เสิ่นเหลียงกลอกตามองบน : “เธอไม่ได้บ้าสักหน่อย อยู่ดี ๆ จะไปผลักคุณท่านเฉินทำไม”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเห็นด้วย : “นั่นนะสิ”
คำพูดของเสิ่นเหลียงแม้จะไม่น่าฟังก็เป็นเรื่องจริง
มู่น่อนน่อนกล่าวอย่างงุนงง : “แม้แต่เธอก็ยังรู้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ฉันจะไปผลักคุณท่านเฉิน ทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้สงสัยว่าฉันเป็นคนทำล่ะ”
“อะไรนะ เถ้าแก่ใหญ่สงสัยเธอเหรอ” สีหน้าของเสิ่นเหลียงประหลาดใจสุดขีด
มู่น่อนน่อนจึงได้เลือกเล่าในส่วนที่สำคัญของเรื่องราวเมื่อวานให้เสิ่นเหลียงฟัง
เสิ่นเหลียงฟังจบแล้วเงียบ แต่กู้จือหยั่นที่อยู่ข้างๆกลับกล่าวขึ้น : “มีคนต้องการอยากจะทำร้ายเธอเหรอ”
มู่น่อนน่อนสูดลมหายใจเข้าลึก น้ำเสียงค่อนข้างต่ำ : “ฉันเองก็คิดแบบนี้ แต่ว่าฉันไม่เข้าใจว่าทำไมเฉินถิงเซียวถึงได้สงสัยฉัน”
กู้จือหยั่นครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร
เสิ่นเหลียงถามอย่างหยั่งเชิง : “เถ้าแก่ใหญ่น่าจะมีเหตุผลของตัวเองมั้ง……”
“ไม่รู้” มู่น่อนน่อนส่ายหน้า
……
เสิ่นเหลียงกับกู้จือหยั่นอยู่ไม่นานก็จากไป
เสิ่นเหลียงสามารถมาที่บ้านตระกูลเฉินได้ เพราะอาศัยชื่อของกู้จือหยั่นในการมาเยี่ยมเยือน
อีกทั้งเป็นการแอบมาหามู่น่อนน่อนของพวกเธอสองคน ก็ย่อมเป็นธรรมดาที่จะอยู่นานไม่ได้
พวกเขาเพิ่งจะจากไป เฉินถิงเซียวก็กลับเข้ามา
ตอนที่มู่น่อนน่อนเห็นเขานั้น รู้สึกดีใจข้างใน
แต่ เธอเห็นตำรวจที่เดินตามหลังเฉินถิงเซียวมาติดๆ
เธอหันหน้าไปมองเฉินถิงเซียว เฉินถิงเซียวนั้นไม่ได้มองเธอ เขามองตำรวจ : “เชิญถามครับ”
เมื่อตำรวจได้รับการอนุญาตจากเฉินถิงเซียว จึงได้เดินมาที่ด้านหน้าของมู่น่อนน่อน : “คุณหญิงเฉินครับ ที่พวกผมมาในวันนี้ ก็เพื่อจะมาจดบันทึกเรื่องของคุณท่านเฉินเมื่อวานครับ”
ตำรวจนั้นมาด้วยงานราชการ มู่น่อนน่อนเองก็ได้ให้ความร่วมมืออย่างดี : “ค่ะ”
“ชื่ออายุครับ……”
“มู่น่อนน่อน ยี่สิบสามีปีค่ะ” ผ่านปีเก่าไป ปีนี้เธอก็ยี่สิบสามปีแล้ว
“เมื่อวานตอนเช้าประมาณสิบเอ็ดโมงยี่สิบนาที คุณเฉินอันหลินตกบันได ตอนนั้นคุณอยู่ที่ไหนครับ”
“ฉันอยู่บนบันไดในที่เกิดเหตุค่ะ”
“คุณทำอะไรอยู่ตรงนั้นครับ”
“มีคนรับใช้บอกว่า คุณปู่เรียกให้ไปพบค่ะ”
“คนรับใช้ชื่ออะไร”
“ไม่ทราบค่ะ”
“……”
ตำรวจซักไซ้คำถามมากมาย สุดท้ายก็กลับมาที่เดิม
มู่น่อนน่อนไม่รู้ว่าคนรับใช้ที่เรียกเธอนั้นเป็นใคร เธอไม่มีหลักฐานที่สามารถยืนยันว่าไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ และก็ไม่มีคนที่สามารถยืนยันความบริสุทธิ์ของเธอ
ตำรวจลุกยืนขึ้น ท่าทางสุภาพ : “ขอบคุณคุณหญิงเฉินที่ให้ความร่วมมือครับ”
มู่น่อนน่อนพยักหน้าเบาๆ ไม่ได้พูดอะไร
เมื่อตำรวจจากไป ในห้องก็เหลือเพียงเฉินถิงเซียวกับมู่น่อนน่อนสองคน
ตั้งแต่ที่เกิดเรื่องคุณท่านเฉิน เวลาส่วนใหญ่ของเฉินถิงเซียวคือเฝ้าอยู่ที่โรงพยาบาล นอกจากเมื่อคืนที่ทั้งสองคนทะเลาะกันอย่างรุนแรง ทั้งสองก็ไม่ได้คุยกันอย่างดี ๆ อีก
เวลานี้เฉินถิงเซียวเปล่งเสียงกะทันหันขึ้น : “ที่พูดคือความจริง?”
“ไม้งั้นละ? ฉันโกหกหรอ?”
มู่น่อนน่อนหัวเราะแล้วก็ลุกยืนขึ้น เดินมาที่ด้านหน้าของเฉินถิงเซียว จ้องมองแววตาเขาอย่างนิ่ง ๆ : “ถ้าหากว่าฉันกำลังโกหก คุณดูไม่ออกเชียวหรือ”
เฉินถิงเซียวใบหน้าไร้ความรู้สึก : “มนุษย์นั้นเสแสร้งเก่ง ฉันไม่ใช่พระเจ้า แน่นอนก็ย่อมมีบ้างบางเวลาที่ดูคนผิด”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...