เฉินจิ่งหยุ้นในตอนนี้ก็ไม่มีความคิดที่จะพูดอ้อมค้อมออกไปเช่นกัน จึงพูดสิ่งที่ตัวเองรู้ออกไปทั้งหมด
“เมื่อตอนนั้นฉันเจอเขาที่เมืองM ผู้เชี่ยวชาญทางการสะกดจิตคนนั้นแซ่หลี่ เป็นชายที่พูดภาษาจีนได้คนหนึ่ง...” พูดถึงตรงนี้แล้ว เธอพบว่าเธอรู้ข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญการสะกดจิตคนนั้นน้อยมาก
สือเย่ถามเธอออกไปต่อว่า “ชื่ออะไร พักอยู่ที่ไหน แล้วก็อายุเท่าไหร่?”
“ไม่รู้” เฉินจิ่งหยุ้นไม่รู้เรื่องพวกนี้ ทำได้แค่เพียงส่ายหน้าออกมาไม่หยุด
“เมื่อตอนนั้นคุณหมอหลี่คนนั้นส่งคนมารับพวกเรา ฉันไม่รู้ว่าเขาพักอยู่ที่ไหน เขาสวมแมสก์ มองไม่เห็นหน้า ไม่รู้อายุของเขาด้วยเหมือนกัน...”
สือเย่ได้ยินคำพูดของเธอแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะย่นคิ้วออกมา “คุณหนูเฉิน เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว คุณไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังอีกแล้ว ตรงจุดนี้ตัวคุณก็รู้ดี”
ความสัมพันธ์ของเฉินจิ่งหยุ้นกับเฉินถิงเซียวพัฒนากันมาถึงขั้นนี้ ขอเพียงแค่เฉินจิ่งหยุ้นมีสมองสักหน่อย ก็ไม่ควรจะมีอะไรมาปิดบังพวกเขาอีก
เฉินจิ่งหยุ้นได้ยินแล้ว ก็ร้อนรนขึ้นมาบ้างเช่นกัน “สิ่งที่ฉันพูดไปมันเป็นความจริงทั้งนั้น เรื่องมาถึงตอนนี้แล้ว ฉันยังมีเหตุผลอะไรไปหลอกลวงพวกนายอีก”
สือเย่หันหน้ามองไปทางเฉินถิงเซียว “คุณชาย คุณคิดว่า...”
เฉินถิงเซียวก้มลงมองไปทางเฉินจิ่งหยุ้น ในดวงตาของเฉินจิ่งหยุ้นได้เผยความหวาดกลัวออกมา อดไม่ได้ที่จะหดตัวไปข้างหลัง
ตอนนี้เธอกลัวเฉินถิงเซียวจริงๆ
เฉินถิงเซียวพูดออกไปด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ “เธอออกไปเถอะ ทางที่ดีก็อย่าให้ฉันเห็นหน้าเธออีก”
สีหน้าของเฉินจิ่งหยุ้นได้เปลี่ยนมาซีดเผือดออกมาทันที แต่ก็รู้ว่าพูดมากไปมันก็ไร้ประโยชน์ จึงได้ลุกยืนขึ้นมาจากบนพื้น เดินโซเซออกไป
พอเธอเดินออกไป เฉินถิงเซียวได้เอ่ยสั่งออกไป “ไปสืบมา”
“ครับ” สือเย่ตอบรับออกมา แล้วเดินออกไป
ข้อมูลที่เฉินจิ่งหยุ้นให้มามันน้อยเกินไป ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการสะกดจิตที่พูดภาษาจีนได้ที่มีแซ่หลี่คนหนึ่ง
ข้อมูลหนึ่งที่เรียบง่ายอย่างนี้ จะบอกว่าง่ายมันก็ง่าย จะบอกว่ายากมันก็ยาก
สามารถสะกดจิตให้คนอื่นปิดกั้นความทรงจำเอาไว้ได้ จะต้องเป็นผู้ที่มีระดับความสามารถที่โดดเด่นเหนือใครในสาขาอาชีพนี้แน่ๆ
ผู้ที่มีความสามารถโดดเด่นเหนือใครอย่างนี้ ในสาขาอาชีพนี้ มันจะต้องเป็นเพียงแค่ส่วนน้อยแน่ๆ แต่เฉินถิงเซียวมีกำลังและมีอิทธิพลมาก สืบขึ้นมาแล้วมันก็ไม่นับว่ายากเช่นกัน
แต่พูดจากอีกมุมหนึ่งแล้ว เฉินจิ่งหยุ้นเองก็นับว่าเป็นคนที่ระมัดระวังเลยคนหนึ่ง หลังจากเรื่องนั้นเธอจะต้องสืบเรื่องผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นมาแล้วเหมือนกัน แต่จากคำพูดของเธอสามารถคาดเดาได้ว่าเธอเองก็สืบหาข้อมูลของผู้เชี่ยวชาญด้านการสะกดจิตคนนั้นไม่ได้ด้วยเหมือนกัน
……
มู่น่อนน่อนเนื่องจากสายนั้นที่สือเย่ได้โทรมาหาเธอ จึงจำต้องเตรียมมื้อเที่ยงเอาไว้ล่วงหน้าเอาไว้ก่อน
เฉินถิงเซียวตอนเที่ยงไม่กลับมากินข้าว เธอก็ทำอาหารตามรสชาติที่ถูกปากตนกับเฉินมู่เอาก็พอแล้ว
แต่เฉินถิงเซียวจะกลับมากินมื้อเที่ยง มู่น่อนน่อนจงต้องทำเมนูที่เขาชอบกินสักหน่อย
ตอนที่เธอทำอาหารเสร็จ เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา
ก่อนหน้านี้เธอถ่ายรูปให้กับเฉินมู่ไปหลายรูปเลย ในวิลล่ามันมีเครื่องปริ้นภาพถ่ายอยู่พอดี เธอจึงปริ้นออกมา
ถือโอกาสที่เฉินถิงเซียวยังไม่กลับมา เธอจึงหยิบภาพพวกนั้นออกมา วางลงไปบนพื้นพรม มองดูไปด้วยกันกับเฉินมู่
ภาพพวกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเฉินมู่ อีกส่วนหนึ่งเป็นภาพคู่ของเฉินมู่กับมู่น่อนน่อน แล้วก็ยังมีภาพเดี่ยวของมู่น่อนน่อนอยู่ด้วยเหมือนกัน
ตอนที่เธอกับเฉินมู่ดูภาพกัน เฉินถิงเซียวก็กลับมา
เฉินมู่ตาดี เห็นเฉินถิงเซียวเข้ามา ก็กวักมือไปทางเขาราวกับผู้ใหญ่ตัวน้อย “เฉินชิงเซียว มาดู”
เฉินถิงเซียวชำเลืองมองเฉินมู่ไป เฉินมู่ยิ้มให้กับเธอไปอย่างประจบเอาใจ “อิอิ”
พูดจบ เธอจึงไต่ขึ้นมาจากบนพื้นพรมอย่างปราดเปรียว กระโจนเข้าไปในอ้อมแขนของมู่น่อนน่อน แล้วหันหน้าไปหัวเราะ “อิอิ” ไปทางเฉินถิงเซียวอีกทีนึง การกระทำต่อเนื่องกันเป็นไปอย่างลื่นไหลอย่างมาก ดูทำตามอำเภอใจอยู่บ้างเหมือนกัน
เด็กน้อยไวต่อความรู้สึก เธอรู้สึกได้ว่าเฉินถิงเซียวคงไม่เกิดโทสะต่อมู่น่อนน่อนขึ้นมาหรอก เธอก่อเรื่องแล้วเข้าไปหลบอยู่ข้างหลังมู่น่อนน่อนจะต้องรอดแน่
แล็เป็นไปอย่างที่คิด เฉินถิงเซียวเพียงแค่มองเธอไปแวบนึง แล้วเบนสายตาออกไป
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...