เซียวเฉวียนไม่ได้ยุ่งกับจดหมายตอบกลับของอู๋จี้ จดหมายเดิมๆ ก็ไปอยู่ในมือของหลินฟ่าง
พอหลินฟ่างได้อ่านเท่านั้น ไฟแค้นที่สงบลงไปได้อย่างยากลำบากก็ถูกจุดให้ลุกขึ้นมาอีก
อู๋จี้กล่าวสาบานในจดหมายอย่างเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าเขามีวิธีใหม่ที่จะจัดการกับเซียวเฉวียน
ในสายตาของหลินฟ่าง อู๋จี้เป็นคนดื้อรั้นและหมกมุ่นที่สุด
หลินฟ่างพยายามโน้มน้าวเขาแบบนั้น แต่เขาก็ไม่ฟัง ยังมุทะลุคิดแต่จะจัดการกับเซียวเฉวียนต่อไป
เจตนาหวังดีทั้งหลายถูกอู๋จี้มองไปในแง่ร้ายเสียอีก
อู๋จี้ไม่มีหลินฟ่างผู้หลักผู้ใหญ่คนนี้อยู่ในสายตาเลย !
น่าโมโห !
ถ้าไม่ใช่เพราะอู๋จี้เป็นหลานชายแท้ๆ ของเขา หลินฟ่างคงตบอู๋จี้ฟาดเดียวให้ตายคามือ จะได้ไม่มาขวางหูขวางตา
ที่รอมาก็นานแล้ว รอไปอีกสักนิดจะเป็นไร ?
ตามที่หลินฟ่างกล่าว อู๋จี้และพ่อเจ้ากรรมของเขามีสันดานเดียวกัน อดกลั้นอะไรไม่เป็น
ใจร้อนก็อดกินเต้าหู้ร้อนๆ สัจธรรมง่ายๆ แค่นี้ พวกเขาก็ไม่ยักจะรู้ อ่านตำรับตำรานักปราชญ์มาเท่าไร แต่เอาไปจดจำในท้องสุนัขกันหมดหรือไง
หลินฟ่างยิ่งคิดก็ยิ่งโมโหขึ้นมาจริงๆ
เขายังคิดที่จะเขียนจดหมายต่อเพื่อไปดุด่าอู๋จี้ ด่าจนกว่าเขาจะสำนึก
แต่ว่า หลินฟ่างมาฉุดคิดอีกที รู้สึกมีบางอย่างทะแม่งๆ
อู๋จี้อยู่ใกล้ชิดกับหลินฟ่างมาตั้งแต่เด็ก ในใจของอู๋จี้ นอกเหนือจากพ่อแม่แล้ว คนที่ใกล้ชิดสนิทสนมที่สุดก็คือหลินฟ่าง
ที่ผ่านมา อู๋จี้จะเป็นยังไงก็ตาม ต่อหน้าหลินฟ่างก็จะไม่พูดอะไรตรงๆ แต่เขาจะใช้น้ำเสียงอย่างนอบน้อม ขอความเห็นจากหลินฟ่างลุงคนนี้ก่อน
ในจดหมายฉบับนี้ อู๋จี้แสดงความคิดของเขาเองตรงๆ ด้วยสำเนียงยืนกรานในตัวเอง ไม่เหมือนกับพฤติกรรมตามปกติของอู๋จี้
หลินฟ่างหรี่ตาลงจ้องมองที่ตัวอักษรในจดหมาย ครุ่นคิดอยู่เป็นเวลานาน
ทันใดนั้นความคิดที่น่ากลัวโผล่ขึ้นมาในใจ...... หรือว่าจดหมายที่เขาส่งถึงอู๋จี้ถูกคนสับเปลี่ยนไป ?
ถ้าไม่งั้น จดหมายตอบของอู๋จี้ทำไมไม่เอ่ยถึงการตักเตือนของหลินฟ่างเลย แต่กลับมากล่าวฉะฉานว่าเขามีวิธีจัดการกับเซียวเฉวียน ?
สมมติว่าจดหมายของหลินฟ่างที่เขียนถึงอู๋จี้ถูกสลับจริงๆ คนที่สับเปลี่ยนนั้นจะต้องเป็นคนของจวนเซียวแน่นอน
ทำไมถึงได้คิดถึงคนของจวนเซียวเป็นอันดับแรกล่ะ ?
เมื่อมองไปทั่วทั้งเมืองหลวง นอกจากคนของจวนเซียว เกรงว่าจะไม่มีใครสามารถทำเช่นนี้ได้ใช่ไหม ?
มีเพียงจวนเซียวเท่านั้นที่มีปัญญานี้
ถ้าเป็นเช่นนี้จริง เซียวเฉวียนจะต้องเล็งเป้ามาที่จวนหลินแล้ว
ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกมีบางอย่างไม่ดี หลินฟ่างรีบวางจดหมายในมือลงแล้วพูดอย่างเย็นชา "หลินฟู่ !"
หลินฟู่ได้ยินเสียงจึงรีบเข้ามา แสดงความเคารพและพูดว่า "ใต้เท้ามีอะไรจะสั่งหรือ ?"
หลินฟ่างกล่าวว่า "ส่งคนไปที่จวนอู๋โดยด่วน เชิญอู๋จี้เข้ามาหน่อย กำชับให้เขานำจดหมายที่ข้าเขียนให้นั้นมาด้วย"
หลินฟู่สับสนเล็กน้อยเพราะเขาไม่ทราบสาเหตุ ชั่วโมงนี้เป็นเวลาวิกาล ให้อู๋จี๋มาที่จวน สงสัยจะมีอะไรผิดปกติ
หากมีคนของจวนเซียวตามหลัง จะกลายเป็นปัญหาใหญ่
เซียวเฉวียนไม่ใช่คนที่แหย่ได้ง่ายๆ
แต่นี่เป็นคำสั่งของนาย หลินฟู่ผู้เป็นบ่าวจะกล้าตั้งข้อสงสัยหรือ เขาได้แต่ขานรับด้วยความมึนงงและทำตามที่หลินฟ่างสั่งมา
เมื่อเห็นว่าหลินฟ่างดูกระวนกระวายใจ หลินฟู่ก็ไม่กล้าที่จะชักช้า เขารีบสั่งให้คนของเขาไปเชิญอู๋จี้ข้ามมาที่จวน เพื่อให้ได้ทันเวลา หลินฟู่ยังกำชับให้คนไปพูดว่ามีเรื่องด่วนจี๋ ให้อู๋จี้รีบๆ มาที่จวนหลิน
เมื่อได้รับคำบอกกล่าว อู๋จี้คิดว่าคงมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้น เขาจึงรีบไปที่จวนหลินพร้อมกับจดหมายฉบับนั้น
พูดถึงจดหมายฉบับนี้ โชคดีที่คนจากจวนหลินมาทัน หากช้ากว่านี้อีกนิด อู๋จี้คงจะเผามันทิ้งไปแล้ว
อู๋จี้เดินไปก็คิดไป ลุงให้เขานำจดหมายไปที่จวนหลินเร่งด่วนขนาดนี้ มีอะไรผิดปกติกับจดหมายฉบับนี้หรือ ?
ระหว่างทางเขายังถามคนที่มาบอกกล่าวด้วย แต่คนที่มาก็ไม่รู้เรื่องราวและไม่อาจคลายความสงสัยของอู๋จี้ได้
หากไม่ใช่หลินฟ่างเกิดระแคะระคาย น่ากลัวจะเข้าใจผิดเช่นนี้ตลอดไป และสถานการณ์ก็จะพัฒนาไปในทิศทางที่แย่ลง
แม้ว่าลายมือของจดหมายนี้จะคล้ายกับของหลินฟ่างแทบจะแยกกันไม่ออก แต่น้ำหนักการเขียนก็มีพลังมากกว่า ซึ่งนักวิชาการที่อ่อนแออย่างหลินฟ่างจะเขียนออกมาไม่ได้อย่างนี้
พูดให้ถูกคือ ลายมือประเภทนี้ มีแต่คนที่ฝึกวิทยายุทธ์ มีกำลังภายในที่แข็งแกร่งถึงจะเขียนออกมาได้
จึงวินิจฉัยได้ว่า เก้าสิบเก้าส่วนร้อยของจดหมายฉบับนี้ต้องเขียนด้วยมือของเซียวเฉวียน
ครั้งนี้ หลินฟ่างมั่นใจได้แล้วว่า จวนหลินได้ตกเป็นเป้าหมายของเซียวเฉวียนไปแล้วเช่นกัน
ตกเป็นเป้าหมายของเซียวเฉวียนไวขนาดนี้ เกินความคาดหมายของหลินฟ่างจริงๆ ทำให้เขาตั้งหลักไม่ทัน
จากความเข้าใจของหลินฟ่างเกี่ยวกับความสามารถของเซียวเฉวียน เซียวเฉวียนจะทำเรื่องอย่างมิดชิดไม่มีใครรู้ เขาก็สามารถทำได้
แต่เขาไม่ได้ทำเช่นนั้น ปล่อยให้หลินฟ่างมองเห็นข้อบกพร่อง หลินฟ่างรู้เลยว่า นี่คือความตั้งใจของเซียวเฉวียน
เซียวเฉวียนกำลังเตือนหลินฟ่าง โดยบอกหลินฟ่างอย่างชัดเจนว่าเจ้าเผยตัวแล้วนะ ระวังตัวเองให้ดี
หลังจากฟังการวิเคราะห์ของหลินฟ่างแล้ว อู๋จี้ซึ่งรับรู้เหตุและผลก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหนาวสะท้านที่กระดูกสันหลัง เซียวเฉวียนนี้น่ากลัวจริงๆ
แต่ว่า เขากับเซียวเฉวียนมีความแค้นที่ฆ่าพ่อของเขา ความแค้นนี้ทำให้อยู่ร่วมฟ้าเดียวกันไม่ได้ ในฐานะลูกต้องชำระแค้นแทนพ่อให้ได้ !
เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "ท่านลุง แล้วเราควรทำอย่างไรดีตอนนี้ ?"
เหตุผลที่อู๋จี้ขอให้หลินฟ่างออกหน้า เพราะเขาไม่อยากให้เซียวเฉวียนรู้ว่าเขายังแอบเคลื่อนไหวอยู่เบื้องหลัง
ครั้งที่แล้ว เซียวเฉวียนระเบิดจวนอู๋ไปครั้งหนึ่ง พูดอย่างไม่ปิดบัง ระเบิดทำให้อู๋จี้กลัวจนหัวหด เขาไม่กล้าที่จะหาเรื่องกับเซียวเฉวียนอย่างโจ่งแจ้ง
แต่ไม่คิดว่า หลินฟ่างเพิ่งจะลงมือ ก็ถูกเซียวเฉวียนเพ่งเอาเสียแล้ว ทำไมเซียวเฉวียนมีความสามารถถึงขนาดนี้ ?
เขายังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า ?
คนที่ตั้งคำถามเช่นนี้ ไม่ใช่มีเพียงอู๋จี้คนเดียว
เซียวเฉวียนซึ่งแอบตัวอยู่บนหลังคาของจวนหลิน ยกริมฝีปากยิ้มเยาะ "ฮึ ! ตอนนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าเซียวไม่ใช่คนที่จะมายุ่งเกี่ยวง่ายๆ ?"
ความคิดเห็น
ความคิดเห็นของผู้อ่านเกี่ยวกับนิยาย: ซูเปอร์ลูกเขย
อ่านแรกๆก็สนุกนะแต่อ่านไปสักพักก็งงกับตรรกะของนักเขียน..นักเขียนจีนนี่โนทัศน์แปลกๆรื่องราวไล่เรียงไปเหมือนมีเหตุผลอยู่ก็กลับไร้เหตุผลดื้อๆซะงั้นคงอ่านไปต่อไม่ได้แล้วมันช่างทำร้ายจิตใจคนอ่านเป็นระยะอ่านไปรู้สึกหนืดๆไม่ไหลลื่นเลย...
ถึงตอน139 อ่านต่อไม่ได้ต้องทำอย่างไรครับ...
ถ้าแต่งเรื่องแบบนี้ไม่ต้องแต่งเลยจะดีกว่าไม่มีความคิดสมัยใหม่เลยถ้าตัวเอกแบบนี้ก็สมที่คนเป็นพ่อเป็นแม่ทัพพาลูกน้องทั้งกองทัพไปตาย...
มีเรื่องนี้ที่ตัวเอกเป็นเหมือนขยะสังคมทั้งที่ทลุมิติมากเกิด...
ไอ้คนแต่งมันปัญญาอ่อนหารือเปล่า...
มันสมควจไหมที่เอาเลือดเขามาติดต่อวิณยาณไม่มีเหตัผลที่จะทำอย่างนี้เหมือนมันไม่มีอะไรทำทำไมไม่คิดเอาวิธีช่วยลูกเมียมันจะมีประโยชน์กว่า...
เรื่องนี้ตัวเอกเหมือนควายเหมือนหมาหมามาก...
ไม่สมควรเป็นชุปเปอร์ลูกเขยน่าเป็นลูกเขยะจริงๆ...
เป็นคนที่ไม่มีสำมาคาระวะเหมือนไพร่น่ารังเกลียดไม่น่าเอามาเป็นตัวเอก...
บางครั้งเชียวเฉวียนเล่นเหมือนเด็กไม่มีความน่านับถือไม่น่าเอามาเป็นตัวเอกน่าให้เป็นคนชั้นตำ่มาก็กว่า...