หลังจากมู่น่อนน่อนพูดจบ เฉินถิงเซียวไม่ได้เปิดปากพูดในทันที
ห้องนอนได้เข้าสู่ความเงียบสงัด
มู่น่อนน่อนก็ไม่เร่งรัด ได้รอคำตอบของเฉินถิงเซียวอย่างมีความอดทนสุดขีด
ผ่านไปสักพัก เฉินถิงเซียวถึงตอบคำนึงว่า:“อืม”
ถึงแม้ไม่ได้ตอบชัดเจน แต่คนที่มีความมั่นใจและยโสโอหังอย่างเฉินถิงเซียว สามารถฟังคำพูดของเธอเข้าหู ยอมถอย ก็ถือว่ามีความคืบหน้ามากแล้ว
ขณะนี้ จู่ๆด้านนอกมีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
มู่น่อนน่อนกับเฉินถิงเซียวสบตากันทีนึง ได้นั่งตัวตรงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป:“ฉันออกไปดูหน่อยค่ะ”
เธอลุกขึ้นมา หยุดชะงักไปครู่นึง ถึงพูดหยั่งเชิงว่า:“คุณเลือกตู้เสื้อผ้า……หรือว่าห้องน้ำ?”
สถานการณ์ตอนนี้คับขันมาก แถมเฉินถิงเซียวปีนหน้าต่างเข้ามา ถ้าถูกลูกน้องของลี่จิ่วเชียนพบเห็น ไม่อยากจะคิดเลยว่าผลที่ตามมาจะเป็นยังไง จึงต้องลำบากเขาไปหลบซ่อนตัวหน่อยแล้ว
เฉินถิงเซียวหน้าเขียวหน้าดำขึ้นมาทันที เขาได้หันหลังเดินไปทางห้องน้ำ
มู่น่อนเห็นเขาไปที่ห้องน้ำ จึงเตรียมเดินไปเปิดประตูที่หน้าห้อง
แต่เฉินถิงเซียวเดินไปถึงกลางคันก็ได้ย้อนกลับมาอีก เขาได้เข้าไปหลบในตู้เสื้อผ้าภายใต้สายตาที่แปลกประหลาดของมู่น่อนน่อน
ห้องนอนห้องนี้ใหญ่มาก ตู้เสื้อผ้าก็กว้างมาก มีพื้นที่เหลือเฟือให้ผู้ชายตัวสูงใหญ่หลบซ่อน
มู่น่อนน่อนมองดูเฉินถิงเซียวเข้าไปในตู้เสื้อผ้า หลังจากแน่ใจแล้วว่าเขาหลบซ่อนตัวดีแล้ว ไม่เห็นตู้เสื้อผ้ามีสิ่งผิดปกติอะไรอีก ถึงยื่นมือไปเปิดประตู
เธอบิดลูกบิดประตูไปแค่ครึ่งเดียว ก็ได้ส่งเสียงถามว่า:“ใครคะ?”
ด้านนอกมีเสียงผู้หญิงก้องมา:“ฉันเอง”
คืออาลั่ว?
มู่น่อนน่อนครุ่นคิดอยู่ครู่นึง ดึกป่านนี้แล้วอาลั่วมาหาเธอทำไม?
ปกติอาลั่วแทบจะไม่มาหาเธอที่ห้องเลย
มู่น่อนน่อนเปิดประตู ก็เห็นอาลั่วยังใส่เสื้อคลุมรองเท้าบูทของวันนี้อยู่ ยืนอยู่ที่หน้าห้องด้วยความเย็นชา เหมือนหาว่าเธอเปิดประตูช้าเกินไป แววตามีความหงุดหงิดอยู่เลือนราง
มู่น่อนน่อนมองอาลั่วอย่างสงบเยือกเย็น สุดท้ายได้ข้อสรุปว่า——อาลั่วเพิ่งกลับมาจากข้างนอก
เพิ่งกลับมาจากข้างนอกก็รีบมาหาเธอเลย หรือว่าอาลั่วจะพบเห็นอะไร?
สีหน้าของมู่น่อนน่อนไม่มีความผิดปกติเลยสักนิด เธอได้ถามอย่างเป็นธรรมชาติว่า:“คุณอาลั่วมีธุระ?”
คนที่อยู่ในวิลล่านี้ล้วนเรียกเธอว่าคุณอาลั่ว แต่ก็มีแค่มู่น่อนน่อนเท่านั้นที่เรียกคุณอาลั่วแล้วทำให้เธอฟังจนอึดอัดไปทั้งตัว
“ไม่เชิญฉันเข้าไปนั่งหน่อยเหรอคะ?”อาลั่วมองเข้าไปห้องนอนที่อยู่ข้างหลังเธอด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก็ไม่รู้ว่าอยากจะดูอะไร
มู่น่อนน่อนไม่ได้พยักหน้าและไม่ได้ส่ายหัว แค่พูดคำเดียวว่า:“มู่มู่หลับไปแล้วค่ะ”
ความหมายแอบแฝงก็คือไม่อยากให้อาลั่วเข้าไป
อาลั่วเชิดคางขึ้นเล็กน้อย:“ฉันจะพยายามเบาเสียงค่ะ”
ทีนี้มู่น่อนน่อนสามารถแน่ใจแล้วว่าอาลั่วคงจะพบเห็นอะไรแล้ว ดังนั้นจู่ๆอาลั่วถึงได้มาหาเธอ
“มีธุระอะไรเอาไว้คุยพรุ่งนี้ไม่ได้หรือไง?” น้ำเสียงของมู่น่อนน่อนก็ค่อนข้างหงุดหงิดแล้ว ได้ขมวดคิ้วเล็กน้อย แววตามีความเย็นชาโผล่ขึ้นมา
อาลั่วไม่เคยเห็นหน้าตาแบบนี้ของมู่น่อนน่อนเลย อยู่ในความทรงจำของเธอ มู่น่อนน่อนเป็นผู้หญิงที่สวยและอ่อนแอ ตอนที่ต่อกรกันก็แค่โจมตีกลับอย่างใจเย็นสุดๆ
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...