อ่านสรุป บทที่ 1408 นักปราชญ์ไม่พอใจ จาก ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง
บทที่ บทที่ 1408 นักปราชญ์ไม่พอใจ คืออีกหนึ่งตอนเด่นในนิยายนิยายจีนโบราณ ซูเปอร์ลูกเขย ที่นักอ่านห้ามพลาด การดำเนินเรื่องในตอนนี้จะทำให้คุณเข้าใจตัวละครมากขึ้น พร้อมกับพลิกสถานการณ์ที่ไม่มีใครคาดคิด เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างเฉียบคมและลึกซึ้ง
มาถึงเวลานี้ เซียวเฉวียนไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่เฉยๆ ให้นักปราชญ์ฆ่าได้?
ฮ่าฮ่าฮ่า !
คนที่ดีใจเหมือนกับนักปราชญ์ก็คือหมิงเจ๋อ
ไม่ ถ้าพูดให้ถูกก็คือ หมิงเจ๋อดีใจยิ่งกว่านักปราชญ์อีก
ถ้าจะบอกว่าในโลกนี้มีใครที่อยากให้เซียวเฉวียนตายมากที่สุด แน่นอนคนๆนั้นก็คือหมิงเจ๋อ!
เพราะเซียวเฉวียน หมิงเจ๋อที่เป็นคนองค์ชายที่สูงส่งของซินเจียงต้องกลายมาเป็นคนๆหนึ่งที่ต้องหลบหนีความตาย จากที่อยู่ในที่สูงส่งตกลงไปอยู่ในความทุกข์ทรมาน จากคุณชายรูปงามกลายเป็นคนพิการ
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะเซียวเฉวียน!
เซียวเฉวียนทำลายหมิงเจ๋อ!
แม้แต่ในความฝัน หมิงเจ๋อก็ยังคิดที่จะแก้แค้นตอบสนองกลับคืนต่อเซียวเฉวียนให้มากเป็นพันเท่า
“ยินดีด้วยนักปราชญ์!”
ในที่สุดโอกาสที่จะได้แก้แค้นก็มาถึงแล้ว หลังจากที่หมิงเจ๋อแสดงความยินดีแล้ว พูดจบแล้ว ก็หันหน้าเล็กน้อยและพูดว่า :“หมิงเจ๋อมีสิ่งที่อยากจะขอร้อง หวังว่านักปราชญ์จะยินยอม”
หมิงเจ๋อมีความเคารพต่อนักปราชญ์อย่างมาก เขาไม่กล้าเรียกตัวเองว่าองค์ชายต่อหน้านักปราชญ์ ตอนนี้ตกต่ำถึงขนาดนี้ เรียกได้ว่าไม่มีอะไรเหลือแล้ว นักปราชญ์ยังยอมรับเขาไว้ก็ถึงว่าดีมากแล้ว แน่นอนว่าหมิงเจ๋อยิ่งไม่กล้าทำท่าหยิ่งยโสต่อหน้านักปราชญ์
อยู่ต่อหน้านักปราชญ์ เขาเรียกชื่อของตัวเอง
“หื้อ?”
นักปราชญ์เหลือบตามอง มีความสงสัยมองหมิงเจ๋อและพูดว่า:“ลองพูดมาก่อน”
“เมื่อถึงตอนนั้น หวังว่านักปราชญ์จะส่งตัวเซียวเฉวียนให้ข้าเป็นคนจัดการ ให้ข้าได้มีโอกาสแก้แค้นด้วยตัวเอง” พูดไปหมิงเจ๋อก็กัดฟันแน่น “ข้าต้องการให้จุดจบของซียวเฉวียนทุกข์ทรมานยิ่งกว่าข้า!”
คำขอร้องนี้ของหมิงเจ๋อ นักปราชญ์ไม่คิดอะไรทั้งนั้นพูดตอบตกลงในทันที:“ไม่มีปัญหา”
เป้าหมายของเขาคือต้องการให้เซียวเฉวียนตาย ส่วนเซียวเฉวียนจะตายด้วยน้ำมือของใคร ตายอย่างไร เขาไม่มีข้อจำกัดอะไรทั้งนั้น
นักปราชญ์ตอบรับอย่างรวดเร็ว ทำให้หมิงเจ๋อคาดไม่ถึงจริงๆ หมิงเจ๋อรู้สึกดีใจมาก เขารีบหันไปทางนักปราชญ์คารวะและพูดว่า :“ขอบคุณที่นักปราชญ์ยอมตอบรับคำขอร้องของข้า”
นักปราชญ์ก็มีสีหน้าที่ตอบรับการคารวะจากหมิงเจ๋อ มาถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีความรู้สึกละอายแม้แต่นิดเดียวที่หมิงเจ๋อต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนี้
แต่กลับรู้สึกว่าตอนที่เขารับหมิงเจ๋อเอาไว้ ในตอนที่หมิงเจ๋อกำลังตกอยู่ในความยากลำบาก สำหรับหมิงเจ๋อแล้ว นี้เป็นเมตตาบุณคุณที่ยิ่งใหญ่
ตอนนี้ เขายังช่วยหมิงเจ๋อรับมือต่อสู้กับเซียวเฉวียน ทำให้หมิงเจ๋อได้มีโอกาสได้ทรมานเซียวเฉวียน
สำหรับหมิงเจ๋อแล้ว เป็นบุณคุณที่ยิ่งใหญ่
แม้แต่หมิงเจ๋อก็รู้สึกแบบนั้น ในตอนนี้หมิงเจ๋อยังคิดว่านักปราชญ์ยอมรับข้อเรียกร้องของเขาทำให้รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมาก ในใจยิ่งรู้สึกเคารพนับถือนักปราชญ์มากยิ่งขึ้น
เขาช่วยเหลือหมิงเจ๋อขนาดนี้ สมแล้วที่เป็นนักปราชญ์ สมแล้วที่เป็นคนที่หมิงเจ๋อให้ความเคารพนับถือ
ตอนนี้ความสัมพันธ์ของทั้งสองคน เหมาะสมที่จะใช้ประโยคหนึ่งของยุคหลังฮวาเซี่ยที่ว่า :“พร้อมใจกันทั้งสองฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเต็มใจที่จะสู้ อีกคนเต็มใจที่จะทนทุกข์ทรมาน”
นักปราชญ์ไม่มีความละอายใจหลอกลวงหมิงเจ๋อ หลอกใช้เขามาโดยตลอด แต่หมิงเจ๋อกลับเชื่อเขาอย่างมาก ถูกนักปราชญ์หลอกลวงให้เชื่ออย่างสนิทใจ
อยู่ต่อหน้านักปราชญ์ หมิงเจ๋อเหมือนเป็นคนที่โง่เง่าที่สุดในโลก คิดว่าศัตรูเป็นผู้มีบุญคุณ โง่เง่ามากจนไม่มียาอะไรสามารถช่วยรักษาได้
แต่ว่า ก็ไม่สามารถตำหนิหมิงเจ๋อได้ทั้งหมด สิ่งที่สำคัญเป็นเพราะนักปราชญ์หลอกลวงได้เก่งมาก
นักปราชญ์คิดอยู่นาน ในเมื่อเซียวเฉวียนบุกเข้ามาแล้ว ค่ายกลกระบี่ของเขาไม่สามารถปล่อยออกไปได้แล้ว
ก็ใช้โอกาสนี้ หาที่ซ่อนกองกำลังจัดการให้เรียบร้อยดีก่อน ค่อยจัดการเซียวเฉวียนที่หลัง
ข้อดีก็คือนักปราชญ์รู้เข้าใจสถานที่รอบๆบริเวณใกล้เคียงนี้เป็นอย่างดี เพียงแค่ข้ามผ่านเขาลูกนี้ไป ข้างหน้าก็จะเป็นทะเลทรายแล้ว
ถูกต้อง นักปราชญ์จะนำกองกำลังไปปักหลักอยู่ที่ทะเลทราย
ทะเลทรายที่ไร้ผู้คนมาเป็นเวลานาน เหมาะสมที่สุดที่จะเป็นที่ซ่อน
และอีกอย่าง ทะเลทรายมีลมแรงมาก กองกำลังที่เดินทางผ่านร่องรอยหลักฐานที่ทิ้งเอาไว้ ก็จะถูกลมและทรายพัดมาปกคลุมได้อย่างง่ายดาย
นักปราชญ์เพิ่งจะเข้ามาดูแลกองกำลังนี้ ขวัญกำลังใจของทหารยังไม่มั่นคง เขาไม่กล้าทำอะไร
ยิ่งไปกว่านั้น ตัวของฉินเฟิงก็หนาว ไม่ผิงไฟ จะรอให้หนาวตายเหรอ?
ใช่แล้ว นักปราชญ์ไม่กล้าซักถามฉินเฟิง และไม่กล้าปลดปล่อยอารมณ์ความไม่พอใจต่อชาวยุทธ์แท้
ไม่ต้องพูดถึงการปลดปล่อยอารมณ์ แม้แต่ความไม่พอใจเพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่กล้าแสดงออกมา
แต่ว่า เสวียนจิ้งเป็นลูกศิษย์ของนักปราชญ์ เขาสามารถซักถามได้
สายตาของนักปราชญ์มองไปที่เสวียนจิ้ง และพูดว่า :“เสวียนจิ้ง เจ้าตามข้ามา”
ตอนที่เสวียนจิ้งอยู่ที่ต้าเว่ย อยู่ในราชการมาหลายปี บวกกับตัวเขาเองมีความรู้อยู่บ้าง เมื่อเห็นสีหน้าของนักปราชญ์ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความโกรธ เขาก็พอจะเดาออกว่า ที่นักปราชญ์เรียกเขาออกไปคุยกันตามลำพัง ด้วยเรื่องอะไร
เขารู้สึกไม่ค่อยสบายใจเดินตามออกไป กำลังคิดว่าจะเป็นอย่างไร คิดว่าจะรับมือกับนักปราชญ์อย่างไรดี
เป็นอย่างที่คาดคิดไว้ เดินไปซักพัก จนแน่นใจว่าอยู่ในระยะที่กองกำลังทหารไม่เห็นและไม่ได้ยิน สีหน้าของนักปารชญ์เปลี่ยนเป็นสงบนิ่งลง และพูดว่า:“เสวียนจิ้ง ทำไมเจ้าไม่เร่งให้กองกำลังเดินทางให้เร็วขึ้น?ทำไมถึงยังจุดไฟผิงไฟเป็นเวลานานอย่างนี้?”
ต่อจากนั้น นักปราชญ์ก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เสวียนจิ้งฟังอีกครั้ง น้ำเสียงเยือกเย็นพูดว่า :“เจ้ารู้หรือไม่ เรื่องที่อาจารย์วางแผนมานาน เกือบจะถูกทำลายด้วยน้ำมือของพวกเจ้าแล้ว!”
ทันใดนั้นก็พูดเสียงดังขึ้น ทำให้เสวียนจิ้งตื่นตระหนก เขามองดูนักปราชญ์ด้วยความหวาดกลัว สมองกำลังคิด ว่าจะต้องอธิบายอย่างไร ถึงจะทำให้นักปราชญ์รู้สึกผิดหวังน้อยที่สุด
อีกฝากฝั่งหนึ่งของภูเขา เซียวเฉวียนและเหมิงเอ้าเพิ่งจะโผล่พ้นออกมาจากหมอกหนา ยังไม่สามารถหาวิธีการจัดการค่ายกลได้ และในค่ายกลก็มีแมลงออกมา
ในตอนนั้น เหมิงเอ้าจุดไฟจนฟืนกำลังจะมอดหมดไป ตอนนั้นรอบๆข้างไม่มีสิ่งใดที่จะสามารถเผาได้อีกแล้ว
หรือจะพูดได้ว่า ไฟกำลังจะมอดดับแล้ว
แสงไฟของค่ายกลค่อยๆอ่อนกำลังลง
เหลือเพียงแค่กองฟืนนี้ที่กำลังจะมอดดับลง ถ้างั้นเซียวเฉวียนและเหมิงเอ้าก็จะต้องกลับไปอยู่ในที่ๆมืดมิดอีกครั้ง ความเสี่ยงต่ออันตรายก็จะยิ่งเพิ่มมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ยังไม่ถึงตอนนั้น ก็ไม่รู้ว่าเซียวเฉวียนหรือเหมิงเอ้าจะพบเจอกับสถานที่ไหน ในระหว่างนั้น ทันใดก็มีค้างคาวบินเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง กระพือปีกพุ่งโจมตีไปที่เซียวเฉวียนและเหมิงเอ้า
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...