ตอนที่เฉินถิงเซียวกลับมาถึงบริษัทเฉินซื่อ ก็เห็นว่าเฉินจิ่งหยุ้นอยู่ในห้องทำงานท่านประธาน เรียบร้อยแล้ว
ตอนที่เขาเดินเข้าไปนั้นเฉินจิ่งหยุ้นกำลังนั่งอยู่บนโซฟา ท่าทางโกรธเคืองแสดงออกทางสีหน้าและเห็นได้ชัดว่ามารออยู่หลายชั่วโมงแล้ว
เฉินถิงเซียวเดินเข้าประตูมา เธอก็เอ่ยปากถามทันที “แกไปไหนมา?”
“ฉันไปไหนมาต้องมารายงานให้คุณรู้ด้วยเหรอ?” เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเธอแค่แวบเดียว ก็เดินมุ่งหน้าไปนั่งเก้าอี้ของท่านประธานที่อยู่ด้านหลังโต๊ะทำงานทันที
ไม่ได้ใส่ใจเฉินจิ่งหยุ้นเลยด้วยซ้ำ
เฉินจิ่งหยุ้นโมโหอยู่ไม่น้อย พลันผุดลุกขึ้นแล้วเดินลงส้นไปยังด้านหน้าของเขาด้วยอารมณ์โกรธจนพุ่งปรี๊ด “ถิงเซียว เราเป็นพี่น้องกัน เรามีความสัมพันธ์ซึ่งเลือดมันข้นกว่าน้ำ ควรเชื่อมั่นซึ่งกันและกันและสนับสนุนอีกฝ่ายสิ”
“เชื่อมั่นซึ่งกันและกันเหรอ?” เฉินถิงเซียวได้ยินแล้วมันเป็นเรื่องตลกทั้งเพ จนถามเธอกลับด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “คุณเคยโกหกผมไหม?”
แววตาคมกริบของเฉินถิงเซียวจับจ้องมองเธอ นัยน์ตาทอประกายความตื่นตระหนกปรากฏให้เห็นเล็กน้อย และพยายามรักษารอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าเอาไว้ และหลอกถามกลับ “ใครพูดอะไรกับแกมา?”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ตอบ เอาแต่จ้องเธอแทน
เฉินจิ่งหยุ้นที่ถูกเขาจับจ้องจนตัวสั่นไม่เป็นตัวของตัวเอง เพราะว่าหวาดกลัวเรื่องที่โกหกไว้จะถูกเปิดเผยออกมา จนทำให้เธอไม่รู้จะเอามือไปวางไว้ที่ไหนดี
ทำไมเธอต้องรู้สึกผิดและหวาดกลัวด้วยนะ?
สิ่งที่ทำทุกอย่างในตอนแรก ก็เป็นการทำเพื่อเฉินถิงเซียวทั้งนั้น เพื่อตระกูลเฉินทั้งสิ้น!
เมื่อฉุกคิดเรื่องนี้ขึ้นมาได้ สีหน้าที่ปรากฏอยู่บนหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นเริ่มกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ไม่ว่าคนอื่นจะพูดอะไรกับแก แกก็อย่าไปเชื่อพวกเขา การที่ตระกูลเฉินของพวกเราเดินมาถึงวันนี้ได้ มีสายตาเท่าไหร่ที่จับจ้องมายังพวกเรา หวังให้พวกเราสองพี่น้องเริ่มทะเลาะกันเอง ส่วนพวกเขาก็นั่งรอรับผลประโยชน์อย่างเดียว!”
เฉินถิงเซียวไม่ได้ยินคำพูดประโยคจากปากของเธอเพียงครั้งเดียว และพูดออกมาอย่างไร้ความรู้สึก “เหรอ?”
เฉินจิ่งหยุ้นพูดอยย่างหนักแน่นมาก “ใช่สิ!”
เฉินถิงเซียวไม่มองเธออีกเลย พลางก้มหน้าเปิดคอมพิวเตอร์ “ฉันจะทำงานแล้ว คุณออกไปเถอะ”
เฉินจิ่งหยุ้นไม่ค่อยมั่นใจสักเท่าไหร่ว่าเฉินถิงเซียวจะเชื่อกับคำพูดของเธอ ทำได้แค่หันตัวและเดินออกไปเท่านั้น
หลังจากออกมาจากห้องทำงานของประธานบริษัทแล้ว สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นก็เกิดความสงสัยขึ้นมา
สามปีที่ผ่านมานี้เฉินถิงเซียวก็ยังดีๆ อยู่แท้ๆ แถมยังคิดเรื่องในอดีตไม่ได้เลยสักนิด และไม่เคยไปมาหาสู่กับพวกของกู้จือหยั่นเลย แม้ว่าจะไม่ได้สนิทสนมกับเธอสักเท่าไหร่ แต่ถือว่าเชื่อฟังเธอดี
ทว่าระยะนี้ เธอค้นพบว่าเฉินถิงเซียวยิ่งควบคุมได้ยากขึ้นทุกที
ตกลงว่ามันเกิดปัญหาขึ้นตรงจุดไหนกันนะ?
เฉินจิ่งหยุ้นทั้งคิดและเดินกลับไปยังห้องทำงานของตนเอง จากนั้นก็กดโทรศัพท์ทางไกลออกไป
โทรศัพท์มีเสียงรอสายอยู่หลายครั้งถึงกดรับสาย
เมื่อโทรศัพท์มีการกดรับสายแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นก็พูดใส่ด้วยอารมณ์กราวเกรี้ยว “คุณหมอหลี่ ช่วงนี้น้องชายของฉันเริ่มแสดงอาการไม่ยอมให้ฉันควบคุมแล้ว ฉันพูดอะไรไปเขาแทบไม่ฟังฉันเลย ฉันสงสัยว่าการสะกดจิตของคุณมันเกิดปัญหาขึ้นแล้วแหละ!”
เสียงปลายสายเงียบสนิท
ผ่านไปสักครู่ ถึงมีเสียงค่อนข้างแหบพร่าเล็กน้อยของผู้ชายดังกลับมา “การสะกดจิตไม่ใช่อาการวิกลจริต แม้ว่าการสะกดจิตก็เพื่อให้เขาคอยทำตามความคิดและวิธีการตามเดิมของตนเอง คุณต้องการให้เขาคอยเชื่อฟังคำพูดของคุณ อยากควบคุมเขา งั้นก็ต้องอาศัยความสามารถของตัวคุณเองแล้วแหละ”
น้ำเสียงของคุณหมอหลี่ไม่ได้แสดงอารมณ์ผิดปกติออกมาสักนิด ทว่าเฉินจิ่งหยุ้นกลับรู้สึกว่าเขากำลังหัวเราะเยาะตนเองอยู่
เฉินจิ่งหยุ้นกำหมัดไว้แน่น และพูดด้วยสีหน้าน่าเกลียดเหลือเกิน “นี่คุณกำลังหัวเราะเยาะว่าฉันไม่มีปัญญาอยู่ใช่ไหม?”
คุณหมอหลี่พูดอย่างเรียบเฉยไม่มีอาการร้อนรนแต่อย่างใด “ในสามปีนี้ คนที่ทำให้เขาเชื่อมั่นก็มีเพียงคุณคนเดียว แต่คุณกลับเอาไพ่ที่ดีที่สุดที่อยู่ในมือเล่นได้ทุเรศชะมัด แต่ก็ถือว่าเป็นความสามารถอย่างหนึ่งนะ”
“คุณ...”
เฉินจิ่งหยุ้นเป็นคนหยิ่งจองหองมาโดยตลอด น้อยครั้งนักที่จะเห็นหัวใคร เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ ก็ต้องเกิดอาการกราดเกรี้ยวออกมาอย่างแน่นอน
แต่ว่าพอมาคิดดูแล้ว เรื่องของเฉินถิงเซียวยังต้องอาศัยคุณหมอหลี่ต่อ เลยได้แต่อดกลั้นอารมณ์โกรธเคืองเอาไว้
เธอหลับตาลง และควบคุมอารมณ์อยู่สักพัก ถึงได้ตอบกลับไปอีกครั้ง “คุณหมอหลี่มีโอกาสไหมที่น้องชายของฉันจะจดจำเรื่องราวในอดีตขึ้นมาได้?”
“คำถามนี้ของคุณไม่สามารถหาคำตอบที่ชัดเจนได้”
“ความหมายของคุณคือ เขาอาจจะจำเรื่องราวในอดีตได้งั้นเหรอ?” สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นเปลี่ยนไปถนัดตา “ตอนแรกพูดว่าไม่มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ไม่ใช่เหรอ?”
“งั้นก็มีแค่คุณที่คิดว่าไม่มีทางที่จะเกิดข้อผิดพลาดได้ ผมยังต้องทำงานต่อ ลาก่อนนะ คุณหนูเฉิน”
คุณหมอหลี่พูดจบ ก็ตัดสายทิ้งทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...