ซูเปอร์หมอเข็ม นิยาย บท 64

ตอนที่ 64 พยายามจนถึงที่สุด

“หลินหยาง ช่วยฉันใส่เสื้อผ้าหน่อยสิ ฉันอยากจะออกไปนั่งข้างนอกน่ะ” จางเยว่พูด

หลินหยางพลางคิดอยู่สักครู่หนึ่งว่าหากนำเธอออกไปด้านรับแสงแดดตอนเช้าด้านนอกคงไม่เป็นอะไรมากแถมยังดีต่อผิวหนังเธออีกด้วยจึงเห็นด้วยกับคำของร้องของจางเยว่ไป

หลังจากที่ยื่นกางเกงชั้นในของตนให้ให้จางเยว่ตัวหลินหยางเองก็รู้สึกแปลกๆ ขึ้นมา แต่เขาก็ไม่ได้สนใจอะไรพลางใส่กางเกงกับเสื้อเชิ้ตให้จางเยว่ต่อ

แต่ไม่รู้ว่าตั้งใจหรือว่าเผลอขณะที่กำลังใส่เสื้อให้จางเยว่อยู่นั้นมือของเขาเผลอไปโดนเนินอกของจางเยว่พอดิบพอดี

สายตาจางเยว่มองหลินหยางเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อแต่สุดท้ายจางเยว่ก็ไม่ได้ว่าอะไรหลินหยางแม้แต่น้อย ถึงในใจจะคิดว่าโดนหลินหยางเอาเปรียบอยู่แต่ตอนนี้เธอก็ไม่มีแรงแม้แต่จะขัดขืนใดๆ

หลังจากที่ใส่เสื้อผ้าให้จางเยว่เสร็จหลินหยางไม่ได้พาเธอออกไปทันทีแต่ให้เธอนอนลงพักสักครู่แล้วตัวเขาเองก็ออกเตรียมอาหาร

สักครู่ใหญ่ๆ ผ่านไปหลินหยางก็เอาซุปปลามาเสิร์ฟให้เธอถึงที่ ชั่วขณะนั้นจางเยว่ก็จ้องหลินหยางไม่ละสายตาพลางถามว่า “นายทำอาหารเป็นด้วยหรือ?”

“เป็นสิ ไม่อย่างนั้นเมื่อวานที่กินไปใครจะเป็นคนทำได้” หลินหยางหมดคำที่จะกล่าว

“ตอนแรกฉันคิดว่าเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นคนทำนี่นา” จางเยว่ชิมอาหารที่หลินหยางทำแล้วอุทานขึ้นเบาๆ “ไม่เลวเลยนี่นา เดี๋ยวนี้ผู้ชายที่ทำอาหารได้ขนาดนี้มีน้อยเหลือเกิน ถ้าพี่สาวคนนี้อายุน้อยกว่านี้และหากนายมาขอพี่สาวคนนี้แต่งงานล่ะก็ พี่สาวอาจจะไม่รังเกียจก็ได้นะ”

“ผมไม่ได้สนใจแก่ไม่แก่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้คุณเหมือนมาขอผมมากกว่า อย่างนั้นผมจะให้โอกาสพี่เอง” หลินหยางพูดแบบบหยอกเย้า

จางเยว่ได้ฟังก็จ้องหลินหยางพลางเม้มปากเลือดขึ้นหน้าดูคล้ายแม่สิงโตที่พร้อมจะขย้ำเหยื่อเต็มที่เสียอย่างนั้น เวลาผ่านไปชั่วครู่จางเยว่ก็พูดมาว่า “ไปให้พ้น!”

หลินหยางก็ไม่ได้โต้เถียงอะไรกลับไปเขาแค่ยิ้มพลางกินอาหารต่อ จางเยว่เองก็ตักอาหารเข้าปาก อาหารที่หลิน หยางทำช่างหอมหวนเสียจริงจางเยว่ชอบกินอาหารที่เขาทำมาก เธอไม่เคยกินอาหารที่รสชาติดีแบบนี้ที่ไหนมาก่อน

หลังจากทั้งสองคนกินอาหารเสร็จหลินหยางก็จัดแจงเก็บจานชามพลางอุ้มจางเยว่ไปนั่งด้านนอกเพื่อให้เธอรับแสงแดดยามเช้า

ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมง พระอาทิตย์ค่อยๆ โผล่พ้นขอบฟ้า ฉายแสงสีทองอ่อนคลุมไปทั่วทุกหนแห่ง

หลินหยางเองก็หยิบพู่กันแท่นหมึกกับกระดานไม้สำหรับฝึกเขียนอักษรขึ้นมา จากนั้นเขาก็เอาพู่กันจุ่มลงไปในน้ำหมึกพลางจรดลงบนกระดานแล้วเริ่มวาด

หลินหยางครั้งนี้เขียนอักษรอย่างเชื่องช้า ทุกครั้งที่เขาจรดพู่กันลง บางครั้งให้ความรู้สึกคร่ำครวญเศร้าโศก บางครั้งเหมือนคอยรักอย่างมีหวัง ลายมือของหลินหยางเองนั้นก็ดูนุ่มนวลอ่อนช้อยดูเหมือนคนที่ใช้มันจนชำนาญ

จางเยว่ที่มองหลินหยางจรดพู่กันวาดอักษรครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้เธอเหมือนตกอยู่ในภวังค์ ตัวอักษรแต่ละตัวที่เขาวาดดั่งสายลมที่พลิ้วไหวอย่างช้าๆ สำหรับคนหนุ่มที่อายุเพิ่งจะยี่สิบแล้วช่างเป็นความรู้สึกที่น่าสนใจมากๆ เลยทีเดียว

ใครกันนะที่สั่งสอนเขาให้กลายมาเป็นคนที่วิเศษแบบนี้ขึ้นมา ไหนจะทั้งฝีมือการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ไหนจะฝีมือการทำครัวที่เป็นเอกลักษณ์ ไหนจะการคัดอักษรที่ทั้งประณีตวิจิตรงดงามเช่นนี้อีก ถ้าหากวันหนึ่งคนประเภทนี้เป็นที่รู้จักของผู้คนไปทั่วแล้วล่ะก็แน่นอนว่าต้องเปรียบดั่งทองคำล้ำค่าที่จะมีแต่คนคอยแย่งชิงกันแน่นอน

อีกทั้งกลอนที่หลินหยางเขียนออกมานั้นปรากฏออกมาเป็นมโนภาพศิลปะที่สมบูรณ์แบบและผสมเข้ากันอย่างลงตัว

พอเขาเขียนกลอนบทนั้นจบ จางเยว่ที่อยู่ข้างๆ จึงปรบมือขึ้นอย่างยิ้มแย้มพลางพูด “หลินหยาง ตัวอักษรพวกนี้ช่างสวยงามยิ่งนัก นายอยากจะเป็นนักประดิษฐ์อักษรอย่างนั้นหรือ?”

“ผมมิอาจจะเป็นนักประดิษฐ์อักษรหรอกครับ ผมแค่อยากจะเป็นหมอช่วยเหลือผู้คนแบบนี้ต่อไปก็เท่านั้น เขียนอักษรเองก็ดูน่าเกลียดเอาออกไปแสดงก็ไม่ได้ ที่เขียนได้ขนาดนี้เพราะว่าผมเริ่มเขียนมันตั้งแต่เด็ก ทำให้เวลาผ่านไปนานๆ ผมก็คุ้นเคยกับมันก็เท่านั้น” หลินหยางหัวเราะพลางยืดเส้นยืดสายสักนิด เขาลบอักษรเก่าทิ้งแล้วเริ่มเขียนอักษรขึ้นมาใหม่อีกรอบ

ผ่านไปอีกหลายชั่วโมงหลินหยางเขียนขึ้นลบใหม่แบบนี้อยู่หลายรอบ จนจู่ๆ ก็มีเสียงดังสนั่นหวั่นไหวจากด้านนอกเข้ามา

ถึงแม้เสียงจะไม่ได้ดังมากแต่ในหมู่บ้านวี่หลงจริงๆ เป็นแค่หมู่บ้านเล็กๆ ไม่ใช่ว่าจะมีรถเก๋งแบบนี้มาให้เห็นได้ทุกวัน หลินหยางพลางคิดว่าเสียงรถที่กำลังมาทางนี้หรือว่าจะเป็นเซี่ยหลินหลินกันนะ?

ประตูหน้าของบ้านหลินหยางเปิดกว้างขึ้นพลันรถเก๋งก็มาหยุดรถอยู่ข้างหน้าทีละคัน หนึ่งคันที่อยู่ด้านหน้าเป็นรถเบนซ์คันหนึ่ง รถคันนี้หลินหยางเคยเห็นอยู่ในบ้านของเซี่ยหลินหลินมาก่อน ถ้าอย่างนั้นคันนี้ก็คงเป็นของเซี่ยหลินหลินอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนอีกสองคันด้านหลังนั้นคันหนึ่งเป็นยี่ห้อแลมโบกินี่ ส่วนอีกคันเป็นยี่ห้อบีเอ็มดับบลิว หลินหยางก็สงสัยขึ้นมาว่าบางทีอาจจะเป็นองค์รักษ์ของเซี่ยหลินหลินอย่างนั้นหรือ? เดี๋ยวนี้องค์รักษ์สามารถซื้อรถแบบนี้ขับได้แล้ว? คนสมัยนี้เริ่มจะไม่เหมือนคนธรรมดาขึ้นไปทุกวันแล้ว

หลังจากที่หลินหยางพินิจพิเคราะห์อยู่สักพัก คนบนรถก็เริ่มทยอยลงมา เริ่มจากคันด้านหน้าก่อนคนที่ออกมาคือเซี่ยหลินหลินกับจางฟางตามที่คาดไว้อยู่แล้ว ส่วนคันที่สองคนที่ออกมากลับกลายเป็นหานซิ่น หลินหยางยิ่งคิดก็ยิ่งตลกตัวเองที่ตอนแรกคิดไปว่าเป็นองค์รักษ์ของเซี่ยหลินหลินไปซะได้

จากนั้นหลินหยางรีบเดินออกประตูไปดูคนลงรถคันสุดท้ายนั้นก็ยังไม่ใช่องค์รักษ์ของเซี่ยหลินหลิน แต่แท้จริงแล้วเป็นนายท่านหานเทียนอวิ๋น เถ้าแก่แห่งร้านสารพัดโอสถ ส่วนคนที่ตามหลังหานเทียนอวิ๋นมานั้นนอกจากจะเป็นชายคนขับรถวัยกลางคนท่านหนึ่งแล้วยังมีคุณลุงกับเด็กสาวอีกหนึ่งคนด้วย

“พวกท่านคงไม่ได้นัดกันมาวันนี้พร้อมกันใช่ไหม” หลินหยางเดินออกประตูพลางมองคนเหล่านั้นแล้วพูดอย่างติดตลก

“ฮ่าฮ่า พวกฉันบังเอิญพบกันก็เลยมาด้วยกันก็แค่นั้น” หานซิ่นหัวเราะเสียงดัง

หลินหยางมองดูหานซิ่นปราดเดียวก็รู้ว่าเขาคงกินยาที่เขาจัดหาให้มาอย่างสม่ำเสมอ นั่นจึงทำให้เราใบหน้าดูอิ่มเอิบสุขภาพดีขึ้นมาโข

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์หมอเข็ม