มู่น่อนน่อนมองลี่จิ่วเชียนแล้ว ได้หันไปมองเฉินถิงเซียวอีก
เมื่อครู่ตั้งแต่ต้นจนจบเฉินถิงเซียวล้วนมีสติ ย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่า“ความรู้สึก”ที่ลี่จิ่วเชียนพูดคืออะไร
แต่มู่น่อนน่อนกลับรู้ว่า“ความรู้สึก”ที่ลี่จิ่วเชียนพูดคืออะไร
เมื่อครู่ถ้าไม่ใช่เฉินถิงเซียวบีบมือของเธอจนเจ็บ นาทีนี้เธออาจจะถูกลี่จิ่วเชียนสะกดจิตแล้ว
ความรู้สึกแบบนั้นบอกไม่ค่อยถูก มีอยู่ครู่นึงที่มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ตัวเอง รอบด้านก็เงียบสงัดมาก สีขาว
โพลนไปหมด ไม่รู้จะไปที่ไหน และจะพูดอะไร
ลี่จิ่วเชียนจ้องเฉินถิงเซียวไว้อย่างไม่คลาดสายตา สีหน้าแววตาเคร่งขรึม
เฉินถิงเซียวพิงอยู่บนเก้าอี้ บนตัวมีกลิ่นไอของความเกียจคร้านฟุ้งกระจายอยู่ น้ำเสียงก็เลื่อนลอย:“แต่ผมก็เข้าใจคุณอยู่ เพราะยังไงซะคุณก็เป็นแค่จิตแพทย์ ถึงแม้การสะกดจิตกับจิตวิทยาก็ถือเป็นสายเดียวกัน แต่ถึงยังมันก็ไม่ได้เหมือนกันหมด”
สีหน้าของลี่จิ่วเชียนยังคงค่อนข้างแย่อยู่
เขายกมุมปากขึ้น และยิ้มได้ค่อนข้างฝืนใจมาก:“ทักษาทางวิชาการของผมแย่จริงๆ ขายหน้าแล้วครับ”
แต่ไหนแต่ไรลี่จิ่วเชียนเป็นคนที่สามารถเก็บอาการอยู่ มู่น่อนน่อนเคยเห็นเขาขัดแข้งขัดขาตัวเองอยู่หลายครั้ง และล้วนขัดแข้งขัดขาตัวเองต่อหน้าเฉินถิงเซียว
ความสามารถของเฉินถิงเซียวไม่ใช่คนทั่วไปที่จะสามารถสู้ได้จริงๆด้วย
เฉินถิงเซียวพูดด้วยสีหน้าเย็นชา:“ก็ตลกจริงๆอ่ะนะ”
ผู้ชายคนนี้พูดจาไม่เคยไว้หน้าคนอื่นเลย
มู่น่อนน่อนอดหันไปมองเขาแว๊บนึงไม่ได้
เขาลุกขึ้น มือสองข้างเสียบเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สีหน้าไม่สนใจใยดีเลย
“ไปกันเถอะ”เขาพูดกับมู่น่อนน่อน
มู่น่อนน่อนอึ้งไปครู่นึงแล้วพูดว่า:“คุณไปก่อนเลยค่ะ”
เธอยังมีธุระกับลี่จิ่วเชียนต่อ ต้องถามเรื่องราวให้ชัดเจนก่อนถึงจะกลับ
เฉินถิงเซียวมองเธอแล้วหันไปมองลี่จิ่วเชียน ทันใดนั้นก็ได้หันมานั่งลงอีก:“มีธุระก็พูดเถอะ”
มู่น่อนน่อนรู้สึกว่าแววตาที่เฉินถิงเซียวมองเธอ เต็มไปด้วยความสงสัยและความไม่เชื่อใจ ราวกับว่าเธอจะไปมีอะไรลับลมคมในกับลี่จิ่วเชียนลับหลังเขายังไงอย่างงั้น……
มู่น่อนน่อนกัดริมฝีปาก น้ำเสียงค่อนข้างเย็นชา:“ถึงจะมีธุระก็เป็นธุระของฉันกับลี่จิ่วเชียน เกี่ยวอะไรกับคุณด้วย?”
ช่วงนี้เธอถือว่าอดทนมากแล้ว เฉินถิงเซียวอาศัยความจำเสื่อมก็ทำกับเธออย่างตามใจชอบงั้นเหรอ
ตอนนี้ยังมาใช้สายตาแบบนี้จ้องมองเธออีก เธอย่อมทนไม่ได้อยู่แล้ว
ทันใดนั้นสีหน้าของเฉินถิงเซียวได้บูดบึ้งขึ้นมาทันที
“ไม่เกี่ยวกับผมงั้นเหรอ?”เฉินถิงเซียวหัวเราะอย่างเย็นชา:“มู่น่อนน่อน แน่จริงคุณพูดอีกรอบซิ?”
มู่น่อนน่อนพูดไหลลื่นอย่างเป็นธรรมชาติรอบนึง:“ไม่เกี่ยวกับคุณ”
พูดจบ ยังได้มองเฉินถิงเซียวอย่างท้าทายอีก
ชีวิตก็ต้องกล้าที่จะลองไม่ใช่เหรอ?
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอกล้าพูดจายั่วโมโหเขาอีกครั้ง ภายใต้สถานการณ์ที่เขาได้โกรธกริ้วขึ้นมาแล้ว
รู้สึกสะใจนิดๆ
เฉินถิงเซียวมองมู่น่อนน่อนอย่างหน้าเขียวหน้าดำ สีหน้าดูแย่สุดๆ
ลี่จิ่วเชียนส่งเสียงในเวลานี้:“ที่จริงก็ไม่มีอะไรหรอกครับ ถึงให้คุณเฉินรู้ก็ไม่เป็นไรครับ”
มู่น่อนน่อนหันมามองเขา เขาได้ยกมุมปากขึ้น:“สามปีก่อน น่อนน่อนอยู่ออสเตรเลียกำลังรอคลอดอยู่ มีอยู่คืนนึง คุณเห็นคนกำลังชกต่อยกัน และได้แจ้งตำรวจใช่มั้ย?”
มู่น่อนน่อนฟังคำพูดของเขาจบแล้วมีสีหน้ามึนงง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...