ฟังเสียงตบหน้าตัวเอง หลินฟ่างยิ่งรู้สึกกลัดกลุ้มใจ
เขาห้ามหลินฟู่ไม่ให้ตบหน้าตัวเอง แต่ในใจเขาโกรธแค้นมาก เขาอดไม่ได้ที่จะด่ากล่าวว่า "ข้าบอกให้เจ้าหาคนที่น่าเชื่อถือหน่อยตั้งแต่แรกแล้ว ทำงานต้องให้เรียบร้อย ดูนี่สิว่าเจ้ากำลังทำงานประสาอะไรกันอยู่เนี่ย ?”
ฮ่ะ ?
เรื่องแค่นี้ก็ทำไม่ได้
ทำอะไรเซียวเฉวียนไม่ได้ก็ไม่ว่า อันนี้หลินฟ่างสามารถเข้าใจได้ เพราะเซียวเฉวียนไม่ใช่จะรับมือได้ง่ายจริงๆ
แต่หลินฟู่ไม่ควรที่จะทำเรื่องเสีย ยังใช้เงินหมดไปมากมาย แถมยังทวงคืนไม่ได้แม้แต่สตางค์แดงเดียว
เขาไม่ได้คิดตั้งแต่แรกหรือว่าผลจะออกมาแบบนี้ ?
พอหลินฟู่ได้ยิน ใบหน้าใจดำโหดร้ายของเขาสลับแดงสลับขาวขึ้นมาทันที มุมปากก็กระตุกอย่างไม่เป็นสุข ดูกระอักกระอ่วนยิ่งนัก
ก็เพราะหลินฟ่างบอกว่าใช้คนของตัวเองไม่ได้ หลินฟู่จึงไปหาคนที่ข้างนอก
หลังจากสืบหามาอย่างละเอียดแล้ว หลินฟู่ถึงได้รู้จักสำนักเจวี๋ยซาว่าทำงานไม่เพียงแต่มีประสิทธิภาพเท่านั้น ยังมีชื่อเสียงที่ดีในยุทธภพ และมีความน่าเชื่อถืออีกด้วย
ที่สำคัญที่สุดคือสำนักเจวี๋ยซามีมานาน มีรากฐานที่หยั่งลึก ซึ่งหลินฟู่รู้สึกว่ามันเชื่อถือได้
เพื่อเพิ่มความกระตือรือร้นของสำนักเจวี๋ยซา หลินฟู่ยอมทำตามเงื่อนไขทุกอย่างของสำนักเจวี๋ยซา รวมถึงเงื่อนไขที่สำนักเจวี๋ยซาจะเก็บเงินทั้งหมดล่วงหน้าก่อนค่อยทำงานทีหลัง
แน่นอน เงื่อนไขนี้เขาก็ได้รับอนุมัติตจากหลินฟ่าง
พูดตรงๆ ใช้คนของสำนักเจวี๋ยซา ก็ได้รับอนุมัติจากหลินฟ่างแล้ว ในแง่ของความรับผิดชอบ หลินฟ่างต้องรับไปเต็มๆ
เพราะอำนาจการตัดสินใจก็อยู่ในมือของเขา ถ้าเขาไม่พยักหน้า หลินฟู่ก็คงไม่ใช้คนของสำนักเจวี๋ยซา
ตอนนี้ หลินฟ่างโยนความรับผิดมาที่หลินฟู่อยู่คนเดียว กลายเป็นความผิดของหลินฟู่
หือ ๆ ๆ
ข้านี้ผิดอยู่คนเดียว
เรื่องนี้ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งจะไหล
แต่ว่า หลินฟ่างเป็นนาย นายกำลังโมโห หลินฟู่จะกล้าเถียงแม้แต่คำเดียวหรือ ?
ก็แค่หาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น
หลินฟู่จึงได้แต่ยอมรับความผิดทุกข้อกล่าวหา "ใช่ ข้าน้อยทำงานไม่เอาไหน ข้าน้อยไร้ความสามารถ"
เห็นท่าทีของหลินฟู่ยอมรับผิดอย่างดี หลินฟ่างก็คลายความฉุนเฉียวลงเล็กน้อยและพูดว่า "ครั้งนี้ช่างมันไปเถอะ ต่อไปทำงานต้องตื่นตัวมากขึ้น"
ต้องบอกว่า หลินฟ่างเป็นคนที่มีความสามารถในการชนะใจลูกน้อง
ทั้งๆ ที่เขากำลังโมโหโทโส แต่เขารู้จักแยกแยะข้อดีข้อเสีย เมื่อเรื่องราวตกอยู่ในสภาพย่ำแย่แล้วเขาต้องหยุดให้ทันเวลา มารักษาน้ำใจคนแทน
หลินฟู่เป็นผู้ช่วยสำคัญของเขา จะให้เรื่องที่ย่ำแย่ไปแล้วมาทำให้นายกับบ่าวสองคนมองหน้ากันไม่ติด เรื่องราวก็จะยิ่งย่ำแย่หนักขึ้นไปอีก
ถึงจังหวะควรหยุดก็หยุด
ไม้นี้ใช้ได้ผลดีมากกับหลินฟู่
หลินฟู่รู้สึกซาบซึ้งใจอย่างมากและพูดว่า "ขอรับ ข้าน้อยจะระมัดระวังอย่างแน่นอนในวันข้างหน้า จะไม่ทำผิดซ้ำสองอีก"
หลินฟ่างระงับโทสะในใจ พยักหน้าและพูดว่า "อึ่ม เจ้าลงไปก่อน"
แม้แต่สำนักเจวี๋ยซาชื่อเสียงโด่งดังยังแตะต้องเซียวเฉวียนไม่ได้แม้แต่นิด เรื่องจัดการกับเซียวเฉวียน ต้องวางแผนระยะยาว เร่งรีบไม่ได้
ความเป็นจริง ในมุมมองของหลินฟ่าง เขาไม่ได้สนับสนุนให้อู๋จี้ด่วนจัดการกับเซียวเฉวียนในตอนนี้
พวกเขาต้องรอคอยโอกาสที่ดีที่สุด โอกาสที่สามารถสร้างความร้าวฉานระหว่างเซียวเฉวียนและองค์จักรพรรดิ
ขอให้มีความร้าวฉานระหว่างคนสองคน ตีให้แตกทีละจุด เรื่องก็จะง่ายขึ้นกว่ามาก
อย่างไรก็ง่ายกว่าที่สองคนบิดเกลียวกันจนเป็นเชือกเส้นหนึงเป็นอย่างมาก
ที่หลินฟ่างคิดแบบนี้ เพราะในมุมมองของหลินฟ่าง องค์จักรพรรดิเป็นที่พึ่งของเซียวเฉวียน ขอเพียงที่องค์จักรพรรดิไม่เป็นที่พึ่งให้เซียวเฉวียนอีกต่อไป ไม่ว่าเซียวเฉวียนจะมีความสามารถเพียงใด เขาก็ไม่อาจจะพลิกแผ่นดินได้
ดังนั้น ถึงแม้เขาจะเต็มไปด้วยโทสะ เขาก็ต้องเขียนจดหมายเพื่อตักเตือนให้อู๋จี้สงบสติอารมณ์และอย่าทำอะไรบุ่มบ่ามเด็ดขาด ไม่เช่นนั้น ตัวเขาเองถลำเข้าไปก็ไม่อาจเขย่าเซียวเฉวียนได้แม้แต่นิดเดียว
ในช่วงเวลาสำคัญนี้ หลินฟ่างคิดว่าติดต่อกับอู๋จี้ให้น้อยลงดีกว่า เพื่อหลีกเลี่ยงการตกเป็นเป้าหมายของคนในจวนเซียว
ดังนั้นแม้ว่าทั้งคู่จะอยู่ในเมืองหลวง จวนหลินกับจวนอู๋ก็อยู่ไม่ไกลกัน หลินฟ่างก็ยังเลือกใช้นกพิราบในการส่งสาร
ไม่ว่าทำอะไรควรกระทำอย่างระมัดระวังรอบคอบ ระวังหน่อยก็ไม่เสียหายนี่
แต่หารู้ไม่ นกพิราบของเขาถูกจับโดยเสวียนอวี๋ที่ซ่อนตัวอยู่บนหลังคาของจวนหลิน และนำกลับมาที่จวนเซียว
เสวียนอวี๋ยื่นนกพิราบส่งสารให้กับเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนหยิบจดหมายจากกระบอกไม้ไผ่แล้วเปิดอ่าน ริมปากปรากฏรอยยิ้มอย่างมีความหมาย
เซียวเฉวียนตัดสินใจเก็บจดหมายฉบับนี้ไว้ แล้วลอกเลียนอีกฉบับหนึ่งขึ้นแทน ให้นกพิราบนำไปส่งให้กับอู๋จี๋
จดหมายฉบับลอกเลียนนี้ เซียวเฉวียนใส่เนื้อหาตรงกันข้ามกับจดหมายของหลินฟางอย่างสิ้นเชิง
ไม่ใช่ว่าเซียวเฉวียนจะเขียนอะไรรุนแรง แต่เลียนแบบน้ำเสียงของหลินฟ่าง เซียวเฉวียนเอ่ยถึงสำนักเจวี๋ยซาในจดหมาย แสดงความขุ่นเคือง จากนั้นแสดงอย่างแยบยลว่าจะต้องทำให้เซียวเฉวียนเจ็บแสบ เอาทั้งต้นทั้งดอกคืนมาจากเซียวเฉวียนให้ได้
เนื้อหาเหล่านี้เพียงพอที่จะสะท้อนความรู้สึกร่วมกับอู๋จี้และกระตุ้นความโกรธแค้นในใจของเขา
เพราะทุกสิ่งที่หลินฟ่างทำไปนั้นล้วนเพื่อช่วยอู๋จี้ ความโกรธแค้นของเขาก็คือความโกรธแค้นของอู๋จี้
พูดให้ถูกก็คืออู๋จี้โกรธแค้นยิ่งกว่าหลินฟ่าง เพราะอย่างไร อู๋จี้เกลียดชังเซียวเฉวียนยิ่งกว่าหลินฟ่างเสียอีก
เซียวเฉวียนมองดูร่างเงาของนกพิราบสื่อสารเล็กลงเรื่อยๆ พร้อมกับยิ้มเยาะบนริมฝีปาก การกระทำของเขาก็คือจะบอกให้ตระกูลหลินและอู๋รู้ว่าเซียวเฉวียนได้จับจ้องพวกเขาแล้ว ให้พวกเขาเตรียมตัวให้ดี
มาพูดถึงอู๋จี้ หลังจากได้รับจดหมายผ่านนกพิราบ เขาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟอย่างที่เซียวเฉวียนคาดไว้
ความล้มเหลวเป็นบทเรียนของความสำเร็จ ความล้มเหลวครั้งแล้วครั้งเล่าไม่อาจสยบความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะแก้แค้นของอู๋จี้ได้ !
เมื่อแผนล้มเหลว อู๋จี้ก็คิดแผนอื่นขึ้นอีกในใจ
เขากล่าวในจดหมายที่ตอบหลินฟ่างว่า เขามีวิธีจัดการกับเซียวเฉวียนแล้ว
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...