มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวสนใจผิดจุด
แม้เธอจะไปเจอเสิ่นชูหานก็จริง แต่ตอนนี้ที่ควรสนใจต้องเป็นผลตรวจดีเอ็นเอฉบับนี้ไม่ใช่เหรอ?
มู่น่อนน่อนรู้สึกเหนื่อยใจ: “อืม”
“ไม่ฟังที่ฉันพูดเลยหรือไง?” เฉินถิงเซียววางผลตรวจดีเอ็นเอไว้ข้างๆ แล้วมองเธอด้วยแววตาเย็นชา
“พวกเรายังไม่ต้องพูดเรื่องนี้หรอก” ตอนนี้มู่น่อนน่อนแค่อยากรู้เรื่องผลตรวจดีเอ็นเอ ว่าเป็นของซือเฉิงหยู้กับเฉินชิงเฟิงจริงหรือเปล่า
เฉินถิงเซียวกลับแสดงออกอย่างจริงจัง: “ไม่อธิบายเรื่องนี้มาให้รู้เรื่อง ฉันจะไม่ยอมคุยเรื่องอื่นกับเธออีก”
“ใช่ ฉันไปเจอเสิ่นชูหานมาจริง แต่นั่นก็เพื่อเรื่องนี้ไง” มู่น่อนน่อนอธิบายกับเขาอย่างอดทน: “พวกเราแค่คุยกันสักพัก กินข้าวสักมื้อ ไม่ได้ทำ…….”
สีหน้าของเฉินถิงเซียวบึ้งตึงมากขึ้น: “ยังไปกินข้าวด้วยเหรอ?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรซื่อตรงขนาดนี้ จะอธิบายละเอียดทำไมเนี้ย
“ก็แค่ข้าวมื้อเดียวเอง” มู่น่อนน่อนเม้มปากบาง สำรวจดูปฏิกิริยาของเฉินถิงเซียวอย่างระมัดระวัง
“เหอะ” เฉินถิงเซียวแสยะยิ้มเย็นชา: “ครั้งก่อนไปร่วมงานเลี้ยงกับเขา ครั้งนี้ไปกินข้าวด้วยกัน ครั้งหน้าล่ะ? พวกเธอจะทำอะไรด้วยกันอีก?”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวพูดแรงเกินไปแล้ว
เธออยากรู้ความลับที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเฉินจากเสิ่นชูหานมาตลอด และเสิ่นชูหานบอกเธอแล้ว เธอแค่เลี้ยงข้าวเขาตอบแทนเอง
“ฉันกับเขาไม่มีอะไรกันจริงๆนะ พวกเรา……”
เฉินถิงเซียวตัดจบคำอธิบายของมู่น่อนน่อน: “สนิทกันเร็วจังเลยนะ ความสัมพันธ์ของเธอกับมันพัฒนาเร็วขนาดนี้เลยเหรอ!”
“เฉินถิงเซียว ถ้านายเป็นแบบนี้อีก ฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ!” ที่มู่น่อนน่อนรับไม่ได้คืน เฉินถิงเซียวหึงโดยไร้ความหมายแบบนี้อยู่เรื่อย
เฉินถิงเซียวพูดอย่างเย็นชาว่า: “ฉันโกรธแล้วนะ”
มู่น่อนน่อน: “……”
เธอรู้สึกว่าเฉินถิงเซียวทำตัวเหมือนเด็ก
“เอาล่ะ พวกเรามาพูดเรื่องผลตรวจดีเอ็นเอเถอะ” มู่น่อนน่อนยื่นมือไปจับมือเขาไว้
เธอคว้ามือเฉินถิงเซียวไว้ แต่กลับถูกเฉินถิงเซียวจับมือไว้แทน
รู้สึกฝ่ามืออบอุ่นมาก สีหน้าของเฉินถิงเซียวก็ดีขึ้นกว่าเมื่อกี้มาก
เขามองมู่น่อนน่อน แล้วพูดว่า: “เธอเคยคิดไหมว่า ทำไมเสิ่นชูหานรู้ความสัมพันธ์ของฉันกับซือเฉิงหยู้?”
ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้ไม่เคยประกาศออกมาเลย
ดังนั้นเสิ่นชูหานน่าจะไม่รู้ความสัมพันธ์ของเฉินถิงเซียวกับซือเฉิงหยู้สิ
แต่ว่า เสิ่นชูหานกลับรู้ว่าซือเฉิงหยู้เป็นคนของตระกูลเฉิน
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดแล้วพูดว่า: “หรือว่า เขาบังเอิญรู้เรื่องนี้เหรอ?”
เฉินถิงเซียวเลิกคิ้วขึ้น: “ทำไมเขาถึงเจอความบังเอิญทั้งหมดคนเดียว ทำไมไม่ไปซื้อหวยล่ะ ไม่แน่อาจจะถูกห้าร้อยล้านก็ได้”
คำพูดของเฉินถิงเซียว บางครั้งก็แอบแรงอยู่เหมือนกัน
มู่น่อนน่อนถามอย่างสงสัย: “แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ล่ะ?”
เฉินถิงเซียวสีหน้าเย็นชาขึ้นมา: “มีคนตั้งใจให้เสิ่นชูหาน ให้เขาเอาผลตรวจดีเอ็นเอนี้มาให้พวกเรา”
มู่น่อนน่อนรู้สึกที่เฉินถิงเซียวพูดมามีเหตุผล
“งั้นคนคนนี้เป็นใครกันล่ะ?” มู่น่อนน่อนยังคิดว่าได้ผลตรวจดีเอ็นเอนี้มา คิดว่าสถานการณ์ทุกอย่างจะดีขึ้น แต่ไม่คิดว่าเรื่องราวจะซับซ้อนมากขึ้นกว่าเดิม
เฉินถิงเซียวขมวดคิ้วเป็นปม ไม่ได้พูดอะไรอีก
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...