อ่านสรุป บทที่ 1264 เข้าร่วมอย่างกระตือรือร้น จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 1264 เข้าร่วมอย่างกระตือรือร้น คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
รอจนกระทั่งเซียวเฉวียนกลับเข้าจวนเซียว เจี้ยนจงเองก็กลับมาจากภูเขาคุนหลุนเช่นกัน
เนื่องจากการเชื้อเชิญอันอบอุ่นของชิงหลง เจี้ยนจงก็พักอยู่ที่คุนหลุนสองวัน
หลังจากทำความคุ้นเคยกับภูเขาคุนหลุนแล้ว เขาก็ได้ถือโอกาสรอพัดด้วย
พัดนั้นเป็นสิ่งที่ชิงหลงสั่งให้ช่างฝีมือที่ดีที่สุดของเผ่าคุนหลุนสร้างขึ้นโดยใช้วัสดุที่ดีที่สุด ต้องใช้เวลารอกว่าสองวัน
ในเวลาสองวันนี้ ชิงหลงอยู่เป็นเพื่อนพาเจี้ยนจงเที่ยวเล่นในคุนหลุนรอบหนึ่ง
ว่ากันตามตรงแล้ว นอกจากพื้นดินที่แห้งแล้งของคุนหลุนนั้น ก็ไม่ได้มีควาพมิเศษใดๆ อีก คุณภาพของข้าวของนั้นยังอาจจะแทบจะกระทั่งตำบลเล็กๆ ชายแดนของต้าเว่ยสักแห่งได้เลย
พูดไปแล้ว หากมิใช่เพราะว่าสินแร่ของเทือกเขาคุนหลุนอุดมสมบูรณ์ เอามาหลอมสร้างอาวุธได้ดีแล้วสร้างชื่อเสียงให้คุนหลุนละก็ เกรงว่า บนโลกนี้น้อยคนนักจะรู้ว่ามีสถานที่อย่างเทือกเขาคุนหลุนนี้อยู่ด้วย
อีกทั้งเผ่าคุนหลุนกลับอาศัยอยู่ที่นี่มากว่าพันปี ก็เป็นเรื่องลำบากยากแค้น
ทว่า เจี้ยนจงกลับสัมผัสได้ว่า ยามนี้คุนหลุนมีโอกาสพลิกฟื้น สถานที่มากมายค่อยๆ มีร่องรอยของความมีชีวิตชีวาเกิดขึ้น
และนับตั้งแต่ผนึกจูเสินย้ายไปอยู่บนตัวเซียวเฉวียน จิตกระบี่ตื่นขึ้นและเจี้ยนจงก็ได้กลับมาในที่สุด
เทือกเขาคุนหลุนต้องค่อยๆ ฟื้นคืนสู้ปรกติ ไม่ช้าก็เร็วจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม
พูดไปแล้ว เจี้ยนจงก็หยิบเอาพัดเล่มใหม่เล่มนั้นขึ้นมา ก่อนจะสะบัดเปิดตัวพัดเล็กน้อยแล้วเขย่ามันเบาๆ
พัดเล่มนี้ เป็นงานฝีมือที่วิจิตรยิ่ง ด้านบนยังมีภาพวาดน้ำหมึกทิวทัศน์ วาดได้ออกมางดงามเป็นที่สุด
สามารถมองออกได้ว่า ชิงหลงตั้งใจกับพัดนี้มาก แน่นอนว่า นี่ยังเป็นเพราะชิงหลงเคารพนับถือบรรพบุรุษอย่างเจี้ยนจงผู้นี้เป็นเหตุด้วย
เซียวเฉวียนเห็นสถานการณ์แล้ว ก็อดหยอกล้อสักหน่อยมิได้ “ขี้อวด”
การที่เจี้ยนจงทำเช่นนี้ ก็เพื่อคิดอยากจะอวดโฉมต่อหน้าเซียวเฉวียนสักหน่อยว่าเขาได้สมบัติล้ำค่ามา
ได้ยินแล้ว เจี้ยนจงก็ยิ้มฮี่ๆ แต่ไม่ตอบกลับ
ไม่ผิด เขากำลังอวดให้เซียวเฉวียนดู
คิดอยากจะฉวยโอกาสเตือนเซียวเฉวียนสักหน่อย ว่าดาบจิงหุนที่แหว่งเป็นรูนั้นก็สมควรจะเปลี่ยนแล้ว
ความคิดนี้เซียวเฉวียนย่อมเข้าใจ แต่ว่า ดาบจิงหุนติดตามเซียวเฉวียนมานานปีปานนี้ เซียวเฉวียนใช้ถนัดมือและชินแล้ว
พูดไปแล้ว ดาบจิงหุนนั้นก็แค่เป็นรูเล็กๆ เท่านั้น ไม่ได้กระทบต่ออนุภาพของมัน ดังนั้น เซียวเฉวียนจึงไม่เปลี่ยนมันชั่วคราว
เขาไม่เหมือนกับเจี้ยนจง ไม่ได้ชื่นชอบของประดับประดาแต่เปลือกพวกนี้ ทว่าเพื่อตามหาพัดเล่มหนึ่งถึงกับต้องไปเอาที่เทือกเขาคุนหลุน ให้เซียวเฉวียนพูดนั้น เจี้ยนจงว่างจนไม่มีอะไรทำ กินข้าวแล้วว่างงาน
อาศัยพละกำลังที่แท้จริงของเจี้ยนจง เขาแค่หยิบกิ่งไม้ขึ้นมาที่ไหนก็ได้สักกิ่ง ก็สามารถสร้างการความเสียหายสะเทือนฟ้าดินได้แล้ว ยังจะต้องสนใจอีกหรือว่ามีอาวุธอะไรอยู่ในมือ?
เห็นได้ชัดว่าเจี้ยนจงว่างอะไรเช่นนี้...
ไม่สู้หาเรื่องอะไรให้เขาทำสักอย่าง ตำแหน่งอ๋องสิบหกของเขาก็ยังอยู่ เรื่องนี้ให้เขาไปทำก็นับว่าเหมาะสม
“เจี้ยนจง มีเรื่องหนึ่งต้องการให้ผู้เฒ่าเช่นท่านออกหน้า” มุมปากของเซียวเฉวียนอมยิ้ม หางตาเลิกขึ้น เขามองเจี้ยนจงพลางเอ่ย “เรื่องนี้ ท่านผู้ชราเช่นท่านออกหน้า คงจะต้องสำเร็จโดยราบรื่นแล้ว”
เรื่องอะไรจะใหญ่ปานนั้น จำเป็นต้องให้เจี้ยนจงออกหน้าด้วยหรือ?
เจี้ยนจงพลันสนใจขึ้นมาในทันที เขามองเซียวเฉวียนด้วยสีหน้าคาดหวัง “พูดมา เรื่องอะไร”
“เฮ้อ ไม่ใช่ เจ้าเรียกข้ามาเพื่ออะไร? ท่านผู้ชรางั้นหรือ?” เจี้ยนจงพอรู้ตัวแล้วก็กลอกตาใส่เซียวเฉวียนครั้งหนึ่ง แม้เขาจะมีสถานะของท่านบรรพบุรุษอยู่ ทว่าการที่เซียวเฉวียนเรียกเขาว่าท่านผู้ชรานั้น ทำเอาเจี้ยนจงรู้สึกประหลาดนัก
โอ้! ถูกแล้ว เซียวเฉวียนมิใช่ว่ารวมร่างกับผนึกจูเสินแล้วหรือไร?
พอเป็นแบบนี้ เอาจริงๆ แล้ว เซียวเฉวียนก็ไม่นับว่าอ่อนเยาว์กว่าเจี้ยนจง อาศัยอะไรเซียวเฉวียนถึงได้หน้าไม่อาย แสร้งทำตัวเด็ก เรียกเจี้ยนจงว่าท่านผู้ชรากัน?
เจี้ยนจงไม่อนุญาตให้เซียวเฉวียนทำเช่นนี้ เจี้ยนจงแก้ว่า “พวกเราสองคนก็ไม่ต่างกันมากหรอก ข้าเป็นท่านผู้ชรา เจ้าเองก็เช่นกัน”
“พรวด!”
“ได้ขอรับ เชิญใต้เท้าเจี้ยนจง” มู่จิ่นเออออตามคำพูดของเจี้ยนจง เขายิ้มจนคิ้วตาโค้งไปหมด ภายในใจบ่นพึมพำ ขี้โม้จัง
แม้ว่าเจี้ยนจงจะอ่านใจของมู่จิ่นไม่ออก แต่ดูจากสีหน้าของเขาก็พอรู้ว่า มู่จิ่นกำลังว่าเขาขี้โม้
เจี้ยนจงยิ้มตาหยี “อีกหน่อย หากว่าเหล่าเซียวไม่ออยู่ในจวน ข้าจะเป็นคนดูแลพวกเจ้า ไอ้หยา ขนาดฝันเองยังคิดไม่ถึงเลยว่าข้าจะแข็งแกร่งจนถึงระดับนี้ได้”
ฟังสิ ความนัยความนอกในนี้ ล้วนแต่เป็นอารมณ์ได้ใจระดับขึ้นสวรรค์ของเจี้ยนจงทั้งสิ้น!
ทว่า จริงๆ แล้วเจี้ยนจงเองก็มีคุณสมบัติที่จะได้ใจ มู่จิ่นแย้มยิ้มเล็กน้อย “ขอรับ อีกหน่อย ข้าน้อยวาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่าใต้เท้าเจี้ยนจงจะปกป้องลูกนกลูกกาอย่างพวกข้า”
ลูกไม้นี้ ประจบเสียจนเจี้ยนจงอารมณ์เบิกบานนัก
ทั้งสองคนเล่นละครเจ้าร้องข้ารับ เซียวเฉวียนอดที่จะส่ายหัวไม่ได้
คนที่มาจากจีนทั้งสี่คนยามอยู่ด้วยกัน พวกเขามักจะรักษาท่าทีแบบยุคปัจจุบันเอาไว้
บรรยากาศระหว่างกันย่อมไม่มีความแตกต่างทางสถานะ และนี่เป็นเพียงแค่ถ้อยคำหยอกล้อระหว่างกันเท่านั้น ไม่ได้มีการเหยียดหยามอะไรขึ้นมาจริงๆ
ในสายตาของคนทั้งสี่ คำเรียกขานทางสถานะนั้นก็เป็นแค่คำเรียกขานเท่านั้น ธรรมดาเหมือนกับชื่อนั่นละ
เมื่อครู่คำพูดของเจี้ยนจงนั้น เว่ยเป้ยประจวบเหมาะได้ยินเข้าพอดี
เว่ยเป้ยกำลังว่างเต็มที่ เขาเองก็คิดจะออกแรงช่วยจวนเซียวเช่นกัน
อีกทั้ง ในยุคปัจจุบันนั้น เขาก็เป็นอาจารย์คนหนึ่งเขาย่อมคุ้นเคยกับโครงสร้างของสถานศึกษาอยู่บ้าง
เว่ยเป้ยเองก็คิดอยากจะเข้าร่วมซ่อมแซมแก้ไขสถานศึกษาชิงหยวนเช่นเดียวกัน
ดังนั้นแล้ว เว่ยเป้ยจึงเริ่มกระทืบเท้าผางขึ้นมา เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ “ข้าเองก็จะไป”
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...