บทที่ 141เฉินถิงเซียว คุณไม่ต้องพูดแล้ว
มู่น่อนน่อนลงมาชั้นล่าง ตอนที่เดินผ่านห้องอาหาร มองเห็นเฉินเจียฉินนั่งอยู่ที่ด้านหน้าโต๊ะอาหาร แต่ไม่ได้ขยับตะเกียบ
เขาเห็นมู่น่อนน่อนเดินมา ก็ถามเธอว่า“พี่เขาเป็นยังไงบ้าง”
“ก็ดีนะ ฉันจะเอาเข้าขึ้นไปส่งให้เขา คุณกินก่อน” มู่น่อนน่อนพูดจบก็เดินตรงเข้าไปในครัว
มู่น่อนน่อนเตรียมอาหารเสร็จแล้ว ยกถาดเดินออกมาจากในห้องครัว ก็มองเห็นเฉินถิงเซียวมานั่งที่หน้าโต๊ะอาหารแล้ว
ได้ยินเสียงการเคลื่อนไหว เขาเงยหน้าขึ้นมาชำเลืองมองมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนก้มหน้ามองถาดอาหารในมือ แล้วพูดว่า“คุณลงมาแล้ว”
“อืม”เฉินถิงเซียวตอบรับด้วยเสียงเรียบๆ ก้มหน้าเริ่มลงมือกินข้าว
มู่น่อนน่อนวางถาดอาหารในมือกลับไป นั่งลงมาข้างๆเฉินถิงเซียว
เธอแอบเหล่มองเฉินถิงเซียว พบว่าสีหน้าเขาเป็นปกติ ดูไม่ออกเลยว่ามีตรงไหนผิดปกติ สงบนิ่งอย่างผิดปกติ
ตลอดเวลาที่กินข้าว เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไรสักคำ
หลังจากกินเสร็จแล้ว เขาก็ลุกยืนเดินขึ้นชั้นบนกลับไปที่ห้องหนังสือ
มู่น่อนน่อนไม่ได้ไปรบกวนเขาแต่ตรงกลับไปที่ห้องนอน
แต่เฉินถิงเซียวกลับไม่ได้กลับมาอีกเลย
มู่น่อนน่อนนอนหลับไปอย่างสะลึมสะลือ เที่ยงคืนจู่ๆก็ตกใจตื่นขึ้นมา
เธอยื่นมือออกไปคลำที่ด้านข้างตามสัญชาตญาณ กลับพบว่าข้างกายคือความว่างเปล่า
เฉินถิงเซียวยังอยู่ที่ห้องหนังสือเหรอ
เธอลุกขึ้นมานั่ง หยิบโทรศัพท์ออกมาดูเวลา พบว่าเป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว
มู่น่อนน่อนเอาเสื้อมาคลุมไหล่หนึ่งตัว ลุกขึ้นเดินไปห้องหนังสือของเฉินถิงเซียว
ห้องหนังสือไม่ได้ล็อค เธอผลักประตูเข้าไป ก็ได้กลิ่นบุหรี่เข้มข้น ในห้องหนังสือไม่ได้ไฟ ภายในห้องที่มืดมิด เธอมองเห็นแสงสว่างจุดหนึ่ง
เฉินถิงเซียวกำลังสูบบุหรี่
มู่น่อนน่อนไม่ได้เปิดไฟ คลำอยู่ในความมืด ค่อยๆย่องเข้าไปเบาๆ
ในความมืดทั้งสองคนต่างก็ไม่เห็นหน้าของกันและกัน แต่กลับสัมผัสได้ถึงลมหายใจของกันและกัน
มู่น่อนน่อนนั่งลงข้างๆเขา กลิ่นจากควันบุหรี่ทำให้เธอไอออกมาเบาๆ
จุดดวงไฟนั้นค่อยๆส่งแสงวูบวาบ จากนั้นก็มอดดับลง
ในความมืด เสียงของเฉินถิงเซียวทุ้มต่ำราวกับเสียงผี“คุณมาทำอะไร”
“มาดูคุณ”เสียงของมู่น่อนน่อนแผ่วเบา ค่อยๆคลำไปกุมมือของเขาเอาไว้
ฝ่ามือที่อบอุ่นมาตลอดของเขา เวลานี้กลับเย็นเยือกจนน่าตกใจ
มู่น่อนน่อนกุมมือของเขาเอาไว้ เอาความอบอุ่นที่ฝ่ามือของตนเองส่งไปให้เขาทีละนิด
แต่ไม่นาน เฉินถิงเซียวก็เอามือของตัวเองออกไป
ผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงของเขาก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
“ก็คือในโรงงานเก่าที่รกร้างแห่งนั้น พวกเขาใช้ผมข่มขู่เธอ”
มู่น่อนน่อนรู้ดีว่า“เธอ”หมายถึงแม่แท้ๆของเฉินถิงเซียว
คำพูดธรรมดา แต่ทุกอย่างกลับกระจ่างชัด
แม้ปฏิกิริยาก่อนหน้านี้ของเฉินถิงเซียว จะแสดงว่าเรื่องนี้อาจจะเป็นความจริง แต่เมื่อได้ยินเฉินถิงเซียวยอมรับ มู่น่อนน่อนก็ยังรู้สึกตกใจ
“ก็คืออยู่ตรงหน้า”เฉินถิงเซียวพูดต่อ“ผมถูกพวกมันมัดเอาไว้ พวกมันล้อมเธอไว้……”
สิบห้าปีก่อน เฉินถิงเซียวอายุแค่สิบขวบ
เด็กอายุสิบขวบ มองเห็นแม่ที่อยู่ตรงหน้าตนเองด้วยตาของตัวเอง ถูกผู้ชายกลุ่มหนึ่ง……
มู่น่อนน่อนตกใจสะดุ้ง ยื่นมือออกไปกอดเฉินถิงเซียวเอาไว้
“เฉินถิงเซียว คุณอย่าพูดเลยนะ”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...