จริงๆ แล้ว ฮ่องเต้คิดว่าผู้ที่ช่วยให้ไทเฮาหนีไปได้ก็เพิ่งจะยืนอยู่ตรงหน้าเขาเมื่อครู่นี่เอง
จะอย่างไรเขาก็ไม่มีวันคิดถึงเลยว่า แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่หนึ่งในบรรดาพวกเขา
นี่ก็นับว่าประหลาดนัก เมื่อครู่เหล่าขุนนางใหญ่ในตำหนักนั้น ต่างล้วนเป็นผู้กุมอำนาจสำคัญในราชสำนักทั้งสิ้น
เมื่อไม่ใช่พวกเขา แล้วจะมีใครที่สามารถช่วยไทเฮาออกไปอย่างไร้สุ้มไร้เสียงได้เช่นนั้น แล้วยังจะมีใครทำให้ไทเฮาเชื่อใจได้ปานนั้นและยอมร่วมมือกับเขาได้กัน?
ฮ่องเต้ทรงมีพระพักตร์สงสัย เซียวเฉวียนเองก็สงสัยนิดหน่อย
หากเปลี่ยนเซียวเฉวียนเป็นไทเฮาละก็ ผู้ที่เขาต้องการร่วมมือด้วยก็ต้องเป็นผู้มีความสามารถ
ทว่านอกจากเหล่าขุนนางใหญ่เมื่อครู่แล้ว ยังจะมีใครมีความสามารถอีก?
เซียวเฉวียนเอ่ย “ฝ่าบาทท่านรู้สึกว่า ยังมีใครมีความสามารถเช่นนั้นอีกหรือ?”
ฮ่องเต้ขบคิดครู่หนึ่ง เขาดันคิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมา อู๋ฟาน
อู๋ฟานนั้นเคยเป็นพรรคพวกของเว่ยเชียนชิว แต่ว่าความสามารถของเขาไม่นับว่าสูงส่ง เว่ยเชียนชิวไม่ได้ไว้ใจใช้งานเขา และเขาก็เหมือนทั้งมีและไม่มีตัวคนในพลพรรคของเว่ยเชียนชิว
หลังจากนั้นเนิ่นนาน อู่ฟานก็ถอนตัวออกจากกลุ่มของเว่ยเชียนชิวและรักษาจุดยืนตรงกลางเอาไว้
หลายปีมานี้ แม้ว่าเขาจะไม่ได้สร้างอะไรดีงามใหญ่หลวง แต่ทำอะไรก็ทำตามกฎเกณฑ์และไม่ได้มีอะไรผิดแปลกออกไป อดกลั้นจนกระทั่งหยวนเหยาเสียชีวิต เขาค่อยโผล่หัวออกมา และกลายเป็นผู้ตรวจการราชสำนัก
หอสมบัติจืออินเป็นของตระกูลอู๋ ฮ่องเต้ก็ทรงทราบ แต่ว่าอู๋ฟานเป็นคนซื่อตรงตลอดมา ฮ่องเต้เองก็ไม่สงสัยเขา แต่กลับยอมให้เขาเปิดหอสมบัติจืออินต่อไป
แล้วยิ่ง ตระกูลสูงศักดิ์ที่มีทั้งอำนาจและพละกำลัง จะเป็นใครก็ไม่อาจจะหาเงินและข่าวได้มากเท่าพวกเขาอยู่แล้ว
ขอเพียงผู้กุมอำนาจเหล่านี้ไม่ทำเรื่องทำร้ายประชาชี ฮ่องเต้ก็สามารถปิดตาข้างหนึ่งเปิดตาข้างหนึ่งได้
อีกทั้ง การมีอยู่ของสถานที่เหล่านี้ ไม่ว่าจะโดยความหมายใดก็เพื่ออำนวยความสะดวกแก่เชื้อพระวงศ์
ก็อย่างเช่นลานอี้หงของจางต่ง ก่อนหน้านี้แม้ว่าจะมีไว้บริการเว่ยเชียนชิว แต่ว่าหลังจากที่จางต่งสวามิภักดิ์ต่อฮ่องเต้แล้ว ลานอี้หงก็เปลี่ยนผู้ที่มันรับใช้ ตอนแรกมันรับใช้ฮ่องเต้ มาตอนหลังถึงได้คอยรายงานเรื่องต่างๆ ให้ฮ่องเต้แทน
อู๋ฟานในฐานะที่เป็นผู้ตรวจการราชสำนัก นิสัยของเขาเถรตรง หรือจะพูดก็ได้ว่าเข้มงวด หอสมบัติจืออินนั้นก็มีไว้เพื่อรับใช้ฮ่องเต้นั่นเอง
ฮ่องเต้รู้สึกว่า อู๋ฟานมีความสามารถในการช่วยไทเฮาหนีไป แต่ว่า อู๋ฟานนั้นตายแล้ว
ความหมายในนอกตรงนี้นั้นก็คือ ฮ่องเต้สงสัยคนของอู๋ฟาน
แล้วยิ่งเพราะเรื่องของเซียวเฉวียน อู๋ฟานเลยถูกฮ่องเต้ลดขั้นติดต่อกันสองครั้งจนกระทั่งตาย คนของตระกูลอู๋เคียดแค้นชิงชังเซียวเฉวียนและฮ่องเต้ คิดอยากจะยืมมือไทเฮาแล้วช่วยแก้แค้นให้อู๋ฟานก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
ฮ่องเต้เอ่ยว่า “อู๋ฟานนั้นมีบุตรชายชื่ออู๋จี้ ไม่รู้ว่าราชครูพอจะจำได้หรือไม่?”
เซียวเฉวียนส่ายหน้า แสดงให้เห็นว่าจำไม่ได้
อู๋จี้ นามนี้ เซียวเฉวียนยังคงได้ยินเป็นครั้งแรกด้วยซ้ำ
นัยน์ตาของฮ่องเต้นั้นค่อยๆ เหลือบมองฮ่องเต้ครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นก็แย้มยิ้มเล็กน้อย ภายในใจของเขาคิด ก็ใช่ ในเวลานั้นเซียวเฉวียนช่วยทำศึกหลากหลายด้าน แล้วจะมีแก่ใจไปสนใจผู้อื่นได้อย่างไร?
อู่จี้รายนี้เองก็เป็นคนที่เก็บตัวได้ดีอย่างยิ่ง ดังนั้นเซียวเฉวียนจึงไม่เคยได้เห็นเขา
เซียวเฉวียนสายตาเป็นประกาย “ความหมายของฝ่าบาทก็คือ สงสัยว่าอู่จี้รายนี้จะเป็นผู้ก่อเรื่องหลังม่านใช่ไหมพ่ะย่ะค่ะ?”
ฮ่องเต้ทรงพยักหน้าเอ่ย “ก็มิใช่ว่าเป็นไปไม่ได้”
อู๋ฟานสั่งสมประสบการณ์ในแวดวงขุนนางมาหลายสิบปี เตรียมการล่วงหน้ามาหลายปี และค่อยบ่มเพาะขุมกำลังของตัวเองเงียบๆ การจะช่วยคนสักคนหนึ่งในวังหนีไปก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
และสิ่งที่สำคัญก็คือ ฮ่องเต้นำเรื่องทุกคนที่เคยรู้สึกขบคิดผ่านสมองรอบหนึ่ง สังหรณ์ของเขาบอกว่าเป็นไปได้มากสุดว่าจะเป็นอู๋จี้
แรงขับของเขามีมากสุด
บิดาพยัคฆ์ไม่มีบุตรสุนัข
อู่จี้สามารถสอบได้ที่สี่ของการสอบเค่อจวี่ เห็นได้ชัดว่าสติปัญญาของเขาไม่ด้อย
เมื่อมีอาจารย์ผู้สอนเป็นบิดาที่มีประสบการณ์เต็มเปี่ยม นั่นก็เหมือนกับเป็นเสือติดปีกขึ้นไปอีก เพื่อให้ชีวิตของเขาและสร้างทางลัดยิ่งกว่าให้กับชีวิตของตัวเอง
อีกทั้ง หลังจากที่อู๋ฟานเสียนั้น ฮ่องเต้เองก็เคยส่งสายลับไปจับตาดูการกระทำทุกสิ่งทุกอย่างของจวนอู๋
สายลับรายงานกลับมาว่า ทุกสิ่งในจวนอู่นั้นปรกติ อู่จี้เองนอกเสียจากทุกวันจะอยู่ในห้องหนังสือของบิดาเป็นเวลากว่าครึ่งชั่วยามด้วยสีหน้าอาการปวดใจแล้ว ก็ไม่มีอะไรผิดปรกติ
พ่อของเขาตายไปแล้ว การแสดงออกของเขาที่คนรอบข้างมองเห็นก็นับเป็นเรื่องปรกติยิ่ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...
แล้วมันสั่งให้ลูกน้องตอบโต้คนที่เข้ามาหาเรื่องเอาไว้ล่วงหน้าไม่ได้เหรอ กฎของนิยายเรื่องนี้มันบ้าๆ อยู่นะ แบบนี้ให้ผู้อารักขาเฝ้าบ้าน ถ้าเจ้านายไม่อยู่ โจรก็เดินเข้าไปเอาของได้สบายเลยสิ เพราะผู้อารักขาไม่มีนาย ทำอะไรโจรก็ไม่ได้...