ทันทีที่สิ้นเสียงมู่น่อนน่อน ทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบเสียจนได้ยินเสียงลมหายใจของกันและกัน
ในห้องเต็มไปด้วยความเงียบอันน่าอึดอัด
เฉินถิงเซียวยืนอยู่ต่อหน้ามู่น่อนน่อน ไม่มีการส่งเสียงโดยตลอด
มู่น่อนน่อนยื่นมือผลักเขา “พูดสิ!”
เฉินถิงเซียวไม่พูดอะไร หันตัวเดินออกไป
มู่น่อนน่อนกัดฟัน ชี้ด้านหลังของเขาพร้อมกับพูดว่า “เฉินถิงเซียว ถ้าวันนี้คุณออกไปทั้งแบบนี้ ก็รับผลที่ตามมาเอาเอง!”
แต่ไหนแต่ไรมาไม่ใช่แค่เฉินถิงเซียวที่พูดจารุนแรงได้ เธอก็ทำได้!
เพียงแต่ ส่วนใหญ่แล้วที่เฉินถิงเซียวพูดจารุนแรงใส่เธอ ก็แค่พูดออกมาเพื่อทำให้เธอกลัวเท่านั้น ไม่ได้จะทำอะไรเธอจริงๆ
เฉินถิงเซียวเป็นคนปากร้ายใจดี
และมันแตกต่างจากมู่น่อนน่อน ปกติแล้วส่วนใหญ่เธอจะจิตใจอ่อนโยน แต่ถ้าเธอพูดจารุนแรงออกมา มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นการพูดคำไหนคำนั้น
การก้าวของเฉินถิงเซียวหยุดเล็กน้อย หยุดขณะห่างจากมูน่อนน่อนสามเมตร จากนั้นก็เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยว่าจะหยุดอีกเลย
ปัง!
เสียงของประตูที่ปิดลงนั้นดังสนั่น เหมือนเป็นค้อนทุบหัวใจมู่น่อนน่อนอย่างรุนแรง ทะลวงหัวใจให้เจ็บปวด
มู่น่อนน่อนหมดเรี่ยวแรง เซไปทรุดลงเก้าอี้ที่อยู่ข้างๆ ก้มหน้ายกมือขึ้นกุมใบหน้า นานมากก็ไม่มีการเงยหน้าขึ้นเลย
……
มู่น่อนน่อนอยู่ในห้องของเฉินถิงเซียวเป็นเวลานาน
กระทั่งมีคนมาเคาะประตู
มู่น่อนน่อนถึงได้พบว่า นอกหน้าต่างเป็นเวลาโพล้เพล้แล้ว
ที่แท้ก็เย็นแล้ว
“มาแล้ว” มู่น่อนน่อนส่งเสียงตอบข้างนอก ก่อนจะลุกขึ้นยืน
แต่เพราะเธอนั่งนานเกินไป สองขาจึงชาเล็กน้อย เอามือเท้าขอบโต๊ะครู่หนึ่ง ถึงบรรเทาอาการชาที่ขาลงได้บ้าง ก่อนจะค่อยๆ เดินออกไป
เธอเปิดประตู มองเห็นสือเย่ยืนอยู่หน้าประตู เกิดอาการค่อนข้างคาดไม่ถึง
“ผู้ช่วยสือ? คุณมาได้ไง” บางครั้งสือเย่จะมาทานอาหารเย็นที่วิลล่า แต่ก็เป็นในตอนที่ก่อนหน้านั้นเฉินถิงเซียวทำงานที่บริษัท แล้วสือเย่มาส่งเขาในเวลาอาหารเย็นพอดี
ภายใต้สถานการณ์ปกติ สือเย่จะมาแค่ส่งเอกสาร และรายงานเรื่องงานกับเฉินถิงเซียว โดยพื้นฐานแล้วก็จะไม่อยู่นาน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการมาหามู่น่อนน่อน
สือเย่มีสีหน้าลำบากใจ เขาขยับริมฝีปาก ดูเหมือนมีบางถ้อยคำที่ยากจะพูด ลังเลอยู่นานก็ไม่พูด
“มีอะไรก็พูดตรงๆ” ความสงสัยในใจมู่น่อนน่อนขยายขอบเขตไม่หยุด เรื่องอะไรที่สามารถทำให้สือเย่ผู้สุขุมสงบนิ่งอยู่เสมอมีลักษณะอึกๆ อักๆ เช่นนี้
สือเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เหมือนว่าในที่สุดก็ตัดสินใจได้ ก้มหน้าลง พูดค่อนข้างเร็วกว่าที่เคยเป็น ฟังดูไม่เหมือนสงบนิ่งเช่นปกติ “คุณหญิงน้อย คนรับใช้ได้เก็บสัมภาระของคุณเรียบร้อยแล้ว และรถพร้อมแล้ว คุณสามารถไปได้ตอนนี้เลยครับ”
“หมายความว่ายังไง” สีเลือดบนใบหน้ามู่น่อนน่อนพลันจางหายไป หน้าซีดลงทีละน้อยๆ น้ำเสียงสั่นเครือ “คุณเงยหน้าขึ้นมองฉัน บอกฉันมาให้ชัดเจน นี่มันเรื่องอะไร!”
สือเย่ไม่ได้เงยหน้า “คุณชายฝากบอกว่า นี่คือบ้านของเขา ตอนนี้คุณกับเขาไม่ได้มีความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมาย เพราะฉะนั้น.....ตอนนี้คุณ......”
มู่น่อนน่อนขัดจังหวะคำพูดของสือเย่ “เฉินถิงเซียวไล่ฉันไปเหรอ”
สือเย่ไม่กล้าพูดอีก ใช้ความเงียบเป็นคำตอบรับโดยปริยาย
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ฉัน....เป็นเจ้าสาวจอมปลอม
พระเอกชอบใช้อำนาจบังคับ ไม่ฟังความคิดเห็นนางเอก พอมีปัญหา แทนที่จะอธิบายว่าจะทำอะไร กลับเลือกที่จะปิดปังและทำร้ายจิตใจ ไม่น่าให้อภัยอ่ะ น่าจะต่างคนต่างอยู่ ขัดใจว่าทำไมปล่อยให้ลูกทารกโดนลักพาตัวไปได้ โคตรไม่รอบคอบอ่ะ เรื่องไอ้ลู่ก็เหมือนกัน นาวเอกโง่จนไม่เห็นความไม่สมเหตุสมผลใดๆ จนความจำกลับมา มันก็ต้องสงสัยแล้วป่ะว่าตอนก่อนจะเสียความทรงจำ ไอ้ลู่แอบเข้าไปในห้องตัวเองทำไม และต้องเอะใจและตัดความสัมพันธ์สิเพราะถามอะไรก็ไม่เคยตอบ พระเอกก็เหมือนกัน รู้สึกว่าไอ้ลู่มีจุดประสงค์ไม่ดี แต่ก็ไม่ทำอะไร ให้โอกาสมันก่อเรื่อง 3-4 บทสุดท้ายรวบรัดตัดจบมาก ปมต่างๆก็ไม่เคลียร์ ไม่รู้แม่พระเอกยังอยู่หรือตาย ทำไมไอ้ลู่ถึงเลี้ยงนางเอกมาตั้งสามปีแทนที่จะรีบเอาไปผ่าตัดให้น้องสาว ทำไมถึงพยายามจะให้พระเอกลืมนางเอกและทำร้ายนางเอก อ่านจนจบก็ไม่เห็นบอกว่ามีความแค้นอะไรกับพระเอก และทำไมมุ่งเป้ามาที่นางเอก และไอ้ปากกาหมึกซึมที่พระเอกเก็บไว้น่ะ ก็ไม่มีอธิบายเพิ่ม แค่เปรยว่านางเอกเคยเอาปากกาให้เด็กขอทาน ต่ไม่บอกว่ามันมีความสำคัญยังไง สรุปอ่านแล้วขัดใจหลายอย่างมากค่ะ...
ขอบคุณนะคะที่อัพจนจบ❤️❤️❤️...
แรกๆฉันเชียร์เธอหมดใจแต่มู่น่อนน่อนนี่เธอก็ดื้อเกินไปนะ รู้ทั้งรู้ยังจะชอบสร้างปัญหาซ้ำแล้วซ้ำอีก มั่นใจตัวเองอะไรผิดๆเกิ๊นนน ฉันเริ่มจะเบื่อเธอแล้วนะ เจอก็เจอแล้วแค่กลับไป แล้วยังจะคิดกลับไปให้เขาเฉือนอวัยวะไง!!!! ตัวเองจะไปสืบอะไรจากไหน?!!!...