เฉินถิงเซียวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น พลางมองลี่จิ่วเชียนที่อยู่เคียงข้างมู่น่อนน่อนที่อยู่ตำแหน่งไม่ไกลนัก
ผ่านไปไม่กี่วินาที เขาถึงได้ค่อยๆ เอ่ยปากพูด “ลี่จิ่วเชียนไม่เคยทำเรื่องอะไรที่ไม่ได้เตรียมการเอาไว้ก่อน ข่าวที่เขาพามู่น่อนน่อนมาร่วมงานเลี้ยงวันเกิดในครั้งนี้ เขาจงใจปล่อยข่าวออกมา
สือเย่ครุ่นคิดอยู่สักพัก พลันถามทันที “ นี่เขาหมายความว่าอะไร? เขาจงใจปล่อยข่าวออกมาเพื่อเรียกความสนใจให้พวกเราออกมา ผมเข้าใจได้นะครับ แต่นี่ เขาไม่กังวลบ้างเหรอ ว่าพวกเราจะฉวยจังหวะลักพาตัวคุณหญิงน้อยกลับไปด้วย?”
“คุณรู้สึกว่า มู่น่อนน่อนเขาจะกลับไปกับพวกเราไหมล่ะ?” น้ำเสียงเฉินถิงเซียวเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม สันกรามเกร็งแน่น ความโกรธที่ระงับเอาไว้อย่างหนักหน่วงพลันแผ่ออกมาทั่วตัว
“ความหมายของคุณชายก็คือ...” สือเย่พูดได้เพียงเท่านี้ พลางเงยหน้ามองไปทางตำแหน่งที่มู่น่อนน่อนอยู่
อากัปกิริยาตอบสนองของมู่น่อนน่อนก่อนหน้านี้ พวกเขาต่างเห็นเต็มสองตา
มู่น่อนน่อนมีอากัปกิริยาที่ผิดแปลกไปมาก ซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
“มีความเป็นไปได้ไหมว่าคุณหญิงน้อยเธอ จงใจแสดงละครตบตาให้ลี่จิ่วเชียนดูหรือเปล่าครับ?” สือเย่คิดแล้วคิดอีก จึงคิดถึงความเป็นไปได้เช่นนี้
“ลี่จิ่วเชียนไม่ใช่คนจำพวกเชื่อคนอื่นง่ายดาย เขาแค่เชื่อตัวเธอเอง เขาเคยอยู่กับมู่น่อนน่อนมาก่อน ย่อมรู้ดีว่าเธอเป็นคนยังไง แม้ว่าผู้หญิงจอมโง่อย่างมู่น่อนน่อนจะมีทักษะการแสดงที่ยอดเยี่ยมก็ตาม นายรู้สึกว่าลี่จิ่วเชียน เขาจะเชื่อง่ายๆ ไหมล่ะ?”
ตอนที่เฉินถิงเซียวพูดคำพูดเหล่านี้ออกมา ด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สงบนิ่งถึงขั้นทำให้สือเย่แปลกใจอยู่บ้าง
ถ้าเป็นเฉินถิงเซียวคนเมื่อก่อน อย่าพูดว่าจะมาวิเคราะห์แจกแจงอย่างใจเย็นแบบนี้เลย ตอนที่เห็นมู่น่อนน่อนยืนทำตัวใกล้ชิดสนิทสนมกับลี่จิ่วเชียนอยู่นั้น อาจจะอดใจไม่ไหวจนเข้าไปลงมือลงไม้แล้ว
“ความหมายของคุณคือ คุณหญิงน้อยเธอไม่ได้แสดงละครเหรอครับ?” ตอนแรกสือเย่คิดว่าตัวเองทายถูกแล้ว แต่การที่เฉินถิงเซียวพูดออกมาแบบนี้ สมองของเขายิ่งงงเป็นไก่ตาแตกหนักกว่าเก่า
“ถ้าคุณหญิงน้อยไม่ได้เล่นละครตบตา แล้วเธอเป็นอะไรไปล่ะครับเนี่ย?” สือเย่รู้จักกับมู่น่อนน่อนมานานแล้ว ย่อมชัดเจนที่สุดว่าเธอเป็นคนอย่างไร
“ครั้งที่แล้วตอนที่เห็นคุณหญิงน้อยในวิลล่า ผมได้เอาปากกาหมึกซึมด้ามนั้นยื่นให้เธอ ซึ่งตอนนั้นดูว่าเธอก็ไม่ได้มีอะไรผิดปกติไป”
สถานการณ์ไฟไหม้ที่เกิดขึ้นในครั้งที่แล้ว เนื่องจากเฉินถิงเซียวอยู่ในเหตุการณ์นั้นนานเกินไป ราวกับสำลักควันไฟจนใกล้จะหมดสติอยู่รอมร่อ
แต่แม้ว่าเรื่องจะเป็นเช่นนั้น เฉินถิงเซียวยังคงฝืนทนเพื่อจะกลับเข้าไปหาสิ่งของบางอย่าง
สือเย่ไม่มีวิธีอื่น จึงจำใจต้องตีเขาให้หมดสติไป และให้บอดี้การ์ดเอาตัวเขาออกไป ส่วนเขากลับเข้าไปหาสิ่งของให้เฉินถิงเซียวแทน
ไม่คิดเลยว่าจะพบมู่น่อนน่อนอยู่ด้านใน
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานั้น คนของลี่จิ่วเชียนยังเฝ้าอยู่ทางด้านนอก เขาไม่มีวิธีที่จะช่วยพาตัวมู่น่อนน่อนให้ออกไปได้ ทำได้เพียงเอาปากกาหมึกซึมด้ามนั้นของเฉินถิงเซียวยื่นให้มู่น่อนน่อนไปแทน เพื่อทำให้เธอได้สบายใจรอให้พวกเขามาช่วยเธอ
สือเย่รู้ดีว่าปากกาหมึกซึมด้ามนั้นมันมีความสำคัญมากต่อเฉินถิงเซียว มู่น่อนน่อนก็น่าจะรู้เช่นเดียวกัน
แต่เรื่องราวเพิ่งจะผ่านไปไม่กี่วันเอง เมื่อกลับมาเจอหน้ามู่น่อนน่อนอีกครั้ง กลับพบว่าเธอไม่เหมือนก่อนหน้านี้เลย
เฉินถิงเซียวค่อยหลุบตาลงต่ำ พลันโพล่งออกมาหนึ่งคำ “สะกดจิต”
“สะกดจิตเหรอครับ?” สือเย่พูดทวนคำพูดของเฉินถิงเซียวซ้ำอีกครั้ง
“ลี่จิ่วเชียนไม่เชื่อคนอื่น เชื่อแค่ตัวเขาเองคนเดียว ไม่งั้นทำไมเขาถึงได้กล้าบ้าบิ่นที่จะกล้าลักพาตัวมู่น่อนน่อนไปต่อหน้าต่อผมได้ล่ะ?” เฉินถิงเซียวพูดจบประโยคตอนท้าย สีหน้าก็แผ่ความเย็นเฉียบออกมาทั่วใบหน้า
“แต่ก่อนหน้านี้ คุณชายก็จำคุณหญิงน้อยคนนี้ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ลักษณะท่าทางของคุณหญิงน้อยเมื่อครู่นี้ จำพวกเราไม่ได้ครบทุกคน”
สือเย่เพิ่งจะคิดอยู่เหมือนกัน มู่น่อนน่อนอาจโดนสะกดจิตมา
แต่ว่า มู่น่อนน่อนยังจดจำพวกเขาได้ทุกคนซึ่งแสดงออกมาให้เห็นอย่างชัดเจน สือเย่จึงไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย
“ความหมายของการสะกดจิตไม่ใช่การที่ทำให้คนคนหนึ่งสูญเสียความทรงจำไป แต่เป็นการชี้นำจิตวิญญาณชนิดหนึ่ง” เฉินถิงเซียวพูดเสร็จ ก็ลุกขึ้นทันที
เขาจัดการจัดสูทที่อยู่บนร่างกายของตัวเอง และแสดงท่าทางต้องการไปจากที่นี่
“คุณชายจะไปไหนหรือครับ?” สือเย่ถามทันที
“ไม่ต้องตามผมไป คอยจับตามองลี่จิ่วเชียนเอาไว้”
เฉินถิงเซียวพูดทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค และเดินหายไปในกลุ่มฝูงชนทันที
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...