ซูเปอร์ลูกเขย นิยาย บท 1481

สรุปบท บทที่ 1481 ออกหน้าด้วยตนเอง: ซูเปอร์ลูกเขย

สรุปเนื้อหา บทที่ 1481 ออกหน้าด้วยตนเอง – ซูเปอร์ลูกเขย โดย ชิงเฉิง

บท บทที่ 1481 ออกหน้าด้วยตนเอง ของ ซูเปอร์ลูกเขย ในหมวดนิยายนิยายจีนโบราณ เป็นตอนที่โดดเด่นด้วยการพัฒนาเนื้อเรื่อง และเปิดเผยแก่นแท้ของตัวละคร เขียนโดย ชิงเฉิง อย่างมีศิลป์และชั้นเชิง ใครที่อ่านถึงตรงนี้แล้ว รับรองว่าต้องติดตามตอนต่อไปทันที

จริงๆ แล้ว ฮ่องเต้คิดว่าผู้ที่ช่วยให้ไทเฮาหนีไปได้ก็เพิ่งจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาเมื่อครู่นี่เอง

จะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันคิดถึงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่หนึ่งในบรรดาพวกเขา

นี่ก็นับว่าประหลาดนัก เมื่อครู่เหล่าขุนนางใหญ่ในตำหนักนั้น ต่างล้วนเป็นผู้กุมอำนาจสำคัญในราชสำนักทั้งสิ้น

เมื่อไม่ใช่พวกเขา แล้วจะมีใครที่สามารถช่วยไทเฮาออกไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงได้เช่นนั้น แล้วยังจะมีใครทำให้ไทเฮาเชื่อใจได้ปานนั้นและยอมร่วมมือกับเขาได้กัน?

ฮ่องเต้ทรงมีพระพักตร์สงสัย เซียวเฉวียนเองก็สงสัยนิดหน่อย

หากเปลี่ยนเซียวเฉวียนเป็นไทเฮาละก็ ผู้ที่เขาต้องการร่วมมือด้วยก็ต้องเป็นผู้มีความสามารถ

ทว่านอกจากเหล่าขุนนางใหญ่เมื่อครู่แล้ว ยังจะมีใครมีความสามารถอีก?

เซียวเฉวียนเอ่ย “ฝ่าบาทท่านรู้สึกว่า ยังมีใครมีความสามารถเช่นนั้นอีกหรือ?”

ฮ่องเต้ขบคิดครู่หนึ่ง เขาดันคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา อู๋ฟาน

อู๋ฟานนั้นเคยเป็นพรรคพวกของเว่ยเชียนชิว แต่ว่าความสามารถของเขาไม่นับว่าสูงส่ง เว่ยเชียนชิวไม่ได้ไว้ใจใช้งานเขา และเขาก็เหมือนทั้งมีและไม่มีตัวคนในพลพรรคของเว่ยเชียนชิว

หลังจากนั้นเนิ่นนาน อู่ฟานก็ถอนตัวออกจากกลุ่มของเว่ยเชียนชิวและรักษาจุดยืนตรงกลางเอาไว้

หลายปีมานี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สร้างอะไรดีงามใหญ่หลวง แต่ทำอะไรก็ทำตามกฎเกณฑ์และไม่ได้มีอะไรผิดแปลกออกไป อดกลั้นจนกระทั่งหยวนเหยาเสียชีวิต เขาค่อยโผล่หัวออกมา และกลายเป็นผู้ตรวจการราชสำนัก

หอสมบัติจืออินเป็นของตระกูลอู๋ ฮ่องเต้ก็ทรงทราบ แต่ว่าอู๋ฟานเป็นคนซื่อตรงตลอดมา ฮ่องเต้เองก็ไม่สงสัยเขา แต่กลับยอมให้เขาเปิดหอสมบัติจืออินต่อไป

แล้วยิ่ง ตระกูลสูงศักดิ์ที่มีทั้งอำนาจและพละกำลัง จะเป็นใครก็ไม่อาจจะหาเงินและข่าวได้มากเท่าพวกเขาอยู่แล้ว

ขอเพียงผู้กุมอำนาจเหล่านี้ไม่ทำเรื่องทำร้ายประชาชี ฮ่องเต้ก็สามารถปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่งได้

อีกทั้ง การมีอยู่ของสถานที่เหล่านี้ ไม่ว่าจะโดยความหมายใดก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เชื้อพระวงศ์

ก็อย่างเช่นลานอี้หงของจางต่ง ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีไว้บริการเว่ยเชียนชิว แต่ว่าหลังจากที่จางต่งสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้แล้ว ลานอี้หงก็เปลี่ยนผู้ที่มันรับใช้ ตอนแรกมันรับใช้ฮ่องเต้ มาตอนหลังถึงได้คอยรายงานเรื่องต่างๆ ให้ฮ่องเต้แทน

อู๋ฟานในฐานะที่เป็นผู้ตรวจการราชสำนัก นิสัยของเขาเถรตรง หรือจะพูดก็ได้ว่าเข้มงวด หอสมบัติจืออินนั้นก็มีไว้เพื่อรับใช้ฮ่องเต้นั่นเอง

ฮ่องเต้รู้สึกว่า อู๋ฟานมีความสามารถในการช่วยไทเฮาหนีไป แต่ว่า อู๋ฟานนั้นตายแล้ว

ความหมายในนอกตรงนี้นั้นก็คือ ฮ่องเต้สงสัยคนของอู๋ฟาน

แล้วยิ่งเพราะเรื่องของเซียวเฉวียน อู๋ฟานเลยถูกฮ่องเต้ลดขั้นติดต่อกันสองครั้งจนกระทั่งตาย คนของตระกูลอู๋เคียดแค้นชิงชังเซียวเฉวียนและฮ่องเต้ คิดอยากจะยืมมือไทเฮาแล้วช่วยแก้แค้นให้อู๋ฟานก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้

ฮ่องเต้เอ่ยว่า “อู๋ฟานนั้นมีบุตรชายชื่ออู๋จี้ ไม่รู้ว่าราชครูพอจะจำได้หรือไม่?”

เซียวเฉวียนส่ายหน้า แสดงให้เห็นว่าจำไม่ได้

อู๋จี้ นามนี้ เซียวเฉวียนยังคงได้ยินเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ

นัยน์ตาของฮ่องเต้นั้นค่อยๆ เหลือบมองฮ่องเต้ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็แย้มยิ้มเล็กน้อย ภายในใจของเขาคิด ก็ใช่ ในเวลานั้นเซียวเฉวียนช่วยทำศึกหลากหลายด้าน แล้วจะมีแก่ใจไปสนใจผู้อื่นได้อย่างไร?

อู่จี้รายนี้เองก็เป็นคนที่เก็บตัวได้ดีอย่างยิ่ง ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงไม่เคยได้เห็นเขา

เซียวเฉวียนสายตาเป็นประกาย “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ สงสัยว่าอู่จี้รายนี้จะเป็นผู้ก่อเรื่องหลังม่านใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”

ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าเอ่ย “ก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”

อู๋ฟานสั่งสมประสบการณ์ในแวดวงขุนนางมาหลายสิบปี เตรียมการล่วงหน้ามาหลายปี และค่อยบ่มเพาะขุมกำลังของตัวเองเงียบๆ การจะช่วยคนสักคนหนึ่งในวังหนีไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร

และสิ่งที่สำคัญก็คือ ฮ่องเต้นำเรื่องทุกคนที่เคยรู้สึกขบคิดผ่านสมองรอบหนึ่ง สังหรณ์ของเขาบอกว่าเป็นไปได้มากสุดว่าจะเป็นอู๋จี้

แรงขับของเขามีมากสุด

บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข

อู่จี้สามารถสอบได้ที่สี่ของการสอบเค่อจวี่ เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของเขาไม่ด้อย

เมื่อมีอาจารย์ผู้สอนเป็นบิดาที่มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม นั่นก็เหมือนกับเป็นเสือติดปีกขึ้นไปอีก เพื่อให้ชีวิตของเขาและสร้างทางลัดยิ่งกว่าให้กับชีวิตของตัวเอง

อีกทั้ง หลังจากที่อู๋ฟานเสียนั้น ฮ่องเต้เองก็เคยส่งสายลับไปจับตาดูการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของจวนอู๋

สายลับรายงานกลับมาว่า ทุกสิ่งในจวนอู่นั้นปรกติ อู่จี้เองนอกเสียจากทุกวันจะอยู่ในห้องหนังสือของบิดาเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามด้วยสีหน้าอาการปวดใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ

พ่อของเขาตายไปแล้ว การแสดงออกของเขาที่คนรอบข้างมองเห็นก็นับเป็นเรื่องปรกติยิ่ง

ฮ่องเต้เองก็เพียงแค่พูดขึ้นมา ไม่คิดเลยว่าเซียวเฉวียนจับจ้องอู้จี้อยู่เช่นเดียวกันจริงๆ เขาเอ่ยอย่างไม่อยากจะเชื่อ “ท่านราชครูก็คิดว่าเป็นไปได้ที่เขาจะเป็นคนหลังม่านอย่างนั้นหรือ?”

นี่มันไม่น่าจะเป็นไปได้กระมัง?

หากเป็นไปตามที่เขาพูดนั้น สายลับจับตาอยู่นานขนาดนี้ ก็น่าจะมองต้นสายปลายเหตุออกมาได้แล้วสิ

เขาเป็นบัณฑิตคนหนึ่ง แถมยังไม่มีวรยุทธ์ จะทำเรื่องอะไรถึงขั้นที่ไม่มีอะไรพิรุธหลุดออกมาเลยอย่างนั้นหรือ?

เซียวเฉวียนแย้มยิ้มบางเบา “ก็ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเคยได้ยินมาหรือไม่ หมาที่ไม่เห่านั้นกัดคนได้เจ็บที่สุด”

เว่ยเป่านั้นก็เป็นตัวอย่างชั้นเลิศชิ้นหนึ่ง

ใครกันจะไปรู้ว่า เด็กตัวเล็กๆ รายหนึ่งอย่างเว่ยเป่า ถึงกับจิตใจอำมหิตชั่วร้ายสังหารจวนเซียวขึ้นมาได้?

ให้ระวังคนที่คิดร้ายนั้นทำได้ แต่การมานั่งระวังไปทุกคนนั้นเป็นไปไม่ได้

ดูคนที่เก็บกดและดูไม่มีพิษภัยสิ ครั้นทำร้ายคนขึ้นมา ก็สังหารเจ้าได้โดยไม่ยั้งมือเลยทีเดียว!

เขาควรจะสั่งสมบทเรียนนี้ และไม่ปล่อยคนที่มีโอกาสเป็นไปได้ให้พ้นไป

พอเซียวเฉวียนพูดแบบนี้ขึ้นมา ฮ่องเต้จะทรงตรัสอะไรได้?

เขาทำได้แค่สนับสนุนเซียวเฉวียนเท่านั้น

แต่ว่าในเมื่อเซียวเฉวียนเป็นฝ่ายออกหน้าเอง นี่มิใช่ว่าเห็นแก่หน้าอู๋จี้หรอกหรือ?

เซียวเฉวียนถูกความคิดนี้ของฮ่องเต้ทำเอาหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออกขึ้นมา

ตั้งแต่ตอนไหนกัน ที่ฮ่องเต้อายุน้อยและสุขุมจะสามารถพูดล้อเล่นได้กับเขาสักประโยคสองประโยคกัน?

เซียวเฉวียนเอ่ยปากเสียงเบา “สมมติว่าเป็นอู๋จี้จริง เช่นนั้นตัวข้าผู้เป็นอาจารย์ออกหน้าถึงจะมองใบหน้าที่แท้จริงของเขาได้ชัดเจน รวดเร็ว ถูกต้องและแม่นยำพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อได้ยิน ฮ่องเต้ก็ทรงพยักหน้า “หากว่าเป็นเขาจริงๆ แน่นอนว่าข้าคงต้องให้ท่านราชครูออกหน้าแล้ว”

ประวัติการอ่าน

No history.

ความคิดเห็น

ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย