สถานการณ์ตามปกติธรรมดา ฮ่องเต้เลือกเวลาในช่วงย่ำรุ่งเพื่อพบกับเหล่าข้าราชบริพาร
คราวนี้ พระองค์มีรับสั่งให้เข้าเฝ้าเร็วกว่าปกติ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าฮ่องเต้ให้ความสำคัญกับบ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง
เซียวเฉวียนกับฉินเฟิงบังเอิญพบกับฮ่องเต้ ก่อนเวลายามห้าซึ่งเป็นเวลาที่ต้องว่าราชการ
เมื่อเห็นเซียวเฉียน ฮ่องเต้ลุกขึ้นด้วยความตกใจ นี้พึ่งจะยามสาม พวกเขามาทำอะไรที่นี้?
เซียวเฉวียนไม่รู้ว่าฮ่องเต้ลุกจากบรรทมแล้วหรือยัง แต่เขาคิดว่าฮ่องเต้ตื่นเต้นและตั้งตารอเป็นแน่ เมื่อเซียวเฉวียนคำนับ ฮ่องเต้กลับไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา
ความประทับใจแรกของเซียวเฉวียนที่มีต่อฮ่องเต้ก็คือแม้ฮ่องเต้จะยังดูไม่แก่นัก แต่กลับมีความรับผิดราวกับผู้ใหญ่
ในการต่อสู้ที่เหวอันหยวน เขารู้อยู่แล้วว่าฮ่องเต้ไม่ใช่คนอันตราย แต่ก็ดูเป็นคนที่มีความมืดปะปนอยู่ เกรงว่าจะมีขุนนางเพียงไม่กี่คนที่รู้ถึงตัวตนของฮ่องเต้
แม้จะไม่รู้เรื่องราว แต่เซียวเฉวียนจะไม่เพิกเฉยแน่นอย
ไม่ว่าฮ่องเต้จะดูเป็นยังไง แต่จิตวิญญาณของเหล่าฮ่องเต้ก็ทรงพลังมากนัก ทุกคำพูดและการกระทำทุกอย่างเป็นไปตามสิ่งที่ฮ่องเต้ควรจะมี
คนรับใช้ที่อยู่ข้างๆ ต่างก้มหน้าลง แม้กระทั่งฉินเฟิงก็ยังก้หน้าลงฟัง ยกเว้นเซียวเฉวียนที่มองตรงไป
เสื้อคลุมลายมังกรบนตัวของเขางดงามมาก ทำมาจากด้ายสีทองและเงิน ถ้าเทียบเท่ากับเงินในยุคปัจจุบันคงจำนวนมหาศาล
ในสายตามืออาชีพอย่างเซียวเฉวียน พนักงานพิพิธภัณฑ์ ฮ่องเต้ก็ไม่ต่างจากโบราณวัตถุทางวัฒนธรรม เพียงแต่ว่าโบราณวัตถุทางวัฒนธรรมนั้นเป็นวัตถุ แต่ฮ่องเต้เป็นคนที่มีชีวิต
ฮ่องเต้ยกย่องฉินเฟิงเป็นประจำ บอกว่าเขาเหมือนแม่ทัพเก่าของตระกูลฉิน และเขาได้สร้างชื่อเสียงอย่างมากในการปกป้องท่านอ๋อง ทองคำสามพันตำลึงเพื่อตอบแทนเขาถูกวางไว้ตรงหน้าอย่างเปล่งประกาย
เซียวเฉวียนสังเกตเห็นว่าฮ่องเต้ไม่ได้บอกว่าฉินเฟิงปกป้องเซียวเฉวียน แต่เป็นปกป้องเจี้ยนชือ
เขาขอบคุณฮ่องเต้ผู้มีไหวพริบคนนี้จริงๆ เพราะทุกคนจะมุ่งไปที่เจี้ยนชือ ไม่ใช่เซียวเฉวียน
ฉินเฟิงรู้สึกภาคภูมิใจมากและแอบมองไปที่เซียวเฉวียน ซึ่งทองคำสามพันตำลึงนั้น มันทำให้เขาเชิดหน้าชูตาได้ เพราะเป็นรางวัลที่มีค่ามากกว่ารางวัลของเซียวเฉวียน
“เซียวฮุ่ยหยวน เจ้าเองก็สมควรได้รับ นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมวันนี้ข้าจึงอยากพบเจ้า ข้าเห็นความกล้าได้กล้าเสียของเจ้า” ฮ่องเต้เงียบไปครู่หนึ่งและแย้มพระสรวลออกมาเล็กน้อย “วันที่เจอกัน เซียวฮุ่ยหยวนไม่เพียงแต่มีความโดดเด่นในด้านวรรณกรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นคนที่กล้าหาญและมีกลยุทธ์ด้วย ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้า เสด็จอาของข้า คงถูกผู้ทรยศของจวนว่าการชั้นในสังหารไปแล้ว”
“พะยะค่ะ สถานการณ์ตอนนั้นค่อนข้างอันตราย และกระหม่องเองก็คิดว่าควรทำอะไรสักอย่าง” เซียวเฉวียนพยักหน้าและพูดออกมาอย่างเป็นกลาง
คนอื่นๆ ตกตะลึง ลูกตาของฉินเฟิงกลอกไปมาเซียวเฉวียนควรจะขอบคุณเขา ทำไมเขาถึงพยักหน้าและสรรเสริญตัวเอง?
บ้าหรือเปล่า?
ต้องชมเช่นนี้เลยงั้นรึ? ฉินเฟิงดูถูกเหยียดหยามเขามาก คนเช่นนี้ไม่อยากจะพบเจอ!
ไม่คาดคิด ใบหน้าที่จริงจังขอฮ่องเต้กลับมีรอยย่นจากการทรงพระสรวล "แล้วเซียวฮุ่ยหยวน ต้องการรางวัลแบบไหนกันล่ะ?"
“ข้าต้องขอคิดดูก่อนพะยะค่ะ เพราะข้ากลัวว่าจะมีคนไม่ยอมให้ข้าทำตามสิ่งที่ข้าต้องการ”
ทุกคนตกตะลึง คำพูดของเซียวเฉวียนดูเหมือนจะไม่ได้ขอรางวัล แต่ราวกับขอให้ความตายเกิดขึ้น!
สิ่งที่เซียวเฉวียนพูด ไม่มีคำว่า "ใต้ฝ่าพระบาท" และมันดูไร้มารยาทที่สุด
แต่ดูเหมือนฮ่องเต้จะไม่สนใจ เพียงแค่มองเขาอย่างเงียบ ๆ
ขันทีหม่ากล่าวอย่างเคร่งขรึมว่า "เซียวฮุ่ยหยวน ฝ่าบาทเป็นฮ่องเต้พระองค์ที่ 9 และเป็นผู้ปกครองของโลกนี้ ฝ่าบาททรงสามารถหาทุกสิ่งที่เจ้าต้องการจากต้าเว้ย และมอบให้เจ้าได้ ใครหน้าไหนก็ไม่มีทางขัดขวางได้"
“จริงอย่างนั่นหรือ?” เซียวเฉวียนกระพริบตาถี่ๆราวกับเด็กไร้เดียงสา
“ข้าให้สัญญา” ฮ่องเต้พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
เซียวเฉวียนคุกเข่าลงทันทีและก้มหัวลงไป "ถ้าอย่างนั้น ข้าอยากจะขอสองรางวัล"
ทุกคนตกตะลึง เราสามารถขอสองรางวัลจากฮ่องเต้ได้อย่างนั้นหรือ? รางวัลเพียงรางวัลเดียวก็ถือเป็นความเมตตาของฮ่องเต้แล้ว รางวัลที่สองจะไม่มากเกินไปหน่อยหรือ?
แต่เพราะได้เห็นเป็นประจักษ์ ฮ่องเต้จึงไม่ว่าอะไร "เจ้าพูดมา"
"เซียวเฉวียนมีความปรารถนาสองประการ ประการแรก ทาสคุนหลุนและฉินเฟิงก็ทำสิ่งเดียวกัน คือปกป้องท่านอ๋อง โปรดฝ่าบาททรงนึกถึงจิตใจอันบริสุทธิ์ของพวกเขา และกำจัดสถานะทาสของพวกเขา และประการที่สอง อนุญาตให้เข้าสถานศึกษาชิงหยวน"
น้ำเสียงของเขาดังก้องกังวาล ราวกับมีฟ้าร้องดังก้องอยู่ในหูของทุกคน
ทุกคนในที่นั้นรวมถึงฮ่องเต้ เข้าใจความปรารถนาข้อแรกของเซียวเฉวียน แต่ตกตะลึงกับความปรารถนาข้อที่สอง
ขันทีหม่าขมวดคิ้ว แอบชำเลืองมองฮ่องเต้อย่างเงียบๆ
ทาสคุนหลุนที่อยู่ต่ำที่สุดของห่วงโซ่ ถ้าถูกปลดออกจากการเป็นทาสก็จะเทียบเท่ากับการฟื้นฟูระบบการคุ้มครองผู้มีความสามารถ และนั้นคือความปรารถนาของฮ่องเต้ จึงกลายเป็นความเข้าใจระหว่างฮ่องเต้และเซียวเฉวียน
อย่างไรก็ตาม การอนุญาตให้เข้าสถานศึกษาชิงหยวนนั่น
สถานศึกษาชิงหยวนมีไว้สำหรับลูกหลานของตระกูลขุนนางและผู้มีอำนาจมาโดยตลอด และการรับเข้าสถานศึกษาชิงหยวนก็เทียบเท่ากับคนธรรมดาที่ได้รับการศึกษาที่ดี สิ่งนี้จะทำให้เกิดสนามพายุในสำนักอย่างแน่นอน และจะตามมาด้วยข้อโต้แย้งมากมาย
การเปลี่ยนวิธีการ ราวกับการเคลื่อนรากฐานของความรู้
นี่จะเป็นสงครามที่นองเลือดยิ่งกว่าการฟื้นฟูระบบการคุ้มครองผู้มีความสามารถ เซียวเฉวียนจะสามารถทำให้มันเป็นจริงตามความปรารถนาได้อย่างไร?
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...
ไหนบอกรักลูกน้องหนักหนา เด็กมันอยากจะเข้าไปเป็นสนมก็จะปล่อยให้เข้าไปงั้นเหรอ ตัวเอกเรื่องนี้มันยังไง พิมพ์ด่านะ แต่ก็อ่าน 55555...