กลางอากาศ คละคลุ้งด้วยกลิ่นดอกบ็วย กลิ่นหอมอ่อนๆ ไม่รู้ว่ามีแหล่งกำเนิดมาจากที่ใด แต่กลับให้ความรู้สึกหนึ่งแห่งความโศกาที่ไร้ซึ่งเหตุผลภายใต้บรรยากาศที่เงียบสงบเช่นนี้แก่ผู้คน

หลังจากนานเนิ่น โม่จื่อเฟิงเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เพลิงโทสะกลางดวงตามลายสิ้นแล้ว ทว่ากลับหลงเหลือเพียงความเฉยชาคงไว้

เขากล่าว “ผู้หญิงของข้ากันบุรุษอื่นมีการแตะต้องเรือนกายกันแล้ว ตอนนี้เจ้ากลับมาบอกข้า คนที่เจ้ารักคือข้า เช่นนั้นความรักของเจ้า ก็ช่างไร้ราคาเสียจริง ข้าจำได้ เมื่อก่อนเจ้ายังกล่าวอย่างมั่นใจไม่ผันแปรถึงชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยกันตลอดชีวิต นี่ก็คือสิ่งที่เจ้าเรียกว่าชีวิตคู่หรือ ข้า...ควรจะสนับสนุนพวกเจ้าหรือไม่”

“ไม่ ไม่...” หลินซีนเยียนยิ่งหวาดผวาแล้ว สีหน้าของโม่จื่อเฟิงเย็นชาเหลือเกิน นี่กลับทำให้นางกังวลใจมากกว่าเขาบันดาลโทสะเสียอีก เขาระเบิดโทสะก็กล่าวได้ว่าเขายังใส่ใจ ทว่ากรณีที่เขาแปรเป็นเฉยเมย บางที ก็เป็นการแสดงถึงว่าเขาปล่อยวางนางแล้วจริงๆ

“ใช่แล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าและศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าคลุมเครือเช่นนี้ เช่นนั้นเสี่ยววี่จิ่ง เป็นลูกชายของข้าจริงๆ ใช่หรือไม่” โม่จื่อเฟิงมีใบหน้าเคร่งขรึม แค่นเสียงเย็น “ทำให้สายเลือดราชวงศ์ต้องแปดเปื้อน มีโทษตายสถานเดียว!”

หลินซีนเยียนในตอนแรก ได้ถูกบีบมาอยู่ตรงชายขอบแห่งความสิ้นหวังเป็นที่เรียบร้อย ทว่าประโยคนี้ของโม่จื่อเฟิงได้กดทับทำลายฟางเส้นสุดท้ายในจิตวิญญาณของนางอย่างไม่ต้องสงสัย ตอนที่เขาเคลือบแคลงสถานะของเสี่ยววี่จิ่งนั้น หลินซีนเยียนยิ่งตระหนัก เรื่องบางอย่าง สุดท้ายแล้วก็ไม่ใช่ตัวนางที่จะสามารถควบคุมได้

“โม่จื่อเฟิง! ท่านสงสัยข้าไม่เป็นไร แต่ท่านอย่างสงสียเสี่ยววี่จิ่ง! เขาเป็นบุตรของท่าน! เป็นบุตรของท่านอย่างไรเล่า! เหตุใดท่านจึงสงสัยเขา เขายังเล็กขนาดนั้น เล็กขนาดนั้น...” หลินซีนเยียนปาดน้ำตา อาจเพราะอารมณ์รุนแรงมากเกินไป นางรู้สึกเพียงปวดขั้วหัวใจ พลันกระอักโลหิตสดออกมา

เซียวฝานที่ถูกนางประคองเอาไว้ตลอด มองเลือดที่กระเซ็นสาดบนพื้นตาปริบๆ ดวงตาทั้งคู่พลันเบิกกว้าง เขามาหลินซีนเยียน และมองโม่จื่อเฟิง ฉับพลันก็ตัดสินใจแน่วแน่

เขาผละหลินซีนเยียนออก นึกอยากลุกขึ้นไปทิศทางของโม่จื่อเฟิง ทว่าร่างกายกลับอ่อนแอเกินไป เบื้องหน้าดำสนิทก่อนจะเซล้มบนพื้น เขาฟุบอยู่บนพื้น เงยหน้าขึ้น มองไปทางโม่จื่อเฟิงอย่างดื้อรั้น พลางกล่าว “คนที่ศิษย์น้องรักก็คือท่าน ถึงแม้ข้าเองก็คาดหวังว่าศิษย์น้องจะปันความรักแก่สักเสี้ยว ที่น่าเสียดายคือ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ สิ่งที่นางยังคงใส่ใจก็คือความรู้สึกของท่าน ข้าเป็นคนที่กำลังจะตาย เร็วสักกี่วันช้าสักกี่คืนสำหรับข้าแล้วไม่ได้มีความแตกต่างมากมายนัก หากว่าเพราะข้า ทำให้ศิษย์น้องได้รับข้อกล่าวหาและข้อสงสัยจำพวกนี้ เช่นนั้นข้ายังจะดึงดันไม่กี่วันสุดท้ายนี้ไปเพื่ออะไรกันเล่า”

ตอนที่ได้ฟังเซียวฝานกล่าวประโยคเหล่านี้ออกมา หลินซีนเยียนก็ตกใจตาโพลง นางได้ยินความสิ้นหวังต่อการมีชีวิตในน้ำคำของเขา ก็นึกอยากหยุดยั้งเขาโดยสัญชาตญาณ แต่ว่า การเคลื่อนไหวของนางยังช้าไปเสียหน่อย ในมือของเซียวฝานปรากฏปิ่นทองเล่มหนึ่งที่ไม่รู้ว่าเอามาตอนไหน เขากำปิ่นทองแน่นแล้วเสียบเข้าไปยังลำคอของตนเอง

ปิ่นทองอันนั้นคืออันที่อยู่บนศีรษะของนาง หลินซีนเยียนกรีดร้องลั่น เอื้อมมือไปแย่งปิ่นทองในมือของเขา ทว่ายังช้าไปหนึ่งจังหวะ

ปิ่นทอง เสียบเข้าที่ลำคอของเซียวฝาน ชั่วขณะนั้นโลหิตไหลดั่งสายชล

มือของหลินซีนเยียนก็ชะงักค้างกลางอากาศลืมที่จะลดลงไปสิ้น ฉากนี้เกิดขึ้นต่อหน้านางอย่างสมจริงเพียงนี้ และนางก็ไร้เรี่ยวแรงไปฉุดรั้ง

“ทำไม!” หลินซีนเยียนหมุนกายไปมองยังทิศทางของโม่จื่อเฟิง กล่าวเสียงต่ำ “ข้าไม่เป็นวรยุทธ์ ข้าห้ามเขาไม่อยู่ แต่ว่าพวกท่านเล่า! พวกท่านแต่ละคนล้วนเป็นวรยุทธ์ขั้นสูง เพียงแค่พวกท่านขยับเขยื้อน คนที่อ่อนแอไร้เรี่ยวแรงอย่างเขาจะสามารถทำร้ายตัวเองได้อย่างไรกัน พวกท่าน พวกท่านจงใจ!”

หลินซีนเยียนไม่ได้พูดผิด อันที่จริงวินาทีก่อนหน้าที่เซียวฝานจะลงมือ หนีหว่านสามารถหยุดยั้งได้ แต่ว่า...โม่จื่อเฟิงส่งสายตาให้นาง จากนั้นนางจึงเลือกมองข้ามไป

หากกล่าวว่า ก่อนหน้านี้หลินซีนเยียนยังมีความหวังที่จะเปลี่ยนใจของโม่จื่อเฟิงแล้วล่ะก็ ชั่วขณะนั้น ตอนที่ลำคอของเซียวฝานมีเลือดกระฉูดออกมานั้น นางได้สิ้นหวังไปโดยสมบูรณ์แล้ว!

สำหรับนางแล้วเซียวฝานเป็นญาติสนิท แต่โม่จื่อเฟิงกลับละเลยความตายของเขา ดังนั้น นับจากวินาทีนี้เป็นต้นไป นางรู้แล้ว ระหว่างเขาและนาง คงหลงเหลือเพียงช่องว่างที่ยากจะประสานคืนดังเดิม

ลมภายในสวนค่อนข้างแรงขึ้นแล้ว หลินซีนเยียนฟุบลงข้างกายของเซียวฝานร่ำไห้เสียงครวญคราง โลหิตสดของเซียวฝานยังร้อนระอุปานนั้น บนมือของนาง บนเรือนกาย บนใบหน้า ล้วนเปรอะด้วยเลือดอันแดงสดของเขา หยาดโลหิตนั้นลวกระอุ ลวกเสียจนวิญญาณของนางเจ็บปวดปางตาย

“หนีหว่าน นำใบหย่าออกมา!”

ขณะที่หลินซีนเยียนกำลังสิ้นหวังอย่างถึงที่สุด อากัปกิริยาของโม่จื่อเฟิงไม่เพียงแต่ไม่อ่อนข้อลงแม้สักน้อย แต่กลับกล่าวประโยคนี้ออกมาอย่างเย็นเฉียบ

ใบหย่า!

ตอนที่หลินซีนเยียนได้ยินสองคำนี้ มีความปวดหนึบชั่วขณะหนึ่ง ทว่าก็เป็นเพียงชั่วขณะเท่านั้น หลังจากนั้นต่อมากลับเป็นความเฉยชาที่ปวดถึงส่วนลึก

หนีหว่านทอดถอนใจยาวเฮือกหนึ่ง ล้วงใบหย่าหนึ่งฉบับออกจากกลางอก มือของนางกำใบหย่านั้นเอาไว้ ราวกับใช้แรงมากเกินไป ใบหย่าถูกนางบีบเสียจนมีรอยยับเล็กน้อย

“นำใบหย่าให้นาง รีบให้นางออกไปเสีย” โม่จื่อเฟิงออกบัญชาสุดท้ายแก่หนีหว่าน จากนั้นจึงเบือนหน้าออกไป ไม่มองไปยังทิศทางของหลินซีนเยียนอีก

หนีหว่านชะงัก กัดฟันกล่าว “เจ้าค่ะ!”

นางถือใบหย่าเดินไปยังเบื้องหน้าของหลินซีนเยียน เหลือบมองนางอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่ง ลังเลอยู่สักหน่อย ก่อนกล่าว “ขออภัย” นางเองก็ไม่รู้ว่าเหตุใดต้องกล่าวขอโทษประโยคนี้ด้วย ทว่า ก็เป็นการพูดออกมาโดยสัญชาตญาณ

หนีหว่านวางใบหย่าไว้ที่เบื้องหน้าของหลินซีนเยียน จากนั้นจึงถอนหายใจยาว หมุนกายกลับไปยังข้างกายของโม่จื่อเฟิง เข็นเก้าอี้ล้อหมุนออกจากสวนไป

ลมภายในสวนยิ่งแรงขึ้นแล้ว ลมพัดเคลื่อนไหวเอากระดาษใบหย่าแผ่นเดียวที่แบบบางอันนั้น ทำให้มุมบางของใบหย่าพัดตามแรงลม

หลินซีนเยียนไม่ได้ไปมองใบหย่านั่น นางทำเพียงจ้องเซียวฝานที่เรือนร่างค่อยๆ เย็นเยียบไม่วางสายตา ท่ามกลางเสียงสายลม ราวกับเคลือบแฝง “ศิษย์พี่” สองคำนี้เอาไว้อย่างล่องลอย ทว่านางกลับได้ยินไม่ชัด ได้ยินไม่ชัดเลย...

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ชายาสุดที่รักของท่านอ๋องอำมหิต