ในเมื่อเขามีตำแหน่งเป็นถึงองค์จักรพรรดิของต้าเวยนั่น ย่อมต้องเข้าใจถึงความจริงในข้อนี้ด้วย
ผู้ที่อยู่ในตำแหน่งสูงสุด มิควรใช้อารมณ์ของตนเองในการตัดสินใจสิ่งใด มิเช่นนั้นมันจะนำพาอันตรายมาสู่ตนเอง
ฝ่าบาทเองก็เคยประสบพบเจอกับเหตุการณ์รัฐประหารในพระราชวังขององค์ไทเฮามาแล้ว เมื่อมาถูกมารดาของตนเองหักหลังเช่นนี้ ย่อมมิมีเรื่องอันใดจะเลวร้ายไปมากกว่านี้อีกแล้ว
ความอดทนขององค์จักรพรรดิจึงเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องที่เซียวเฉวียนปกปิดเอาไว้ ก็มิได้สร้างความเสียหายอันใดให้กับองค์จักรพรรดิเลยแม้แต่น้อย
หลังจากที่เซียวเฉวียนครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มานาน เขาจะพยายามอย่างดีที่สุดเพื่อซ่อนความจริงที่ว่าองค์หญิงต้าถงยังมีชีวิตอยู่ เขาจะพยายามปกปิดมันเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ทางที่ดีที่สุดคิดปกปิดเรื่องนี้เอาไว้จนกว่าอำนาจขององค์จักรพรรดิจักมั่นคงและเข้าที่เข้าทางเสีย เมื่อนั้นทั่วทั้งต้าเวยจักดำเนินไปยังเส้นทางที่ถูกต้อง รวมไปถึงใต้หล้าจักได้สงบสุขลงเสียที
เมื่อถึงเวลานั้น เซียวเฉวียนก็จักเกษียณตัวเองลง พร้อมทั้งพาภรรยาและบุตรสาวของตนเองออกไปค้นหาสรวงสวรรค์สำหรับการใช้ชีวิต ออกไปให้ห่างไกลจากปัญหาของเรื่องราวในใต้หล้า
เรื่องที่องค์หญิงยังมีชีวิตอยู่นั้น หาได้มีผู้ใดล่วงรู้ไม่
หากว่าเขาไม่สามารถปกปิดเอาไว้ได้นั้น ยามที่องค์จักรพรรดิเอ่ยถามเซียวเฉวียนเป็นการส่วนตัวเมื่อใด เซียวเฉวียนย่อมเรียกบอกไปตามความจริง
เมื่อพิจารณาถึงความเมตตาที่องค์จักรพรรดิมีต่อเซียวเฉวียนนั้น พระองค์คงจะมิทำอะไรกับเซียวเฉวียนมากกระมัง เกรงว่าพระองค์คงจะบ่นเกี่ยวกับเซียวเฉวียนสักสองสามคำ หลังจากบ่นแล้วนั้น เซียวเฉวียนก็ยังคงเป็นราชครูของรวมไปถึงสหายร่วมรบของพระองค์เช่นเดิม
ท้ายที่สุดแล้ว องค์จักรพรรดิยังคงต้องการเซียวเฉวียน
ชิงหลงเข้าใจการกระทำของเซียวเฉวียนเป็นอย่างดี ในเมื่อเซียวเฉวียนคิดเรื่องนี้มาเป็นอย่างดีแล้วนั้น ชิงหลงก็มิอาจเอ่ยอันใดออกมาได้อีก
ในแง่ของไหวพริบแล้วนั้น นับว่าชิงหลงยังด้อยกว่าเซียวเฉวียนมากนัก อีกทั้งเรื่องนี้ชิงหลงเองก็ไม่สามารถช่วยเหลือเซียวเฉวียนอันใดได้มาก
หากให้เขาช่วยวิ่งวุ่นไปทำธุระอะไรบางอย่างให้ได้ก็พอแล้ว
ทว่า หลังจากที่ชิงหลงครุ่นคิดถึงมันแล้วนั้น เขาก็นึกถึงอีกปัญหาหนึ่งได้ขึ้นมา "ใต้เท้าเซียว ข้าสมควรกลับไปที่ภูเขาคุนหลุนก่อนหรือไม่?"
หากว่าเขาไม่กลับไปมันจะเป็นอันตรายต่อเซียวเฉวียนอย่างมาก หากมีคนค้นพบร่องรอยของเขา
เซียวเฉวียนพลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยเมยว่า "กลับหรือไม่กลับนั้น อยู่ที่เจ้าจักตัดสินใจ"
หากชิงหลงไม่กลับ ย่อมมิมีผู้ใดสามารถค้นพบร่องรอยของชิงหลงได้หากว่าเขาอยู่ในจวนตระกูลเซียว
ทว่า มันอาจจะเป็นการทำร้ายต่อชิงหลงเล็กน้อย ที่เขาไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ในช่วงนี้
เมื่อชิงหลงได้ยินเช่นนั้น เขาพลันกล่าวออกมาในทันทีว่า "เช่นนั้นข้าจักอยู่ที่จวนตระกูลเซียวต่อไป"
หลายวันที่มิได้ออกไปข้างนอกนั้น หาได้เป็นอันใดไม่
ในฐานะมกุฎราชกุมารแห่งคุนหลุนแล้ว ยามที่เขายุ่งวุ่นวายกับงานการนั้น เขายังมิอาจออกจากห้องตนเองได้เป็นเวลาหลายวัน
ยิ่งไปกว่านั้น จวนตระกูลเซียวที่ใหญ่โตเช่นนี้ ย่อมมีกิจกรรมมากมายทั้งยังมีคนคอยอยู่เป็นเพื่อนเขาอีกด้วย
ตัวอย่างเช่นเซียวเฉวียน เจี้ยนจงและมู่จิ่น
ชิงหลงสามารถเอ่ยพูดคุยกับพวกเขาได้โดยไม่หยุดปาก
อีกทั้ง พวกเขาทั้งสามคนยังมีความรู้กว้างขวางในฮว๋าเซี่ย นั่นจึงทำให้ชิงหลงรู้สึกทึ่งไปกับโลกที่พวกเขาบรรยายออกมายิ่งนัก
อย่างไรก็ตามในบรรดาทั้งสามคนนั้น ชิงหลงไม่ค่อยพูดคุยกับเจี้ยนจงมากนัก เนื่องจากเจี้ยนจงเป็นบรรพบุรุษที่ชิงหลงให้ความเคารพเป็นอย่างยิ่ง เสมือนกับคนรุ่นหลังที่ให้ความเคารพต่อบรรพบุรุษโดยสัญชาตญาณก็ไม่ปาน รวมไปถึงกลิ่นอายที่เย็นชาของเจี้ยนจงนั้น ทำให้ชิงหลงนึกหวาดกลัวเขาเสียจนมิกล้าเขาไปสนิทชิดเชื้อด้วยได้
สำหรับมู่จิ่นแล้ว ยามที่ภาคเรียนของสถานศึกษาชิงหยวนเปิดขึ้นแล้วนั้น ในฐานะอาจารย์ผู้สอนเช่นเขาจึงมิมีเวลามากนักที่จักอาศัยอยู่ในจวนตระกูลเซียว
แม้แต่เว่ยเป้ยเองก็ยังยุ่งเป็นอย่างมาก
หลังจากที่ครุ่นคิดดูแล้วนั้น จึงเหลือเพียงประมุขแห่งชิงหยวนเช่นเซียวเฉวียนที่มีเวลาว่างมากกว่าใครเพื่อน
หากว่ากันตามจริงแล้ว ชิงหลงต้องการตามติดเซียวเฉวียนเสียมากกว่า
เซียวเฉวียนพลางแย้มยิ้มกล่าวออกมาเบา ๆ ว่า "เอาล่ะ เจ้าสามารถอยู่ในจวนตระกูลเซียวได้ หากว่าข้ามิได้อยู่ที่นี่ละก็ หากเจ้าต้องการอันใด เจ้าก็ไปหาเฉวียนอีเสีย "
พูดจบ เซียวเฉวียนจึงเรียกเฉวียนอีมาในทันที เพื่อให้ชิงหลงทำความรู้จักกับเขา
หลังจากที่สั่งการเอ่ยกำชับกับเฉวียนอีกแล้วนั้น ว่าให้ทำการต้อนรับชิงหลงเป็นอย่างดี คอยรับใช้ชิงหลงอย่าให้ขาดตกบกพร่อง
เฉวียนอีจึงน้อมรับคำสั่งด้วยความเคารพไปในทันใด
เหตุผลที่เซียวเฉวียนต้องจัดการเรื่องทั้งหมดนั้น เนื่องจากเขาที่มีสถานะเป็นถึงประมุขแห่งชิงหยวน ในยามที่สถานชิงหยวนเปิดใหม่เช่นนี้ เขาหาได้มีอิสระอย่างที่ชิงหลงคิดจินตนาการเช่นนั้นไม่
เขายังต้องคิดวางแผนการเรียนการสอนร่วมกับเว่ยเป้ย
เนื่องจากทั้งสองคนยังจำเป็นต้องพักฟื้น เซียวเฉวียนจึงขอให้เสี่ยวเชียนชิวพาพวกเขาไปพักฟื้นที่ห่างไกลแทน
สำหรับหลี่ซื่อแล้วนั้น หลังจากที่เขาคืนเงินให้กับเจ้าของบ้านแล้ว เขาได้ระดมคนมากมายเพื่อตั้งป้อมยามรอบๆ จวนตระกูลเซียว เพื่อจับตาดูผู้คนที่เข้าออกจากจวนตระกูลเซียวในยามนี้
พร้อมทั้งตัวเขาเองที่นำม้านั่งตัวเล็กๆ มานั่งมองมุมหนึ่งที่สามารถมองเห็นผู้คนที่เข้าออกทางเข้าของจวนตระกูลเซียวได้อย่างชัดเจน ก่อนที่เขาจะนั่งลงพร้อมทั้งแทะเมล็ดทานตะวันไปพลาง ๆ พร้อมทั้งจ้องมองที่ประตูของจวนตระกูลเซียวอย่างไม่วางตา เพื่อรอคอยให้หลี่เมิ่งปรากฏตัวออกมา .
ทว่า หลังจากที่เขานั่งจ้องมองมาสี่วันแล้วนั้น มิต้องเอ่ยถึงหลี่เมิ่งเลย แม้แต่แมลงวันสักตัวเขาก็หาได้เจอไม่
หลี่ซื่อพลันรู้สึกร้อนใจขึ้นมาในทันที
ทุก ๆ ครั้งที่เขาอยากจะยอมแพ้ เขามักจะจดจำคำเตือนของนักฆ่าผู้นั้นได้เสมอว่าอดทนเข้าไว้อย่าวู่วาม
จวบจนดำเนินมาถึงวันที่หกแล้วนั้น หลี่ซื่อและคนของเขาก็ยังมิพบสิ่งใด ในคราวนี้ หลี่ซื่อมิอาจรั้งรออยู่เฉย ๆ ได้อีก เขาจึงเอ่ยเรียกกำลังพลของตัวเองถอยทัพในทันที
มิใช่ว่าเขาไม่ต้องการจับตาดูจวนตระกูลเซียว ทว่า หลังจากที่เขาจับตาดูจวนตระกูลเซียวมานานหลายวันแล้วนั้น หากว่าหลี่เมิ่งอยู่ด้านในจริงๆ หลี่เมิ่งย่อมปรากฏตัวขึ้นมานานแล้ว
ถึงอย่างไรเขาก็ทำตามคำสั่งที่ได้รับมาแล้ว หาใช่ว่าเขาเกียจคร้านไม่ แต่เขามิเจอหลี่เมิ่งจริงๆ เขามิอาจจับตาดูจวนตระกูลเซียวเป็นเดือนได้ หากว่าหลี่เหมิงมิปรากฏตัว เช่นนี้ หากหลี่เมิ่งมิมาปรากฏตัวเป็นเวลาหนึ่งปีเล่า เขามิใช่ว่าต้องจับตาดูจวนตระกูลเซียวเป็นเวลาหนึ่งปีเลยหรือ
หรือบางทีหลี่เมิ่งอาจจะมิได้อยู่ในจวนตระกูลเซียวจริงๆ
ในช่วงหกวันที่ผ่านมา เหล่านักฆ่าเองก็เห็นพ้องต้องกันแล้วว่าหลี่ซื่อมิพบเจออันใดจากการจับตามองจวนตระกูลเซียวเลยแม้แต่น้อย
แม้แต่เหล่านักฆ่าเองก็ยังอยากยอมแพ้ยิ่งนัก
ฉะนั้นแล้ว ในยามที่หลี่ซื่อต้องการจะยอมแพ้ เหล่านักฆ่าหาได้เอ่ยอันใดออกมาไม่ ทั้งยังมิได้มาหาเรื่องอันใดกับหลี่ซื่ออีก ดังนั้นพวกเขาจึงจำใจปล่อยหลี่ซื่อออกไปแทน
หากจะกล่าวว่าผู้ใดเป็นผู้รับผลประโยชน์สูงสุดจากการหายตัวไปของหลี่เมิ่งนั้น หาใช่ใครอื่นนอกจากหลี่ซื่อ
เหตุการณ์นี้ ทำเอาหลี่ซื่อรู้สึกตื่นเต้นพอ ๆ กับการนั่งรถไฟเหาะเลยทีเดียว มิใช่เรื่องเกินจริงเลยที่จะกล่าวว่าเขารอดพ้นจากความตายออกมาได้อย่างหวุดหวิด
แม้ว่าจะมีขึ้นๆ ลงๆ บ้าง ทว่า ผลลัพธ์กลับดียิ่ง
ส่วนหลี่เมิ่งจะอยู่หรือตายนั้น หลี่ซื่อหาได้สนใจอีกต่อไปไม่
หลังจากชำระหนี้จนจบแล้วนั้น หลี่ซื่อหาได้เรียนรู้เรื่องราวอันใดจากบทเรียนในครานี้ไม่ เขายังคงออกไปเที่ยวเล่นเช่นเดิมในบ่อนพนันอีกครั้ง
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...