แต่ว่า เซี่ยวเฟิงมีพฤติกรรมที่เอาแต่ใจอย่างนี้ เซียวเฉวียนจะไม่คิดบัญชีแค้นย้อนหลังได้อย่างไร?
จะปล่อยให้มันผ่านไปได้ง่ายๆแบบนี้งั้นเหรอ แล้วหลังจากนี้ก็จะไม่มีกฏระเบียบแล้วหรือ?
สายตาเยือกเย็นของเซียวเฉวียนมองไปที่เซียวเฟิง เซียวเฟิงตกใจกลัวจนตัวสั่น เดินถอยหลังไปสองก้าว
ท่าทางที่เย็นชาน่ากลัวของเซียวเฉวียน เขาตกใจกลัวอย่างมากจริงๆ
ก่อนหน้านี้ทำไมไม่เคยรู้มาก่อน?
ถ้ารู้มาก่อนหน้านี้ เซียวเฟิงจะไม่กล้ามาทำอย่างนี้
เขามีท่าทางระมัดระวังและน่าสงสารมองเซียวเฉวียน หวังว่าเซียวเฉวียนจะไม่โกรธโมโห
ที่จริงแล้ว เซียวเฉวียนก็ไม่ได้คิดจะทำอะไรเซียวเฟิง เพียงแค่ต้องการขู่ให้กลัวเท่านั้น
เมื่อเห็นสัตว์เทพหมดสิ้นความโอหังลง สิ่งที่เซียวเฉวียนต้องการก็บรรลุเป้าหมายแล้ว เขาก็ไม่อยากจะหาเรื่องกับสัตว์เทพอีกต่อไปแล้ว เขาพูดขึ้นว่า:“ครั้งนี้จะยอมไว้ชีวิตเจ้า หลังจากนี้ถ้ายังเอาแต่ใจอย่างนี้อีก ข้าจะไม่ให้อภัยเจ้าอีกแล้ว”
พูดจบ เซียวเฟิงก็เงียบลงและตามสวีซูผิงกลับไปที่ต้าเว่ย เขาเห็นแน่ชัดแล้วว่าองค์หญิงต้าถงปลอดภัยดี ไม่มีผลกระทบใดๆ
แต่ทำให้เซียวเฉวียนคิดจินตนาการไปไกล
อดทนพยายามให้อภัย
คำพูดของเซียวเฉวียน ทำให้เซียวเฟิงที่รู้สึกเคร่งเครียดผ่อนคลายลง สายตาของเขามองจ้องไปที่เซียวเฉวียน มีรอยยิ้มปรากฏอยู่บนใบหน้า
ค่อยๆเดินเข้าไป เอนหัวเข้าไปในอ้อมอกของเซียวเฉวียน เป็นการแสดงความขอบคุณต่อเซียวเฉวียน
หลังจากนี้เขาไม่กล้าอีกแล้ว เขาจะฟังคำสั่งของเซียวเฉวียน
ภาพตรงหน้านี้ ทุกคนมองดูอย่างตกตะลึง
ไอ้โย่ว สัตว์เทพยอมรับเซียวเฉวียนเป็นเจ้านายก็แล้วไป ยังจะทำท่าทางออดอ้อนอีก
เซียวเฉวียนเก่งจริงๆ แม้แต่สัตว์เทพก็ยังยอมนอบน้อมต่อเขา
ถ้ามีโอกาสกลับไปในยุคปัจจุบัน แบบนี้มันสุดยอดไปเลย พอที่จะให้เอาไปคุยโม้โอ้อวดกับคนฮว๋าเซี่ยได้ตลอดชีวิตเลย
แต่ว่า เซียวเฉวียนรู้สึกรังเกียจเซียวเฟิงเล็กน้อย เป็นถึงสัตว์เทพ มาทำออดอ้อนกับลูกผู้ชายอกสามศอกอย่างเซียวเฉวียน เขาไม่รู้สึกอับอาย แต่เซียวเฉวียนรู้สึกอับอาย
เซียวเฉวียนพูดว่า:“เอาละ เจ้ากับกิเลนออกไปได้แล้ว”
เมื่อได้รับการยกโทษจากเซียวเฉวียนแล้ว คำสั่งของเซียวเฉวียน เซียวเฟิงไม่กล้าขัดขืนอีก
พูดจริงๆว่า พวกเขาเป็นสัตว์เทพที่สง่างามน่าเกรงขาม ยืนอยู่รายล้อมไปด้วยกลุ่มคนที่จับจ้องมองดู เซียวเฟิงกับกิเลนก็แทบจะทนต่อไปไม่ได้แล้ว
ดังนั้น เซียวเฟิงพากิเลนแวบหายไปต่อหน้าต่อตาทุกคน ทำให้พวกเขาที่ล้อมรอบดูอยู่รู้สึกเหงาหงอย
เรื่องของเซียวเฟิง ก็จบลงแค่นั้น
เซียวเฉวียนพึ่งจะเห็นเจี้ยนจงกับมู่จิ่น กำลังจะถามพวกเขาว่าทำไมถึงมาอยู่ที่จวนเซียวได้
ในตอนนี้ พวกเขาควรจะอยู่ที่ห้องหนังสือชิงหยวนถึงจะถูก
มู่จิ่นเข้าใจความหมายที่เซียวเฉวียนต้องการจะสื่อออกมา เขาพูดว่า:“เรื่องห้องหนังสือชิงหยวน จัดการเรียบร้อบแล้ว เหลือแค่รายละเอียดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ข้าได้วางแผนจัดการไว้เรียบร้อยแล้ว”
ช่วงเวลานี้ เจี้ยนจงและมู่จิ่นกำลังยุ่งเกี่ยวกับเรื่องห้องหนังสือชิงหยวน เป็นเรื่องไม่ยาก แต่มีรายละเอียดมาก จะต้องค่อยๆจัดการด้วยตนเองทีละเรื่อง ยุ่งวุ่นวายอย่างมาก
ทำงานตลอดจนถึงตอนนี้ ทำเสร็จไปเกือบทั้งหมดแล้ว
เรื่องการรับสมัคร ก็ใกล้จะจบสิ้นถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้ว
พร้อมประกาศไปทั่วทุกที่ นักเรียนของเมืองหลวงเกือบทั้งหมดก็มาลงสมัคร นอกจากนักเรียนของเมืองหลวงแล้ว ก็มีคนอื่นมาลงสมัครมากมาย
หรือจะพูดได้ว่า จนถึงตอนนี้ ครบเต็มจำนวนแล้ว
เพื่อที่จะสามารถแบ่งระดับชั้นเรียนให้ดียิ่งขึ้น มู่จิ่นไปหาเว่ยเป้ยผู้ที่มีความรู้การศึกษาให้มาช่วยเหลือ
แต่ว่า ไม่สามารถให้คนนอกรู้ได้ว่าเว่ยเป้ยมีความแตกต่าง ดังนั้น เรื่องนี้จะต้องดำเนินการอย่างลับๆ
แม้แต่เว่ยเป้ยจะเข้ามาที่ห้องหนังสือชิงหยวน เจี้ยนจงก็ต้องเป็นคนไปรับไปส่ง
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว เซียวเฉวียนรู้สึกพอใจพยักหน้า และพูดว่า:“ทำได้ดี”
สำหรับห้องหนังสือชิงหยวนแล้ว เว่ยเป้ยเป็นคนที่มีความสามารถที่หาได้ยาก
ดังนั้น เซียวเฉวียนคิดว่า ควรจะต้องหาเหตุผล ทำให้เว่ยเป้ยสามารถเข้าออกห้องหนังสือชิงหยวนได้อย่างเปิดเผย ให้เขาได้ใช้ความสามารถอย่างเต็มที่?
เว่ยเป้ยมีความตั้งใจ การสอนหนังสือเหมาะสมกับเขามากกว่าการเข้าไปเป็นขุนในราชสำนัก
ในยุคปัจจุบัน วิธีการสร้างชื่อเสียงที่ดีมีมากมาย สามารถออกหนังสือ เขียนรายงาน ออกข่าวโทรทัศน์ สร้างข่าวประเด็นร้อนให้เป็นกระแสนิยม
แต่ในยุคโบราณที่ล้าหลังอย่างนี้ การสร้างชื่อเสียงที่ดีมีเพียงหนทางเดียวเท่านั้น ก็คือการแพร่กระจายข่าวซุบซิบ
พูดง่ายๆ การสร้างชื่อเสียงที่ดีให้เว่ยเป้ย ก็ต้องแพร่กระจายข่าวซุบซิบนินทาว่าเว่ยเป้ยต่อต้านเว่ยเชียนชิวอย่างไรบ้าง
พูดง่ายก็คือทำให้เว่ยเป้ยกลายเป็นลูกอกตัญญู
สำหรับเว่ยเป้ยแล้ว การอกตัญญูคือการสรรเสริญที่ดีที่สุด
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ มู่จิ่นและคนอื่นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มหัวเราะขึ้นมา
แต่ว่า จะทำให้เป็นอย่างนี้ได้ มู่จิ่นจะต้องไปหาคนสองคนเพื่อมาร่วมแสดงละครฉากนี้ด้วย
ดังนั้นสายตามู่จิ่นมองไปที่เจี้ยนจงและเซียวจิ่ว
ทั้งสามคนช่วยกันดูแลห้องหนังสือชิงหยวน มีความเข้าใจคุ้นเคยกันมากกว่าคนอื่น สามารถร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี
ไม่รอค่อยรีบเร่งลงมือ ทั้งสามคนเดินออกจากประตูไปแล้ว มุ่งหน้าไปที่เมืองหลวงสถานที่ๆมีความคึกคัก
ในเมืองหลวงสถานที่ๆมีความคึกคักมากที่สุดคือตลาดในเมือง
แต่ว่า เป็นเพราะการปรากฏตัวของเซียวเฟิงและกิเลน ถนนในเมืองวันนี้ไม่ปกติ ถนนที่กว้างขวางใหญ่โต ดูเงียบกว่าปกติ
หรือจะพูดได้ว่า ทั้งสามคนมาเสียเที่ยวแล้ว
แต่ว่า ในเมื่อออกมาแล้ว ทั้งสามจะต้องไม่กลับไปมือเปล่า
สถานที่ที่คึกคักในเมืองหลวง ไม่ได้มีแค่ที่นี่ที่เดียว
พวกเขาสามารถถอยเพื่อทำสิ่งที่ดีกว่าได้
บ่อนพนันและหอปี๋เซิ่งก็เป็นสถานที่ๆมีคนมากมาย
ตัวเลือกแรกที่เป็นเป้าหมายของทั้งสามคนก็คือบ่อนพนัน
คนของบ่อนพนัน มีการสลับเปลี่ยนหมุนเวียนตลอด ก็จะยิ่งแพร่กระจายได้รวดเร็วเป็นวงกว้างมาก
ดังนั้น ทั้งสามคนเดินออกไปด้วยท่าทางแข็งแกร่งสง่างามมุ่งหน้าไปยังบ่อนพนัน

ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...